ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – Chapter 94: โอกาสในการรีดไถมาถึงแล้ว

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything ตอนที่ 94 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนนี้เฉินเฉินประหลาดใจเล็กน้อย

 

เขาไม่ได้ประหลาดใจที่ผู้สืบทอดสำนักอู๋ซินฉงเย่กำลังท้าประลองกับเย่หวู่เชิงแต่เขาประหลาดใจเกี่ยวกับหยวนฉิงเทียนแห่งสำนักวายุซ่อนเร้น

 

เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดของ 18 สำนักที่ระบบตรวจจับได้ เขามีหน้าตาธรรมดาและสวมชุดฝึกสีดำ ที่ภายนอกเขาดูไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาเลยและไม่ค่อยมีตัวตนด้วย

 

บทบาทของเขาใน 18 สำนักดูเหมือนจะช่วยเน้นย้ำตัวตนของเขา

 

เขาก็เป็นแค่เบี้ยตัวนึง

 

18 สำนักคงไม่ปล่อยให้ยอดฝีมือท้าประลองคนอื่นหรอก

 

ซึ่งมันเป็นเพราะคนที่อยู่อันดับหนึ่งนั้นไม่สามารถท้าประลองใครได้และทำได้แค่ถูกท้าเท่านั้น

 

แต่ว่าตั้งแต่แรกแล้วใครจะไปกล้าท้าอันดับหนึ่งหล่ะ?

 

พวกเขาต้องทำตามคำสั่งของสำนักอู๋ซินและถ้าพวกเขาถือวิสาสะท้าทายคนอื่น พวกเขาก็จะตกเป็นเป้าของฉงเย่

 

ดังนั้น หลังจากที่หยวนฉิงเทียนนั่งตำแหน่งที่หนึ่งที่เขาเลือก มันก็หมายความว่าเขาจะต้องนั่งอยู่ตรงนั้นไปอีกสองวัน เขาคงจะได้รับอนุญาตให้ลงมาหลังจากที่ฉงเย่จัดการกับคนอื่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

‘นี่ก็หมายความว่าผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดใน 18 สำนักจะต้องนั่งเป็นมาสคอตโชว์ไปสองวันหรอ?’

 

‘เสียดายพรสวรรค์ชะมัด!’

 

เฉินเฉินงุนงงอย่างถึงที่สุดและเขาก็ไม่เข้าใจแผนการของสำนักอู๋ซินเลย

 

ในตอนนี้ เย่หวู่เชิงได้เดินไปที่สังเวียนแล้ว เนื่องจากความจริงที่ว่าเขาสวมชุดเกราะทั้งตัว ฝีเท้าของเขาจึงหนักหน่วงและเสียงที่เกิดขึ้นในทุกก้าวเดินก็ดูเหมือนกับกำลังกระทุ้งหัวใจของพวกเขาและทำให้พวกเขารู้สึกถูกกดดัน

 

ในอีกด้านนึง ฉงเย่ได้บินตรงไปที่กลางสังเวียน และดูมีท่าทีผ่อนคลาย

 

ในขณะที่มองฉงเย่ที่อยู่ไม่ไกลนัก หน้ากากเหล็กของเย่หวู่เชิงก็สั่นเล็กน้อย

 

“ข้ารู้ว่าข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่สำนักพยัคฆ์ขาวจะไม่มีวันยอมแพ้ก่อนที่จะได้ต่อสู้”

 

“หึ”

 

ฉงเย่เย้ยหยันอย่างไร้อารมณ์

 

พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ในสังเวียนและกำลังจ้องหน้ากัน ในจังหวะต่อมา ออร่าที่รุนแรงและเต็มไปด้วยจิตสังหารก็แผ่ออกมาจากร่างกายของเย่หวู่เชิงอย่างกระทันหัน

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงออร่าจิตสังหารนี้ ผู้อาวุโสแก่นทองคำที่เป็นกรรมการก็ได้รับผลกระทบและถอยหลังไปสองก้าว

 

“นี่เจ้าตั้งใจจะใส่พลังทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเลยรึไง?” ฉงเย่ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

เย่หวู่เชิงไม่ตอบ ชุดเกราะเต็มตัวของเขาสั่นไหวด้วยแสงจากพลังปราณ หลังจากนั้นเสือขาวตัวใหญ่ที่มีลำตัวยาวเกือบ 10 เมตรและสูงสี่เมตรก็ปรากฎขึ้นข้างหลังเขา

 

เงาเสือขาวตัวนี้คำรามแล้วทะยานขึ้นไปบนฟ้าในขณะที่แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นกระจายไปทุกทิศทาง

 

ผู้สืบทอดของ 36 สำนักที่กำลังนั่งอยู่บนแท่นสูง ต่างก็พากันหน้าซีดในตอนที่พวกเขาถูกครอบงำด้วยแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นเพราะในความคิดของพวกเขา มันไม่ใช่เสือขาวแต่เป็นทะเลแห่งซากศพและเลือด!

 

คงมีแค่พระเจ้าที่รู้ว่าเย่หวู่เชิงฆ่าพวกสำนักปีศาจไปมากแค่ไหนจึงได้รับตำแหน่งที่สี่ในกลุ่มยอดฝีมือ!

 

“ฆ่า!”

 

เมื่อเห็นว่าเสือขาวก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เย่หวู่เชิงก็คำราม แล้วประเคนหมัดใส่ฉงเย่ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เงาเสือขาวตัวใหญ่ยักษ์ก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง!

 

ในตอนนี้ ฉงเย่กำลังหลับตาอยู่ เขาสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด และพึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่ปะติดปะต่อกันใต้ลมจมูกของเขา

 

ในวินาทีต่อมา คลื่นความหนาวเย็นที่ดูมืดมนก็ปกคลุมทั้งสังเวียน และเงาเสือขาวก็สลายไปอย่างกระทันหันในขณะที่พลังปราณในหมัดของเย่หวู่เชิงหายไปในทันที

 

ก่อนที่ฝูงชนจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ฉงเย่ก็ไปถึงตัวเย่หวู่เชิงแล้วด้วยความผิดหวังเล็กน้อยในดวงตาของเขา

 

“เย่หวู่เชิง หัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจและเจ้าก็ดูเหมือนถูกอะไรบางอย่างครอบงำอยู่ ถ้าขืนเจ้ายังเป็นแบบนี้ เจ้าก็ไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้หรอก”

 

หลังจากที่พูดจบ ฉงเย่ก็กระแทกฝ่ามือใส่ร่างกายของเย่หวู่เชิง

 

ผัวะ!

 

ด้วยเสียงระเบิดดังสนั่น เย่หวู่เชิงก็กระเด็นออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่และกระแทกเข้ากับรั้วของสนามประลองที่อยู่ไกลๆ

 

รั้วนั้นพังลงในทันทีและชุดเกราะของเย่หวู่เชิงก็ถูกย้อมด้วยสีแดงของเลือดอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่ต้องห่วง เขาไม่ตายหรอก”

 

ฉงเย่พูดออกมาอย่างเรียบเฉยก่อนที่จะบินไปทางวัง

 

แน่นอนว่าเขาจะไม่นั่งที่ของเย่หวู่เชิง

 

การนั่งตรงนั้นก็เหมือนกับการเหยียดหยามเขา

 

หลังจากที่ฉงเย่ไปแล้ว สนามประลองก็ตกอยู่ในความเงียบ

 

เย่หวู่เชิงที่อยู่อันดับสามในกลุ่มยอดฝีมือพ่ายแพ้แล้ว นี่คือพลังของราชาองค์ใหม่แห่งรัฐจินที่อยู่อันดับหนึ่ง

 

ในสองวันกับอีกครึ่งวัน ฉงเย่สามารถท้าประลองได้อีกห้าคน ไม่รวมคนไม่สำคัญอย่างหยวนฉิงเทียน ยังมีคนอีกสี่คนจาก 36 สำนักที่ต้องสู้กับฉงเย่

 

แล้วสี่คนที่ว่านี้จะเป็นใครบ้างหล่ะ?

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของผู้สืบทอดสิบอันดับแรกของ 36 สำนักก็ตกอยู่ในความหนักอึ้ง

 

“พี่ใหญ่เฉินเฉิน ความแข็งแกร่งที่พี่แสดงก่อนหน้านี้มันน่าประทับใจมากจริงๆค่ะ ข้าคิดว่าท่านจะต้องตกเป็นเป้าหมายของฉงเย่แน่ ๆเลย!”

 

โยวหลานชินพูดด้วยสีหน้ากังวล

 

“ก็คงจะใช่ ข้าจะไปทำอะไรได้หล่ะ? อย่างมากที่สุด ข้าก็แค่ได้รับบาดเจ็บหนัก และพวกเราก็จะกลับบ้านกันทั้งคู่” เฉินเฉินตอบอย่างไม่สนใจ

 

โยวหลานชินมองเย่หวู่เชิงที่โชกไปด้วยเลือดและพึมพำออกมาด้วยความกลัวในดวงตาของเธอ “อะไรกันคะ… นี่พี่ไม่กลัวความเจ็บปวดหรอ?”

 

เฉินเฉินพูดไม่ออกเล็กน้อย

 

‘เซียนหญิงคนนี้กลัวความเจ็บปวดหรอ?’

 

อย่างไรก็ตาม พอมาคิดดูดีๆ เขาก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างน่ากลัวเหมือนกัน

 

 

เมื่อเย่หวู่เชิงแพ้ไปแล้ว ขวัญกำลังใจของผู้สืบทอดก็เพิ่มขึ้น

 

หลังจากนั้นในทันที เซียนหญิงแห่งสำนักซวนปิ่งก็ท้าทายเซียวฮวง เซียนหญิงแห่งสำนักวิหคสีชาด เพื่อที่จะถอดถอนเธอออกจากตำแหน่งที่สี่

 

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้นั้นโหดร้ายและน่าเศร้าเป็นอย่างมากซึ่งจบลงที่ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนัก

 

ตอนนี้การต่อสู้จัดอันดับกำลังอยู่ในช่วงคูลดาวน์

 

หลังจากช่วงเช้าของวันแรก 15 จาก 36 สำนักได้ถูกแทนที่ด้วย 18 สำนัก

 

มีแค่ฉีปู่ฝานและหมากอีกสองคนที่ยังไม่ได้ลุย

 

ในช่วงบ่ายนั้น 36 สำนักเองก็เริ่มตอบโต้

 

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการตอบโต้ของพวกเขาคือพวกที่อ่อนแอกว่าใน 36 สำนัก ซึ่งยอมศิโรราบให้สำนักอู๋ซินไปตั้งนานแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ไร้ความสามารถขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่มีใครท้าประลองพวกเขา

 

ดังนั้น ในช่วงบ่าย คนกลุ่มนี้จึงตกเป็นเป้าหมายให้อีกฝ่ายระบายความโกรธ แต่ว่าพวกเขานั้นรู้ถึงความสามารถตัวเองดีก็เลยยอมรับความพ่ายแพ้โดยที่ไม่ได้ต่อสู้ด้วยซ้ำ

 

เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว ฉงเย่ก็ขึ้นสังเวียนอีกครั้งและท้าประลองกับหลินจิน ผู้สืบทอดสำนักมังกรมรกต

 

และก็เป็นอีกครั้งนึง เขาจัดการหลินจินได้ด้วยการโจมตีเดียวและทำให้เขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรงก่อนที่จะจากไปโดยที่แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย

 

จากนั้นการต่อสู้จัดอันดับในวันแรกก็จบลงไปทั้งแบบนี้

 

รายชื่อของ 36 สำนักดั้งเดิมของรัฐจินได้ถูกเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ และสิบอันดับแรกของรัฐจินก็ไม่มีใครรักษาตำแหน่งดั้งเดิมของพวกเขาเอาไว้ได้เลย

 

อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายที่สุด

 

เรื่องที่เลวร้ายที่สุดก็คือนอกจากฉงเย่แล้ว ผู้สืบทอดคนอื่นของ 10 อันดับแรกต่างก็ได้รับบาดเจ็บหนักกันหมดและไม่สามารถต่อสู้ได้อีก

 

ถ้าพวกเขาไม่พบวิธีการพิเศษ พวกเขาก็คงจะถูกตัดออกจาก 36 สำนักในที่สุด

 

เมื่อเทียบกันแล้ว เฉินเฉินและโยวหลานชินนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นตัวเต็งที่สุดในกลุ่มสิบห้าอันดับแรกของสำนัก เพราะพวกเขาแค่สลับตำแหน่งกันและไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเลย

 

“พี่ใหญ่เฉินเฉิน ข้าจะนวดหลังให้นะคะ!”

 

ในระหว่างทางกลับ โยวหลานชินทำดีกับเขาอย่างมากและเธอก็ไม่ต่างไปจากเด็กสาวธรรมดาคนนึง

 

“เห้อ ข้าไม่ได้พยายามจะวิจารณ์เจ้าหรอกนะแต่เจ้าขี้ขลาดเกินไปสำหรับเซียนหญิง ดูอย่างเซียวฮวงสิ เธออาจจะเจอวิชาที่แพ้ทางแต่เธอก็มีความกล้าที่จะสู้ และในท้ายที่สุด เธอก็จัดการเซียนหญิงของสำนักซวนปิ่งได้อย่างสาหัสด้วย”

 

เฉินเฉินเดินในขณะที่กำลังสั่งสอนโยวหลานชิน

 

“พี่ใหญ่เฉินเฉิน ก็ข้ายังมีท่านอยู่ไม่ใช่หรอคะ? ถ้าสถานการณ์บังคับให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ข้าเองก็กล้าที่จะต่อสู้จนตัวตายเหมือนกันค่ะ!” โยวหลานชินกำหมัดเล็กๆของเธอแน่นและสาบาน

 

ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ เสียงตะโกนก็ดังมาจากข้างถนนไกลๆอย่างกระทันหัน

 

“ข้าจะจ่ายเพิ่มให้ 30% จากราคาเดิมขอซื้อสมบัติสวรรค์ด้วย!”

 

ในทันทีที่คนๆนั้นพูด อีกคนก็พูดขึ้นมาแบบเดียวกัน

 

“ข้าให้สองเท่าเลยสำหรับสมบัติสวรรค์ในการรักษา!”

 

“สี่เท่า!”

 

 

“ขอเพิ่มเป็นสิบเท่า!”

 

เฉินเฉินตกตะลึง

 

‘ซื้อสมบัติสวรรค์ในการรักษาด้วยราคาสิบเท่าหรอ… นี่พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดนั้นเลย?’

 

อย่างไรก็ตาม เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน

 

พวกที่กำลังแข่งราคากันอยู่น่าจะเป็นศิษย์ที่ติดตามผู้สืบทอดมาสินะ

 

พวกเขาจะไม่กังวลเกี่ยวกับการต่อสู้จัดอันดับได้ยังไงหล่ะ?

 

สมบัติสวรรค์ที่ช่วยเร่งการรักษานั้นไม่ใช่พืชพันธุ์ทั่วๆไปที่สามารถพบได้ทุกที่และเป็นของขาดแคลนในเมืองหลวง ถ้าถูกคนอื่นซื้อไป พวกเขาก็อาจจะตายและถูกเตะออกจาก 36 สำนักได้!

 

พวกเขาต้องซื้อสมบัติพวกนี้แม้ว่าจะต้องยอมหมดตัวก็ตาม!

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฉินเฉินก็ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย มันเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตสำหรับเขา!

 

หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วครู่ เฉินเฉินก็หยิบเห็ดหลินจือม่วงออกมาจากแหวนเก็บของของเขาแล้วส่งมันให้โยวหลานชิน

 

“เอาเจ้านี่ไปขายให้ข้าหน่อยสิ”

 

โยวหลานชินมองเห็ดหลินจือม่วงด้วยความรู้สึกเจ็บแสบ “พวกเรามีสมบัติสวรรค์ที่เอาไว้รักษาแทบจะไม่พออยู่แล้ว ท่านพี่ยอมขายมันให้คนอื่นได้ยังไงคะ?”

 

อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เธอเห็นความมุ่งมั่นของเฉินเฉิน เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมทำตามและเดินไปหาคนกลุ่มนั้นพร้อมกับเห็ดหลินจือม่วง

 

“ข้ามีเห็ดหลินจือม่วงอยู่ชิ้นนึง ข้าไม่รู้ว่ามันมีอายุเท่าไหร่…”

 

ก่อนที่โยวหลานชินจะพูดจบ กลุ่มคนก็แห่กันมาล้อมเธอ!

 

“ข้าให้หินวิญญาณ 400 ก้อนเลย!”

 

“800 ก้อน!”

 

“1,000 ก้อน!”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด