ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 79: ผู้สืบทอดพยัคฆ์ขาว

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything ตอนที่ 79 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ในทันทีที่ซุนเทียนกังพูด หางตาของผู้อาวุโสใหญ่ก็กระตุกเล็กน้อยในขณะที่เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญา

 

เฉินเฉินในอีกด้านนึงมองซุนเทียนกังด้วยความโล่งอกอย่างมาก เหมือนกับว่าเขาโล่งใจที่ไม่ได้ตัดสินเขาผิด

 

หลังจากที่ยืนยันผู้ร่วมเดินทางได้แล้ว เฉินเฉินก็เดินไปข้างเซี่ยวอู่โยวแล้วกระซิบ “ท่านอาจารย์ ข้าคงต้องรบกวนท่านช่วยดูแลสัตว์เลี้ยงในสวนของข้าแล้วหล่ะครับ”

 

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก” เซี่ยวอู่โยวพูดอย่างใจเย็น ซึ่งมันทำให้เฉินเฉิรู้สึกโล่งใจมากจริงๆ

 

อันที่จริงมันไม่มีอะไรต้องกังวลเลย ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณดินเหลืองและเจ้าผักบุ้งจะโง่กันทั้งคู่ แต่หูเซียงเอ๋อมีสติปัญญาที่หลักแหลมมาก นอกจากนี้ เธอยังมีเหรียญสื่อสารของตัวเองด้วย ถ้าเธอเจอกับปัญหาเข้าจริงๆ เธอก็สามารถติดต่อเฉินเฉินได้ในทันที

 

ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสหานของสำนักอู๋ซินก็พูดอย่างเรียบเฉย “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปกันเถอะ”

 

เฉินเฉินไม่ได้ลังเลเลยหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาและก้าวขึ้นไปบนเรือเหาะอย่างรวดเร็ว ด้วยกันกับจางจีและซุนเทียนกังที่ตามเขามา

 

ผู้อาวุโสจ้าวที่อยู่จุดสูงสุดของแก่นทองคำเป็นคนสุดท้ายที่ขึ้นไปบนเรือเหาะ

 

เซียนนั้นมีของทุกอย่างเก็บเอาไว้ในอุปกรณ์เก็บของของพวกเขา ดังนั้นมันจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเตรียมตัวอะไรมากสำหรับการเดินทางไกล

 

ในขณะที่มองเฉินเฉินขึ้นไปบนเรือเหาะ เซี่ยวอู่โยวก็รู้สึกอยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น

 

เฉินเฉินหันไปมองอาจารย์ของเขาก่อนที่จะมองดูพวกศิษย์ภายในและภายนอกที่กำลังรอส่งอย่างแน่วแน่เหมือนกับลูกไก่ตัวน้อยๆ

 

 

เรือเหาะเริ่มลอยขึ้นไปอย่างช้าๆและในที่สุดก็ขึ้นไปที่ระดับความสูงหนึ่งพันเมตรซึ่งมันเป็นจุดที่เรือเริ่มเคลื่อนตัวออกไปข้างหน้า

 

 

 

พวกเขาอยู่บนเรือเหาะ

 

คนของสำนักอู๋ซินได้จัดที่พักให้กลุ่มสี่คนของเฉินเฉิน

 

“ห้องรับแขกสวรรค์หรอ?”

 

ผู้อาวุโสจ้าวมองป้ายของที่พักแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

“หึหึ แขกพิเศษของสำนักเทียนหยุน พี่ใหญ่ต้วนบอกว่าความแข็งแกร่งของท่านเฉินเฉินนั้นน่าอัศจรรย์และก้าวข้ามผู้สืบทอดของสำนักอื่นไปแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงเหมาะสมที่จะได้เข้าพักห้องรับแขกสวรรค์”

 

หลังจากที่พูด คนจากสำนักอู๋ซินก็บอกลากลุ่มของเฉินเฉินด้วยความเคารพ

 

หลังจากที่เขาไปแล้ว เฉินเฉินก็ถามอย่างสงสัย “อะไรกัน? หรือว่าห้องรับแขกสวรรค์นี้จะมีอะไรมากกว่านั้น?”

 

ผู้อาวุโสจ้าวพยักหน้าแล้วพูดอย่างนุ่มนวล “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้ามาอยู่บนเรือเหาะของสำนักอู๋ซิน ที่นี่มีห้องรักแขกสวรรค์แค่หนึ่งห้อง ห้องรับแขกปฐพีสี่ห้อง และห้องรับแขกมนุษย์หกห้อง”

 

“นี่ก็แสดงว่าสำนักอู๋ซินเป็นเจ้าภาพที่ดีอยู่ไม่ใช่หรอ?” ซุนเทียนกังพูดด้วยความประหลาดใจ

 

เขาคิดว่าเขาจะได้เจอกับความยากลำบากในตอนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ของสำนักอู๋ซิน อย่างไรก็ตาม เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับห้องที่ดีที่สุดในทันทีที่ขึ้นมา

 

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาไม่ได้โง่เหมือนซุนเทียนกัง

 

จากแปดสำนักทางเหนือ สำนักเทียนหยุนนั้นอยู่ลำดับสองในขณะที่สำนักพยัคฆ์ขาวอยู่ลำดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้สืบทอดของสำนักพยัคฆ์ขาวยังไม่ได้ขึ้นมาเลย แต่กลุ่มของเฉินเฉินกลับได้ห้องรับแขกที่ดีที่สุดแล้ว แบบนี้ผู้สืบทอดของสำนักพยัคฆ์ขาวจะคิดยังไงหล่ะ?

 

พวกเขาอาจจะถูกเหม็นหน้าได้

 

สำนักอู๋ซินพยายามสร้างความไม่ลงรอยและก่อปัญหาในบรรดาแปดสำนักทางเหนืออย่างเห็นได้ชัด

 

“พวกเราจะอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน สำนักเทียนหยุนไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่จะมากลัวการอยู่ในห้องรับแขกนี้”

 

ผู้อาวุโสจ้าวกรอกตามมองซุนเทียนกังและในที่สุดก็ทำการตัดสินใจ

 

เฉินเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างเองก็พยักหน้าเล็กน้อยในขณะที่พวกเขาทั้งสองเดินนำเข้าไปในห้องรับแขก

 

ทั้งซุนเทียนกังและจางจีต่างก็มองหน้ากันด้วยความสับสน และไม่เข้าใจความหมายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดของผู้อาวุโสจ้าว สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากส่ายหัวและเดินตามหลังไปด้วยใบหน้างุนงง

 

ห้องรับแขกสวรรค์นั้นกว้างขวางมาก มันคือห้องสูทขนาดใหญ่และมีพื้นที่มากมายสำหรับคนสี่คน สมาชิกแต่ละคนนั้นมีสีหน้าที่แตกต่างกันไปในตอนที่เข้ามา

 

“หอลมใบไม้ผลิอยู่ในส่วนของโลกมนุษย์ดังนั้นมันจึงหรูหรามาก แต่ไม่ว่าจะเป็นเตียงไหนในห้องนี้มันก็มีค่าพอๆกับหอลมใบไม้ผลิสองสามแห่ง”

 

เฉินเฉินส่ายหัวเป็นการตอบสนอง ถ้าเขามองไม่ผิด แม้กระทั่งโต๊ะที่อยู่ตรงข้ามห้องก็ทำมาจากแผ่นหินวิญญาณทั้งแผ่นซึ่งมีค่าไม่ต่ำกว่าหินวิญญาณหนึ่งพันก้อน

 

มันไม่ใช่แค่ห้องรับแขกแต่ยังมีอุปกรณ์ครบครัน เห็นได้ชัดว่าสำนักอู๋ซินนั้นมีพื้นเพที่แข็งแกร่ง

 

หลังจากได้เห็นที่พัก ผู้อาวุโสจ้าวและซุนเทียนกังก็ยังคงอยู่ในห้องเพื่อทำการฝึกตนในขณะที่เฉินเฉินและจางจีกลับไปที่ดาดฟ้าเรือ

 

ในตอนนี้ ผู้สืบทอดทั้งหกกำลังยืนอยู่ตรงราวของดาดฟ้าเรือและมองดูทัศนียภาพด้านล่าง

 

เฉินเฉินเอนตัวพิงขอบราว

 

“ระบบ นอกจากข้า ใครแข็งแกร่งที่สุดในระยะ 30 เมตร?”

 

“โยวหลานชินที่อยู่ 12 เมตรทางซ้ายตรงหน้าของท่าน สถานการณ์ฝึกตนของเธออยู่ในช่วงขั้นสุดท้ายของสร้างรากฐาน”

 

เมื่อได้ฟังคำตอบของระบบ เฉินเฉินก็มองไปทางแผ่นหลังของบุคคลที่อยู่ไกลๆซึ่งสวมผ้าปิดหน้าสีดำเอาไว้

 

เธอถอดแบบมาจากภรรยาของอาจารย์ของเขาจริงๆ แม้กระทั่งสไตล์การแต่งตัวก็ยังเหมือนกัน

 

เนื่องจากโยวหลานชินแข็งแกร่งที่สุด มันก็หมายความว่าข้อมูลที่ได้รับมาจากอาจารย์ของเขานั้นถูกต้อง

 

นอกจากสำนักเทียนหยุนและสำนักพยัคฆ์ขาว ผู้สืบทอดของหกสำนักอื่นๆนั้นไม่ได้มีความสามารถเก่งกาจจนเกินไป

 

จากข้อมูล สี่ในหกของผู้สืบทอดนั้นอยู่ในช่วงขั้นสุดท้ายของสร้างรากฐาน ในขณะที่อีกสองสำนักอยู่ในขั้นกลางของสร้างรากฐาน

 

พวกที่อยู่ขั้นสุดท้ายของสร้างรากฐานนั้นไม่มีปัญหาแต่พวกที่อยู่ขั้นกลางถือว่าอ่อนแอเกินไป

 

แน่นอนว่าถ้าเขาไม่ได้เข้าร่วมสำนักเทียนหยุน คนที่สำนักเทียนหยุนส่งมาได้ก็น่าจะมีแค่ซุนเทียนกัง

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาคงจะประเคนทรัพยากรให้ซุนเทียนกังอย่างแน่นอนเพื่อให้เขาเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของสร้างรากฐาน

 

ดูเหมือนจะรู้สึกตัวว่ามีคนจ้องมองเธออยู่ โยวหลานชินได้หันกลับมาและเห็นว่ามันคือเฉินเฉิน ความสงสัยสะท้อนออกมาทางดวงตาของเธอ และเธอก็ถือโอกาสเดินเข้ามาหาเฉินเฉินก่อนที่จะโค้งคำนับเขา

 

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่ใหญ่เฉิน ข้าหลานชิน ท่านอาจารย์เคยบอกข้าว่าเฉินเฉิน ศิษย์ของสำนักเทียนหยุนนั้นมีพรสวรรค์อย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากที่ได้พบกันในวันนี้ ข้าก็ได้รับรู้แล้วว่าท่านนั้นสมกับคำล่ำลือจริงๆ”

 

เฉินเฉินตกตะลึงเล็กน้อยกับคำพูดของเธอ เพราะเขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้สืบทอดที่ดูไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครคนนี้เป็นฝ่ายเข้ามาหาเขาก่อนและประจบเขาในทันที

 

ในขณะที่เขากำลังจะตอบรับคำชม โยวหลานชินก็พูดขึ้นมาอีกครั้งอย่างกระทันหัน

 

“พี่ใหญ่เฉิน ท่านอาจารย์ได้ให้คำแนะนำกับข้ามาแล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในการเดินทางนี้ คนของสำนักโยวฉุยทั้งหมดจะทำตามการชี้แนะของท่านค่ะ”

 

“หืม?” เฉินเฉินประหลาดใจเล็กน้อย

 

การเดินทางครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของสำนักจริงๆ แต่ภรรยาของท่านอาจารย์ของเขาก็ยังให้คำสั่งแบบนี้มาเนี่ยนะ

 

‘นี่ข้าเป็นคนที่ดูน่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยหรอ?’

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเธอเข้ามาหาเขาก่อน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องปฏิเสธ ถึงยังไง ยิ่งมีคนมากก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมาก

 

หลังจากที่คิดดูแล้ว เฉินเฉินก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสุภาพเกินไปแล้วนะ น้องหญิง เจ้ากับข้าอยู่ฝ่ายเดียวกันมาตั้งแต่แรก มันแน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเราควรทำงานด้วยกัน”

 

“พี่ใหญ่ ท่านพูดถูกแล้วค่ะ แล้วท่านคิดว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นยังไงคะ?”

 

โยวหลานชินถามอีกครั้ง

 

พวกเขาทั้งสองเริ่มพูดคุยกันบนดาดฟ้าเรือ

 

ในตอนแรกนั้น โยวหลานชินแค่อยากทำความรู้จักเฉินเฉินให้มากขึ้นแต่ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน เธอก็ไม่สามารถหยุดได้

 

เธอคาดหวังที่จะทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้นเพราะดูเหมือนเขามักจะคิดต่างจากคนอื่นและชอบพูดเรื่องที่น่าตกใจอยู่ตลอด

 

‘ไม่แปลกใจเลยที่ท่านอาจารย์บอกว่าคนๆนี้ไม่ใช่คนดีและอยากให้ข้าฟังเรื่องไร้สาระของเขาให้น้อยๆ…เพราะเกรงว่าข้าจะโดนหลอก ตอนนี้ดูเหมือนว่าที่เธอพูดมาจะเป็นความจริงสินะ’

 

โยวหลานชินมองเฉินเฉินที่กำลังให้คำแนะนำ และแอบระวังตัวอย่างลับๆ

 

ในตอนนี้ เรือเหาะได้หยุดลงอย่างกระทันหันในขณะที่ผู้อาวุโสของสำนักอู๋ซินลงไปจากเรือด้วยกันกับต้วนปิง

 

เฉินเฉินมองลงไป และเห็นแค่ภูเขาลึกกับป่าเก่าแก่ที่อยู่ด้านล่าง มีอาคารที่ดูโอ่อ่าหลังนึงอยู่ท่ามกลางหุบเขาลึกและป่าเก่าแก่ที่ว่านี้

 

“นี่คือสำนักพยัคฆ์ขาว ซึ่งอยู่ลำดับหนึ่งในบรรดาแปดแปดสำนักทางเหนือและอยู่ลำดับสามใน 36 สำนักของรัฐจินสินะ” เฉินเฉินพึมพำ

 

ในขณะที่มองลงไปด้านล่าง เขาไม่คิดว่าอาณาเขตของสำนักพยัคฆ์ขาวจะดีไปกว่าสำนักเทียนหยุนมากนัก

 

แต่ในขณะที่เขามองผ่านเมฆหมอกเพื่อสังเกตดูฉากด้านล่างนั้นเอง ความผันผวนที่รุนแรงของพลังปราณก็พวยพุ่งขึ้นมาจากด้านล่าง

 

หลังจากผ่านไปประมาณห้านาที ความผันผวนของพลังปราณก็สงบลง

 

หลังจากนั้นอีกสามนาที ต้วนปิงและผู้อาวุโสหานของสำนักอู๋ซินก็กลับขึ้นมาบนเรือเหาะ

 

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ต้วนปิงอยู่ในสภาพเลวร้ายกว่าตอนที่เขาลงไปที่สำนักเทียนหยุนซะอีก ไม่เพียงแค่ใบหน้าของเขาจะบวมปูดจากการถูกซ้อมอย่างโหดร้าย แต่ฟันของเขายังหายไปด้วยและความโกรธก็เขียนอยู่บนใบหน้าของเขา

 

มีคนสี่คนตามหลังเขามา

 

หัวหน้าของสี่คนนี้คือชายคนนึงที่สวมชุดเกราะสีขาวเต็มตัว ใบหน้าทั้งหมดของเขาถูกปิดด้วยเกราะ และมีแค่ดวงตาที่เฉยเมยเท่านั้นที่เผยออกมา

 

สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าก็คือออร่าอันเย็นชาและเด็ดขาดนั้นได้แผ่ออกมาจากตัวเขาตลอดเวลา ซึ่งดูเหมือนจะมีจิตสังหารที่มากกว่าตรงข้ามกับความหนาวเหน็บของสุดยอดหวังฉินเต๋า และนี่ก็ทำให้ต้วนปิงอดตัวสั่นไม่ได้

 

ผู้สืบทอดและผู้ติดตามคนอื่นๆอีกหลายคนต่างก็ดูหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดในตอนที่พวกเขาเห็นชายในชุดเกราะและเดินถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

 

ชายในชุดเกราะนั้นมีชื่อเสียงในหมู่แปดสำนักทางเหนือ เป็นที่รู้จักกันในฐานะสุดยอดจิตสังหาร และเก่งที่สุดในรุ่นของเขา!

 

เขาคือเย่หวู่เชิง ผู้สืบทอดของสำนักพยัคฆ์ขาว

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด