ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 70: ฝากฝังเด็กคนนึง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything ตอนที่ 70 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“หื้อ?” จางจีถาม เขาตกตะลึงมาก

 

“ผู้อาวุโสและข้าได้คืนดีกันแล้ว มันไม่มีอะไรผิดหรอก ถ้าเจ้าจะกลายเป็นศิษย์ของเขา เจ้าไม่รู้หรือไงว่าผู้อาวุโสนักแปรธาตุเป็นคนที่รวยอันดับสองรองจากเจ้าสำนัก แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดบางคนยังเทียบกับเขาไม่ได้เลย เขายังมีตำแหน่งที่สูงมากด้วย ซึ่งแม้แต่เจ้าสำนักยังนับถือเลย”

 

เฉินเฉินอธิบาย เขาต้องการให้จางจีได้รับสิ่งดีๆไป

 

“แต่ว่า…”

 

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น รีบกลับไปขอโทษอาจารย์ของเจ้าซะ”

 

หลังจากมึนงงไปสักพักใหญ่ จางจีดูเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ สายตาของเขาแสดงให้เห็นว่าเขานั้นเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ

 

“พี่ ข้าจะฝึกตนอย่างดีๆและไม่เป็นภาระแก่พี่เอง!”

 

หลังจากพูดจบ จางจีเดินจากสวนไปอย่างเต็มไปด้วยความแน่วแน่

 

“เจ้าเด็กนี่ดูฉลาดขึ้นมาเล็กน้อยแล้วแหะ”

 

เขาจ้องไปที่แผ่นหลังของจางจีและส่ายหัวเล็กน้อย สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง เขาหันกลับไปมองเจ้าผักบุ้งน้อยในสวนสมุนไพร

 

“เจ้าตัวน้อย เจ้าต้องได้รับการสั่งสอนด้วยเช่นกัน ระวังตัวไว้ให้ดี ข้าอาจจะขายเจ้าเข้าสักวันก็ได้!”

 

เจ้าผักบุ้งน้อยในสวนเข้าใจสิ่งที่เฉินพูดพูด ก้านของมันหดลงทันที

 

“ฮึ่ม!”

 

เฉินเฉินพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา ก่อนที่จะหันเดินกลับไปในห้องฝึกตน เขายังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับขั้นสร้างรากฐานและเขายังไม่มีเวลามากพอที่จะสั่งสอนเจ้าผักบุ้งน้อย

 

เมื่อกลับเข้าไปในห้องฝึกตน เฉินเฉินก็หยิบหนังสือที่เกี่ยวข้องกับขั้นสร้างรากฐานออกมาอ่านทันที

 

 

“ความยากของการเลื่อนขั้นไปสู่ขั้นสร้างรากฐานนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนพลังปราณที่อยู่ในร่างกายของผู้ฝึก ยิ่งระดับการฝึกพลังปราณสูงมากเพียงใด ความยากในการขึ้นไปสู่ขั้นสร้างรากฐานก็จะยากมากเท่านั้น”

 

 

“น้ำอมฤตขั้นสร้างรากฐานนั้นเต็มไปด้วยพลังปราณจำนวนมาก ซึ่งด้วยการช่วยเหลือของมันแล้ว พลังปราณในจุดตันเถียนของผู้ใช้จะเข้าสู่สถานะพิเศษในช่วงเวลาอันสั้น มันทำให้ผู้ฝึกตนสามารถสร้างรากฐานได้”

 

เมื่อเห็นรายละเอียเดเกี่ยวกับขั้นสร้างรากฐานแล้ว เฉินเฉินขมวดคิ้ว

 

ขั้นสร้างรากฐานแตกต่างไปจากขั้นอื่น ยิ่งมีพรสวรรค์สูงมากเพียงใด มันยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะก้าวข้ามเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานและขั้นอื่น ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้วมันคงยากเทียบเท่ากับการก้าวขึ้นไปเหยียบย่างบนสรวงสวรรค์

 

สำหรับน้ำระฆังวิญญาณสวรรค์และสมบัติอย่างอื่นแล้ว…พลังปราณที่อยู่ในพวกมันต่างน้อยเกินไปที่จะทำให้ไปอยู่ในระดับขั้นสร้างรากฐานได้

 

ถ้าเขาต้องการที่จะสร้างรากฐานแล้ว เขาจำเป็นต้องปรุงน้ำอมฤตขั้นสร้างรากฐานพิเศษขึ้นมาหรือไม่อย่างงั้นก็ไปหาสมบัติสวรรค์ที่มีพลังปราณจำนวนมากเก็บกักไว้

 

“การฝึกตนนั้นเริ่มสร้างภาระให้กับข้าแล้วสินะ ช่างยากจนเสียจริงตัวข้า…”

 

เฉินเฉินถอนหายใจ ตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

 

 

เวลาผ่านไปดุจดั่งสายน้ำที่ไหลผ่าน ครึ่งเดือนได้ผ่านไปราวกับชั่วพริบตา

 

ในวันหนึ่ง เฉินเฉินกำลังจะออกไปข้างนอก ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงของเซี่ยวอู่โยวที่ดังมาจากตำหนักของเจ้าสำนัก

 

“ลูกศิษย์ เจ้ามาตำหนักหลักได้แล้ว”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ เฉินเฉินรีบหมุนตัวกลับและมุ่งตรงไปยังตำหนักเจ้าสำนัก เพียงเวลาไม่นานเขาก็ได้มาถึง

 

เซี่ยวอู่โยวที่อยู่ในตำหนักก็แต่งตัวแตกต่างไปจากปกติ

 

“เจ้าเป็นยังไงบ้าง? เจ้ามีอะไรก้าวหน้าในการขึ้นไปสู่ขั้นสร้างรากฐานไหม?”

 

“ไม่ครับ ข้าเหมือนว่าข้าจะก้าวขึ้นสู่ขั้น 21 ของขั้นฝึกปราณเสียมากกว่า”

 

เฉินเฉินมีสีหน้าที่ขมขื่น ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาได้ตามหาสมบัติอย่างต่อเนื่องและไม่มีเวลาที่จะฝึกตนเลยสักนิด ยังไงก็ตาม เนื่องจากว่าเขามีพรสวรรค์สูงมาก สถานการณ์ฝึกตนของเขาจึงพัฒนาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ มันไม่จำเป็นต้องฝึกเลยด้วยซ้ำ

 

เซี่ยวอู่โยวอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

 

‘คนที่มีพรสวรรค์ก็มีปัญหาของตัวเองเหมือนกัน มันทำให้ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง’

 

“เส้นทางการฝึกตนมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย ยิ่งระดับการฝึกตนสูงมากขึ้นเพียงใด มันยิ่งยากมากขึ้นเพียงนั้น ก่อนหน้านี้ เจ้าได้ทำตัวสบายๆมามากเกินพอแล้ว”

 

“อาจารย์ ท่านพูดถูก แต่ทำไมท่านถึงเรียกข้ามาในวันนี้กันครับ?” เฉินเฉินถาม

 

“ข้าต้องการพาเจ้าออกไปดูโลกภายนอก ในเวลาเดียวกันมันอาจจะช่วยเจ้าแก้ไขปัญหาในการสร้างรากฐาน”

 

หลังจากพูดเสร็จ เซี่ยวอู่โยวไม่รอการตอบกลับของเฉินเฉิน ก่อนที่จะลากเขาออกไปด้านนอก

 

ทันทีที่เขาออกมาจากตำหนักเจ้าสำนัก ดาบยักษ์ก็ปรากฏขึ้น

 

เมื่อเฉินเฉินเห็นมันลอยมา เขาก็กระโดดขึ้นไปบนนั้นอย่างคล่องแคล่ว

 

“อาจารย์ครับ พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”

 

“ไปยังชายแดนของจี่โจวและโยวโจว จำที่ข้าบอกเจ้าเมื่อเดือนก่อนได้ไหม? มันมีมังกรอสูรที่อยู่ในขั้นแก่นทองคำระดับสูงสุดที่อยู่ชายแดนของจี่โจวและโยวโจว”

 

ในขณะที่นึกถึงเรื่องนี้ ตาของเฉินเฉินโตขึ้น ก่อนที่จะถามออกมา “พวกเราจะไปสังหารมังกรกันหรือครับ?”

 

พูดตามจริงแล้ว เฉินเฉินไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตอย่างอสูรมังกรในโลกนี้มาก่อน แต่เขาก็เคยกินปลาคาร์พที่กำลังจะมีสติปัญญาไปแล้ว

 

“อืม เจ้าอสูรมังกรตัวนั้นมีน้ำอมฤตภายในที่เป็นรู้จักกันในชื่อ ไข่มุกมังกรและพลังปราณที่อยู่ภายในนั้นมันมีมหาศาลมาก มันอาจจะทำให้เจ้าเลื่อนขั้นไปสู่ขั้นรากฐานได้”

 

คำพูดของเซี่ยวอู่โยวดูไม่ชัดเจนและดูเหมือนเขาซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ เฉินเฉินไม่ได้ตั้งคำถามอะไรต่อ เขาเพียงแค่จดจำความใจกว้างของอาจารย์ของเขาเอาไว้

 

 

ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขั้นแก่นทองคำระดับสูงุสดนั้นสามารถบินได้อย่างรวดเร็วมาก ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เซี่ยวอู่โยวได้พาเฉินเฉินมายังแม่น้ำสายใหญ่

 

แม่น้ำแห่งนี้เป็นที่รักจักกันในที่ชื่อแม่น้ำโยวและมันทอดยาวไปนับพันกิโลเมตร มันเป็นที่แบ่งระหว่างจี๋โจวและโยวโจว ตั้งแต่อดีตกาล มันได้สร้างมังกรเจียหลองขึ้นมาอยู่เสมอ

 

เพียงเวลาไม่นานที่ทั้งสองคนลงบนพื้น เสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจก็ดังขึ้นด้านข้างพวกเขา

 

“อู่โยว เจ้ามาถึงแล้วสินะ ทำไมเจ้าถึงพาเด็กมากับเจ้าด้วยกัน? สิ่งที่พวกเราจะทำกันในวันนี้คือเรื่องชี้เป็นชี้ตายเลยนะ คนยิ่งรู้น้อยยิ่งดีนะ”

 

เมื่อได้ยินน้ำเสียงนี้ เฉินเฉินเงยหน้าขึ้นมามองก่อนที่จะเห็นผู้หญิงที่แต่งตัวในชุดขาวที่มีหน้าตาอ่อนหวาน แต่สายตาของเธอกลับเต็มไปด้วยเย็นชาเสียอย่างงั้น

 

“หลัวฉุย เฉินเฉินคือลูกศิษย์ส่วนตัวของข้าและจะกลายเป็นเจ้าสำนักเทียนหยุนในอนาคตด้วย ไม่จำเป็นต้องซ่อนอะไรกับเขาหลอก”

 

เซี่ยวอู่โยวแข็งทื่อ แต่น้ำเสียงของเขาทั้งอ่อนนุ่มและอ่อนโยนมาก

 

เฉินเฉินที่ยืนมองอยู่ด้านข้างคอยฟังบทสนทนาของทั้งสองคน

 

จากวิธีการเรียกของทั้งสองคน เฉินเฉินก็คาดเดาได้แล้วว่าทั้งสองคนน่าจะมีความชื่นชอบของกันและกัน

 

ยิ่งไปกว่านั้น การแสดงออกของเซี่ยวอู่โยวยังดูแข็งทื่ออีกด้วย..

 

มันเหมือนกับว่าทั้งสองคนกำลังเดทกันอยู่เลย!

 

“ไม่สงสัยเลยที่อาจารย์เปลี่ยนชุดก่อนออกมา มันกลับกลายเป็นว่าเขาออกมาหาคนรักของเขานี่เอง”

 

เฉินเฉินพึมพำกับตัวเอง ในอีกด้านหนึ่ง เซี่ยวอู่โยวได้แนะนำ “ลูกศิษย์ นี่คือเจ้าสำนักโยวฉุยในโยวโจว เธอคือเพื่อนเก่าของข้า เจ้าสามารถเรียกเธอว่าศิษย์พี่โยวได้เลย”

 

“เพื่อนเก่างั้นเหรอ? ฮึ่ม! เซี่ยวอู่โยว เจ้ารู้จักใช้คำพูดดีนะ! บอกข้ามาสิว่าเจ้าต้องการที่จะก้าวขึ้นไปสู่ขั้นก่อกำเนิดวิญญาณอยู่ไหม?”

 

โยวหลัวฉุยได้พูดขัดเซี่ยวอู่โยวขึ้นทันที

 

“หลัวฉุย ตามรายงานที่ข้าได้รับมา สำนักอู๋ซิ่นวางแผนการที่จะเตรียมทำอะไรบางอย่างในเดือนนี้ ถ้าข้าไม่ได้ก้าวข้ามไปสู่ขั้นก่อกำเนิดวิญญาณ สำนักเทียนหยุนของข้าคงไม่มีโอกาสที่จะต้านทานได้เลย”

 

น้ำเสียงของเซี่ยวอู่โยวเคร่งเครียด เขาดูเหมือนเตรียมพร้อมที่จะสู้สุดกำลังโดยที่ไม่หวั่นเกรงต่อความตายเลยทีเดียว

 

เมื่อเห็นดังนั้น สายตาที่เย็นชาของโยวหลัวฉุยก็อ่อนโยนมากขึ้น เธอพูดออกมา “เจ้าจำสำนักดาบยักษ์ได้ไหม? ก่อนหน้านี้ เจ้าสำนักดาบยักษ์ก็ได้เข้าสู่ขั้นก่อกำเนิดวิญญาณและปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสำนักอู๋ซิ่น มันเกิดอะไรขึ้นกันละ? พวกเขาถูกบดขยี้ในชั่วข้ามคืนและสำนักดาบยักษ์ก็ล่มสลายลงและถูกแทนที่โดยสำนักดาบศักดิ์สิทธิ์ เจ้า…”

 

“มันไม่สำคัญหรอก ข้ามาที่นี่เพื่อล่ามังกร เพื่อที่จะได้ซ่อนความจริงที่ข้าได้เข้าสู่ขั้นก่อกำเนิดวิญญาณยังไงละ มันจะไม่มีใครสำนักอู๋ซิ่นค้นพบเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

น้ำเสียงของเซี่ยวอู่โยวดูใจเย็นมาก

 

เฉินเฉินตกใจที่ได้ยินว่าการล่ามังกรมันมีเรื่องราวที่ซ่อนไว้อยู่แบบนั้น

 

ยิ่งไปกว่านั้นแล้วสำนักอู๋ซิ่นยังเคยสังหารสำนักที่มีคนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดวิญญาณไปแล้วอีกด้วย

 

มันเห็นได้เด่นชัดว่า วิธีการพัฒนาของสำนักอู๋ซิ่นนั้นคือการขับไล่กองกำลังด้านนอกออกไปและมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งในสำนักภายใน แม้ว่าพวกเขาจะต้องทำให้กองกำลังของพวกเขาอ่อนแอลงกับการรับมือสำนักอสูรก็ตาม พวกเขายังคงเลือกที่จะทำให้มั่นใจว่าสำนักอู๋ซิ่นจะเป็นผู้ที่ปกครองรัฐจินแบบนี้

 

“ตั้งแต่ที่เจ้าได้ตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่บังคับอะไรเจ้าอีก ข้าจะไปล่อให้มังกรอสูรออกมาก่อนละ” โยวหลัวฉุยพูด เธอมองไปที่แม่น้ำที่สงบนิ่งด้วยออร่าที่เริ่มทรงพลังมากขึ้น

 

“หลัวฉุย รอก่อน”

 

“หือ?”โยวหลัวฉุยหันกลับมามอง

 

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ข้าขอฝากลูกศิษย์คนนี้เอาไว้กับเจ้าด้วย ไม่ว่าจะเป็นตอนข้าเลื่อนขั้นไปสู่ขั้นวิญญาณก่อกำเนิดหรือการเผชิญหน้ากับสำนักอู๋ซิ่นก็ตาม”

 

เซี่ยวอู่โยวพูดออกมาด้วยความจริงจัง

 

ในจุดนี้เอง อารมณ์ความรู้สึกของเฉินเฉินซับซ้อนมากขึ้นอย่างมาก อาจารย์ของเขาได้ฝากเขาไว้กับ…คนรักและเจ้าสำนักอีกสำนักหนึ่ง

 

มันเหมือนกับว่าสถานการณ์ภายในสำนักเทียนหยุนมันยุ่งยากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว โยวหลัวฉุยเหลือบตามองไปที่เฉินเฉินก่อนที่จะหันกลับไปมองแม่น้ำ เธอก็พูกดขึ้น “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจะพาเจ้าเด็กนี่ไปยังสำนักอสูร ถ้าสำนักอู๋ซิ่นมันเหี้ยมโหดเกินไป พวกมันก็จะโทษข้าที่ทำตัวแบบนี้ไม่ได้อีก!”

 

โฮก!

 

ไม่กี่ชั่วขณะต่อมา เสียงคำรามดังกังวานออกมาจากใจกลางของแม่น้ำ เสียงของมันดังก้องไปทั้งผืนฟ้าและผืนปฐพี!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด