บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 19 ถัดไป

อ่านนิยายจีนเรื่อง บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 19 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 19

ถัดไป

 

“….เจ้า”ต้าชิงและต้าเฉินสะดุ้งกับคำพูดของปิงเฉิงเพราะมันไม่คิดว่าปิงเฉิงจะให้พวกมันตกไปง่ายๆเช่นนี้ แม้แต่ชายร่างสูงที่อยู่ด้านหลังยังรู้สึกประหลาดใจ แม้ไม่โดดเด่นอะไรแต่ต้าชิงต้าเฉินก็มีพื้นฐานพลังวิญญาณ ส่วนใหญ่สามารถผ่านได้อยู่แล้ว

“พวกเจ้าใช้เวลาตั้งหลายปียังได้แค่ขั้น 3 ตัวข้าเลยมองว่าเจ้าไม่มีความสามารถพอ”ปิงเฉิงยิ้มพลางผายมือให้ต้าชิงและต้าเฉินออกไป ทำเอาใบหน้าของต้าเฉินแดงก่ำด้วยความโกรธ

แม้ต้าชิงและต้าเฉินจะจำไม่ได้ แต่ในวันที่มันเข้าทดสอบต้าชิงและต้าเฉินคุยโตไว้มากมายเพราะพวกมันมีพลังวิญญาณแต่มันไม่มี สร้างความอิจฉาให้กับปิงเฉิงอย่างมาก มาวันนี้พลังวิญญาณมันเหนือกว่ามันกลับไม่อยากให้ต้าชิงและต้าเฉินเข้าสำนักเท่าไหร่เพราะรู้สึกหมั่นไส้กับท่าทีผยองสมัยก่อน

“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิดพี่ต้าชิง พี่ต้าเฉิน”ไป๋จูเหวินเห็นต้าชิง ต้าเฉินไม่ผ่านการทดสอบ มองครู่เดียวก็เข้าใจว่าเป็นเพราะความรู้สึกส่วนตัวของปิงเฉิง ในเมื่อต้าชิงต้าเฉินเข้าไม่ได้ตัวเขาก็ไม่อยากเข้าเท่าไหร่หนัก อย่างว่ายังมีสำนักธารโลหิตที่สามารถเข้าไปทดสอบได้อีก

“เจ้าหนู เจ้ามากับพวกมันงั้นหรือ”ปิงเฉิงถามพลางมองไปทางไป๋จูเหวิน

“ถูกต้อง ข้ามากับพวกเขา หากพวกเขาไม่ได้เข้าสำนักข้าก็ไม่คิดจะเข้า”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินกลับไปยืนตรงที่ต้าชิงและต้าเฉินยืนอยู่

“แบบนี้ให้พวกเขาผ่านเถอะศิษย์พี่ อย่างมากก็เป็นผู้ติดตามของน้องชายท่านนี้”ชายร่างสูงเสนอออกมาด้วยท่าทีสุภาพ ปิงเฉิงเป็นศิษย์พี่ของมัน ต่อให้ปิงเฉิงไม่รับใครเข้าสำนักเพราะอารมส่วนตัวมันก็ไม่มีปากเสียงจะทำอะไรได้ แต่เด็กหนุ่มผู้นี้ปิงเฉิงระบุเองว่าผ่านการทดสอบ นั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีค่าทีเดียว

“น้องชายอย่าได้พาพวกมันไปเลย พวกมันต่างความสามารถต่ำต้อย เจ้าเข้าไปทดสอบด่านต่อไปเถิด”ปิงเฉิงพูดพลางบอกให้ไป๋จูเหวินทิ้งต้าชิงและต้าเฉินเอาไว้ ความสามารถที่มันสัมผัสได้แม้แต่ตัวมันยังต้องตะลึง หากได้ไป๋จูเหวินมาสำนักมันต้องได้ดาวรุ่งดวงใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย และหากเป็นไปได้ด้วยดี ในอีก 5 หรือ 10ปี มันจะสามารถเข้าร่วมงานประลอง 3 สำนักและพาสำนักยอดเมฆาขึ้นเป็นอันดับ 1 อย่างสมภาคภูมิ

“เกรงว่าข้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ หากพี่ต้าชิงและพี่ต้าเฉินไม่ได้เข้า ข้าก็ไม่คิดจะเข้า”ไป๋จูเหวินตอบพลางพาต้าชิงและต้าเฉินเดินออกมา ทำให้ใบหน้าของปิงเฉิงปรากฏท่าทีไม่พอใจ

“หึ……..คิดว่าข้าต้องง้อเจ้าหรือไง”ปิงเฉิงพ่นลมหายใจออกจากจมูกพลางกอดอกด้วยสีหน้าไม่พอใจ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เพียงมีร่างกายดีนิดหน่อยจะใช้ตนเองมาต่อรองงั้นหรือ อย่างมากก็แค่เสียผู้มีพรสวรรค์เพียงคนเดียวเท่านั้น

“เช่นนั้นข้าขอตัว”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินออกมาจากห้องโดยมีชายร่างสูงเดินออกมาส่ง

“นายน้อย จริงๆท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้ ถึงพวกเราจะไม่ได้เข้าเป็นศิษย์สำนักยอดเมฆาก็ยังสามารถอยู่ในเมืองเพื่อรับใช้นายน้อยยามออกมาพักผ่อนได้”ต้าชิงว่าพลางมองนายน้อยด้วยสีหน้าลำบากใจ แม้ความจริงแล้วมันจะดีใจมากก็ตามที่นายน้อยเลือกพวกมันมากกว่าการเข้าสำนัก

“ข้าไม่ชอบการตัดสินใจของปิงเฉิงเท่าไหร่ เอาเถอะในเมื่อออกมาแล้วก็ไปที่สำนักธารโลหิตดีกว่า”ไป๋จูเหวินหัวเราะพลางยิ้มออกมาราวกับไม่ใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้น

“ขอรับนายน้อย”ต้าชิงและต้าเฉินยิ้มรับพลางตามนายน้อยไปอย่างว่าง่าย เพียงแต่ใจหนึ่งพวกมันก็กังวลเรื่องที่นายน้อยจะเข้าสำนักธารโลหิตอยู่หลายส่วน ชื่อเสียงของสำนักธารโลหิตนั้นไม่ดีเป็นอย่างมาก ในสายตาของ 2 สำนักที่เหลือ สำนักธารโลหิตเป็นดั่งสำนักอันธพาล เพราะศิษย์ของสำนักธารโลหิตไม่ค่อยกระทำตัวเหมือนผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณนัก

.

.

“มิน่าล่ะสำนักนี้ถึงได้ชื่อว่าสำนักธารโลหิต”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองไม่น้ำที่ไหลอยู่ข้างทางเดินเท้า สำนักธารโลหิตตั้งอยู่ห่างจากสำนักยอดเมฆาไม่มาก แต่เพราะไม่มีเมืองตั้งอยู่ใกล้ๆสำนักธารโลหิต ทำให้พวกมันต้องมุ่งไปที่สำนักโดยตรงเลย เพียงแต่ทางเดินไปยังสำนักธารโลหิตค่อนข้างน่ากลัวเล็กน้อยเพราะแม่น้ำที่ไหลลงมาจากเขาของสำนักธารโลหิตกลับมีสีแดงจางๆราวกับมีเลือดผสมอยู่ภายใน ยิ่งเดินเข้าใกล้สำนักมากเท่าไหร่สีแดงก็ยิ่งเข้มมากเท่านั้น

จ๋อม…

“นายน้อย ท่านทำอะไร?”ต้าชิงสะดุ้งโหยงเมื่อไป๋จูเหวินเดินแวะไปที่แม่น้ำ ก่อนจะวักน้ำขึ้นมาในฝ่ามือ บริเวณแถวนี้ใกล้สำนักมาก น้ำในมือไป๋จูเหวินจึงมีสีแดงราวกับน้ำทับทิม

“กลิ่นนี้…”ไป๋จูเหวินว่าพลางดมกลิ่นที่ลอยออกมาจากน้ำ แม้จะเจือจางแต่มันก็สามารถแยกแยะได้ไม่ยากนัก

“ที่ต้นน้ำต้องมีต้นเหมยประทับชาดเป็นแน่”ได้ยินคำพูดของไป๋จูเหวิน ทั้งต้าชิงและต้าเฉินก็มีสีหน้างุนงงทันที อะไรคือต้นเหมยประทับชาดกัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการทำให้แม่น้ำเป็นสีแดงเช่นนี้

“อืม..พวกท่านรู้จักต้นเหมยหรือไม่”ไป๋จูเหวินถามพลางมองไปทางต้าชิงต้าเฉิน ซึ่งพวกมันทั้งสองก็พยักหน้าเพราะต้นเหมยไม่ใช่ต้นไม้หายากอะไร แถมยังนิยมนำมาจัดสวนเสียด้วยซ้ำ

“มันเป็นต้นเหมยที่มีกลีบดอกสีแดงเข้ม กลีบดอกของมันหากตกลงในน้ำจำนวนมากจะย้อมน้ำให้เป็นสีแดงและมีกลิ่นหอมของดอกเหมยจางๆ”ไป๋จูเหวินพูดจบก็นำน้ำเข้าปาก เพื่อชิมรสชาติ มันเลียปากทีหนึ่งพลางหยักหน้าด้วยความมั่นใจ

“ปะ เป็นเช่นนี้หรอกหรือ”ต้าชิงพูดด้วยท่าทีสับสน ตำนานของสำนักธารโลหิตมีมากมาย บ้างบอกว่าที่แม่น้ำเป็นสีแดงเช่นนี้เป็นเพราะเลือดของศิษย์ในสำนัก บ้างก็บอกว่าเป็นเลือดของอสูร แต่ไม่ว่าจะข่าวลือไหนต่างก็บอกว่ามันคือเลือดทั้งสิ้น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกมันได้ยินว่ามันคือน้ำที่ถูกกลีบดอกไม้ย้อมจนเป็นสีแดง ทำให้ต้าชิงและต้าเฉินมีมุมมองที่เปลี่ยนไปไม่น้อย

“ข้าชักอยากรู้เสียแล้วว่าต้นเหมยประทับชาดเป็นเช่นไร”ต้าเฉินว่าพลางจินตนาการถึงต้นเหมยที่มีดอกสีแดงสด

“ไม่เห็นยาก พวกเราก็ไปดูกันที่สำนักธารโลหิตสิ”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางเดินกลับมาหาพวกต้าชิง ต้นเหมยประทับชาดนั้นงอกอยู่ในเขตภูเขาดำของท่านน้าราชสีห์ แต่คนที่สนใจมันกลับเป็นท่านน้าจิ้งจอก เพราะท่านนำกลีบของมันมาทำชาดทาปาก แต่หากพูดถึงความงามละก็มันเป็นต้นไม้ที่ไป๋จูเหวินชื่นชอบทีเดียว ต้นเหมยประทับชาติความจริงไม่ได้ต่างจากต้นเหมยธรรมดานัก เพียงแต่ดอกของมันเป็นสีแดงเข้มและออกดอกตลอดปี ทุกๆวันมันจะออกดอกและปล่อยให้กลีบของมันร่วงโรยลงพื้นจนย้อมพื้นเป็นสีแดงฉานราวกับพรมกำมะหยี่ ยิ่งมันอยู่บนผืนดินสีดำของภูเขาดำด้วยแล้ว มันสร้างภาพที่สวยงามขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว

ตูม! ขณะเดินอยู่บนทาง อยู่ๆดาบใหญ่เล่มหนึ่งก็ลอยลงมาตกอยู่ด้านหน้าไป๋จูเหวิน พร้อมร่างๆหนึ่งที่กระโดดตามมา สร้างความตกใจให้ต้าชิงและต้าเฉินอย่างมาก

“พวกเจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่”ชายหนุ่มกล้ามโตที่ดูอย่างไรก็เหมือนโจรป่าพูดด้วยท่าทีโผงผาง

“เจ้าเป็นใคร”ต้าชิงและต้าเฉินชักอาวุธออกมาทันที

“ข้าต่างหากที่ต้องถามพวกเจ้า ข้าคือหยางเกา ศิษย์สำนักธารโลหิต”หยางเกาว่าพลางดึงดาบใหญ่ขึ้นมาจากพื้น มันแบกดาบเล่มโตเอาไว้ราวกับมันไม่มีน้ำหนักใดๆ

“เช่นนั้นเอง ข้ามีนามว่าต้าชิง ส่วนนี้น้องชายข้าต้าเฉิน พวกเราพานายน้อยของพวกเรามาสมัครเข้าสำนัก”หยางเกาขมวดคิ้วมองต้าชิงและต้าเฉิน พวกมันทั้งคู่อยู่ระดับ ก่อกำเนิด ขั้นที่ 3 นับว่าไม่เลวทีเดียว แต่นายน้อยของมันกลับไม่มีพลังวิญญาณ ทำให้คำพูดของต้าชิงพอจะฟังขึ้น

“ได้ ตามข้ามา”หยางเกาพูดพลางหันหลังจนดาบใหญ่แทบจะฟาดใส่หน้าต้าชิง มันดูเป็นคนโผงผางไม่สนใจผู้ได้จริงๆอย่างที่ผู้คนร่ำลือ หรือสำนักธารโลหิตจะมีแต่คนเช่นนี้หรือ..?

เมื่อตามหยางเกามาสักพัก ก็ปรากฏกำแพงสำนักที่ทำจากไม้สีน้ำตาลเข้ม ตัวสำนักธารโลหิตดูเรียบร้อยกว่าที่ต้าชิงต้าเฉินจินตนาการไว้มาก แม้ตัวมันจะเดินทางสมัครเข้าสำนักน้อยใหญ่มาทั่ว แต่ไม่เคยคิดจะมาเข้าสำนักธารโลหิตมาก่อน กลับกลายเป็นว่าพวกมันเต้นตามข่าวลือมากเกินไป ท่าทางสำนักธารโลหิตจะไม่ได้แย่อย่างที่คิด

“อากกก” ขณะจะเดินเข้าสำนัก อยู่ๆชายหนุ่มคนหนึ่งก็กระเด็นออกมากระแทกประตูจนเปิดเองโดยไม่ต้องเปลืองแรงพวกมันเลยแม้แต่น้อย ภายในสำนักปรากฏร่างของหญิงสาวนางหนึ่งกำลังเก็บอาวุธของตนเข้าฝักด้วยท่าทีเฉยชา

“อะไรกันน้องสี่ เจ้าเตะศิษย์น้องออกนอกสำนักอีกแล้วนะ”หยางเกาว่าพลางมองหญิงสาวร่างอ้อนแอ้นตรงหน้า นางดูบอบบางมาก จนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อครู่คือฝีมือของนาง

“มันบังอาจมาเกาะแกะข้า ฝากศิษย์พี่นะมันไปทิ้งด้วยก็แล้วกัน”น้องสี่ที่หยางเกาพูดด้วยมองมาทางต้าชิงต้าเฉินด้วยสีหน้าเย็นชา ประกอบกับใบหน้างดงามของนางแล้วสายตาของนางให้ความรู้สึกราวกับมีดคมเล่มหนึ่งเลยทีเดียว

“ก็ได้”หยางเกาตอบตกลงอย่างง่ายดาย ก่อนที่น้องสี่จะเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ

“ตามข้ามา”หยางเกาพูดก่อนจะใช้มือเดียวยกร่างของชายหนุ่มที่พึ่งกระเด็นออกนอกประตูมาราวกับหิ้วถังน้ำ ยิ่งมันไม่ได้สติก็ยิ่งเหมือนถือของไร้ชีวิตเข้าไปใหญ่

“อ่อ ไม่ต้องใส่ใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นประจำ”หยางเกาพูดพลางเดินต่อเช่นที่มันพูด มันทำราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติจริงๆ

 

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด