เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – 73 เข้าสู่ระบบ! พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล!

อ่านนิยายจีนเรื่อง Sign in Buddhas palm [เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล] ตอนที่ 73 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เรื่องที่จักรพรรดิถังมีอายุมากแล้วไม่ได้เป็นความลับใด

 

หากไม่มีขันทีชุดม่วงอันทรงเกียรติคอยปราม เกรงว่าขณะนี้วังหลวงคงจะเต็มไปด้วยความโกลาหลเสียแล้ว

 

แต่กระนั้นเหล่าองค์ชายก็ยังคงต่อสู้กันอยู่ทั้งที่ลับและที่แจ้ง ทุกคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน

 

เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างก็เลือกข้างเดิมพันสนับสนุนองค์ชายสักพระองค์

 

เดิมทีจากสายตาของผู้คนมากมาย จักรพรรดิถังคงจะเลือกองค์ชายสักพระองค์ในวังหลวงที่ทรงสง่าราศีมาแต่งตั้งเป็นรัชทายาท

 

ที่สุดแล้วในบรรดาทายาทหลายคนขององค์จักรพรรดิถัง บางคนก็มีความสามารถไม่น้อย ต่างจากคนอื่นที่เก่งเพียงแต่การดื่มกินเที่ยวเล่น รอคอยความตายไปวันๆ

 

อย่างไรก็ตาม

 

สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือในที่สุดองค์จักรพรรดิถังก็เลือก เลือกองค์ชายหลี่เชิงเป็นองค์รัชทายาท?

 

องค์ชายหลี่เชิงเป็นทายาทที่องค์จักรพรรดิถังทรงทิ้งไว้ภายนอกวัง และเพิ่งได้รับการยอมรับให้กลับเข้าวังเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี่เอง

 

เหล่าขุนนางและองค์ชายหลายคนรู้เรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งองค์ชายหลี่เชิงจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท

 

เนื่องจากรากฐานเบื้องหลังขององค์ชายหลี่เชิงตื้นเขินเกินไป

 

 

ณ วัดเส้าหลิน

 

บางคราซูฉินก็จะใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขากวาดไปรอบๆ วัด และมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้ยินศิษย์วัดพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาในรั้วในวัง เรื่องรัชทายาทพระองค์ใหม่แห่งอาณาจักรถัง

 

“โอ้?”

 

“จริงเสียด้วย เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทเรียบร้อยแล้ว”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาของเขาเหม่อลอยครุ่นคิด

 

เมื่อเขาพบเข้ากับหลี่เชิงครั้งแรกที่คฤหาสน์ตระกูลซู เขาก็รู้ได้ว่ามีโชคชะตาบ้านเมืองแห่งอาณาจักรถังอยู่ในตัวชายคนนั้นถึงหนึ่งในสิบส่วน

 

ตัวตนเช่นนี้ตราบใดที่ไม่ตกตายไปเสียก่อน ในอนาคตก็คงเป็นเรื่องของเวลาก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์

 

“อาณาจักรถัง…”

 

“เมืองฉางอัน…”

 

หัวใจของซูฉินขยับวูบ

 

อาณาจักรราชวงศ์ถังก่อตั้งมานานถึงห้าร้อยปี แต่เมืองหลวงของอาณาจักรถังซึ่งก็คือฉางอัน เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ที่ผ่านยุคสมัยมากว่าสิบราชวงศ์ มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี

 

ในเวลาหลายพันปีมานี้รอบนอกของเมืองฉางอันอาจจะถูกบูรณะซ่อมแซมใหม่นับครั้งไม่ถ้วน แต่เมืองหลวงของอาณาจักรไม่เคยแปรเปลี่ยนไป

 

แม้แต่ปราสาทหยกที่ประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดาและพระราชวังที่สูงตระหง่านก็เหมือนเดิม เหมือนกับเมื่อหลายพันปีก่อน

 

อีกนัยหนึ่ง เมืองหลวงฉางอันได้อยู่เคียงคู่การเกิดดับของราชวงศ์นับสิบ ยืนหยัดอยู่บนผืนแผ่นดินเดิมมานับพันปี

 

“เมืองหลวงอันเก่าแก่ยาวนานนับสิบราชวงศ์…”

 

“ ‘เต๋าสะสม‘ นับพันปีที่อยู่ภายในเมืองฉางอัน น่าจะใกล้เคียงกับของวัดเส้าหลิน…”

 

ดวงตาของซูฉินสดใส หัวใจของเขาเต้นถี่รัว

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่เคยไปที่เมืองฉางอันมาก่อน แต่เขาก็เดาได้ว่า ‘เต๋าสะสม‘ ภายในเมืองคงสะสมมายาวนานหลายพันปี

 

คงจะมากพอให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้เป็นเวลานาน

 

“เมื่อ ‘เต๋าสะสม‘ ของวัดเส้าหลินหมดลง ถึงเวลาแล้วที่จะไปยังเมืองฉางอัน”

 

ความคิดของซูฉินพลิกตลบ

 

“เมื่อพูดถึงการลงชื่อเข้าใช้ สิทธิ์ในการลงชื่อของวันนี้ก็ยังไม่ได้ใช้เลยนี่นา”

 

ทันทีที่ซูฉินคิดออก ร่างเขาก็หายวับไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ด้านนอกศาลาพระคัมภีร์

 

“ในช่วงหลายสิบครั้งที่ผ่านมา ข้าลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์จนมีโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอยู่มากพอสมควรแล้ว วันนี้ข้าจะลงชื่อเข้าใช้ที่ศาลาพระคัมภีร์แทน”

 

ซูฉินพูดกับตนเองในใจ

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล‘]

 

เสียงจักรกลเย็นยะเยือกดังก้องอยู่ภายในหูของซูฉิน

 

“พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล?”

 

สีหน้าของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

พระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเป็นหนึ่งในคัมภีร์ระดับสูงที่สุดของวิทยายุทธทางสายพุทธ

 

ระดับนั้นสูงส่งมาก แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบเท่าฝ่ามือยูไล แต่เกรงว่ามันจะไม่ห่างไกลกันมากนัก

 

กล่าวเพียงแค่ในประวัติศาสตร์ของวัดเส้าหลินกว่าพันปีและแม้แต่ ‘ปรมาจารย์โพธิธรรม‘ ที่เชี่ยวชาญศาสตร์วิชาหลายแขนงก็ยังไม่เข้าใจในพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเลย นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ

 

ราวกับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลไม่ได้มีไว้ให้ปุถุชนได้เรียนรู้

 

ซูฉินเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าการลงชื่อครั้งนี้ของเขาจะได้รับสุดยอดคัมภีร์เช่นนี้มา

 

“คราวนี้ได้กำไรมาเต็มๆ”

 

ซูฉินมีความสุขมากเห็นได้จากรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา จากนั้นจึงหันหลังกลับไปที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

สำหรับคนอื่นๆ แม้ว่าจะได้รับต้นฉบับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลไปก็ไม่มีประโยชน์ใด

 

เพราะยังไงก็คงไม่สามารถเข้าใจความละเอียดอ่อนของเนื้อหาภายในได้

 

ดังนั้นในสายตาของคนส่วนใหญ่ จึงเห็นว่าพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลไม่ได้ใช้งานง่ายเหมือนกับหมัดอรหันต์

 

อย่างน้อยๆ หากศึกษาหมัดอรหันต์อย่างเพียรพยายาม แม้แต่คนธรรมดาก็ยังสามารถเข้าใจหลักการของมันได้ภายในไม่กี่เดือน

 

แต่กับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลนั้น?

 

ไม่ว่าจะมีความสามารถแค่ไหน ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ถ้าหากไม่เข้าใจ จะเอาไปใช้งานได้เยี่ยงไร?

 

แต่ซูฉินแตกต่างจากผู้อื่น

 

ไม่ว่าทักษะมหัศจรรย์ใดที่ได้รับมาจากระบบ จะถูกปลูกฝังเข้าไปในจิต และจะเชี่ยวชาญศาสตร์นั้นได้โดยอัตโนมัติ

 

ความยากของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลคือการไม่สามารถแม้แต่จะก้าวข้ามประตูด่านแรกในการศึกษาได้เลยด้วยซ้ำ

 

หรือกล่าวได้ว่า ส่วนที่ยากที่สุดในพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลคือส่วนที่ง่ายที่สุดในสายตาของซูฉิน

 

ตอนที่ซูฉินกำลังคิดถึงเรื่องนี้

 

ข้อมูลอันลึกซึ้งเกี่ยวกับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลก็ถาโถมเข้ามาในจิตของซูฉิน

 

ภาพทุกอย่างสับสนวิงเวียนไปหมด ในส่วนลึกของจิตใจซูฉินได้กลั่นตัวออกมาเป็นยูไลองค์ใหญ่ที่อยู่ในห้วงอดีต กำลังจ้องมองมาที่ปัจจุบันขณะและมองต่อไปยังอนาคต

 

ตูม!!!

 

จิตวิญญาณของซูฉินสั่นสะเทือน ตกใจจนลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที

 

“พระสูตรอมิตาภาบรรพกาลสมควรแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับสูงสุดของสายพุทธ”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย แม้แต่ขอบเขตอรหันต์เช่นเขาก็อดไม่ได้ที่จะนั่งจมอยู่ในความคิด ใคร่ครวญถึงพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล

 

“พระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเป็นกลวิธีบ่มเพาะจิตวิญญาณที่ใช้แก่นแท้แห่งพลังในการขับเคลื่อน”

 

เมื่อความคิดของซูฉินเคลื่อนไป แก่นแท้แห่งพลังในกายของเขาก็เริ่มไหลเวียนโคจรอย่างต่อเนื่องไปตามเส้นทางการโคจรพิเศษเฉพาะ

 

ก่อนที่จะได้รับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล ที่ผ่านมาซูฉินควบคุมจิตวิญญาณของตนด้วย‘วิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอด‘

 

‘วิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอด‘ เป็นกลวิธีบ่มเพาะจิตวิญญาณระดับอรหันต์ซึ่งสามารถเร่งความเร็วในการบ่มเพาะได้ดีทีเดียว ช่วยเพิ่มการรับรู้และควบคุมพลังฟ้าดิน

 

นับได้ว่าวิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอดเป็นกลวิธีบ่มเพาะจิตวิญญาณในระดับอรหันต์ที่ยอดเยี่ยมวิธีหนึ่ง

 

แต่ในขณะนี้หลังจากที่ได้รับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลซึ่งเหนือกว่าวิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอดไปมาก ซูฉินก็เปลี่ยนมาบ่มเพาะวิชาใหม่แทนวิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอดโดยไม่มีความลังเลเลย

 

หวู่!

 

ชี่!

 

ซูฉินนั่งลงขัดสมาธิ แก่นแท้แห่งพลังไหลเวียนไปตามแนวทางของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลอย่างรวดเร็ว

 

ฟู่ว

 

ระหว่างดำเนินการบ่มเพาะพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล ทั่วพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เกิดลมพายุก่อตัวจากพลังฟ้าดินขนาดใหญ่กว่าปกตินับสิบเท่า วิ่งวนรวมกันเป็นทรงกรวยขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ร่างของซูฉินอย่างบ้าคลั่ง

 

เวลาผ่านเลยไป

 

ลมพายุจากพลังฟ้าดินยังคงรวมตัวกันที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ไม่เพียงไม่สลายหายไป แต่กลับกระจายพื้นที่สูบพลังฟ้าดินจากทั่ววัดเส้าหลิน

 

ไม่นานจากนั้น

 

ท้องฟ้าเหนือวัดเส้าหลินก็เหมือนถูกพายุเข้าปกคลุม

 

“นั่นมันอะไรกัน?”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนเงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นตะลึง

 

ขณะนั้นพวกเขากำลังทำกิจธุระของตนอยู่ บ้างฝึกฝน บ้างทำงาน พวกเขาไม่คาดคิดว่าสภาพอากาศจะผันแปรไปอย่างรุนแรงแบบนี้ พลังฉีฟ้าดินมารวมตัวกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดคลุมไปทั่วทุกพื้นที่

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักรีบมารวมตัวกัน

 

“พลังฉีฟ้าดินมารวมตัวกันราวกับเมฆฝนเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเหล่าอรหันต์สำเร็จความก้าวหน้าในการบ่มเพาะ…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

หัวหน้าตำหนักมองหน้ากันต่างพากันกลืนน้ำลายลงคอทีละคนสองคน

 

ในสายตาของพวกเขาผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งเปรียบเสมือนเทพเจ้าที่ยืนอยู่เหนือโลกหล้า พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าหากผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ยังคงทะลวงขั้นต่อไปมันจะเป็นเยี่ยงไร?

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ได้เปิดเปลือกตาขึ้น

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด