บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 21 ความแข็งแกร่ง

อ่านนิยายจีนเรื่อง บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 21 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 21

ความแข็งแกร่ง

 

“พวกเจ้านั่งเรือไปกับหยางเกา ข้าจะไปแจ้งอาจารย์”เฟิงชิวพูดจบก็กระโจนลงไปที่สระโลหิตอย่างรวดเร็ว ขณะพวกต้าชิงต้าเฉินกำลังจะทักท้วง เฟิงชิวก็ใช้ปลายเท้าแตะผืนน้ำพร้อมทะยานไปข้างหน้าราวกับวิ่งบนผืนดิน ทำเอาทั้งสามตกตะลึงอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นคนวิ่งบนน้ำกับตา แม้จะรู้ว่ามีผู้ทำได้ก็เถอะ

“ศิษย์พี่ใหญ่เก่งกาจวรยุทธความเร็ว ข้ากับพี่หยางเกาทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”จินเหลียนหัวเราะพลางเดินไปที่เรือพายซึ่งจอดอยู่ริมสระ ท่าทางสำนักธารโลหิตจะใช้เรือในการเดินทาง เพราะที่ขอบสระยังมีเรืออีกจำนวนหนึ่งจอดเอาไว้ราวกับมีเพื่อให้เหล่าศิษย์ใช้เดินทาง

“แล้วพวกท่านละ ถนัดวิชาแบบไหน”ไป๋จูเหวินถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในเขตอสูรที่มันอยู่ อสูรแต่ละตัวต่างมีความถนัดไม่เหมือนกัน แม้แต่ท่านน้าทั้งห้าของมันยังมีเรื่องที่ถนัดและไม่ถนัดเช่นกัน

“ข้าฝึกฝนวรยุทธเยียวยา หากเจ้าบาดเจ็บสามารถมาหาข้าเพื่อช่วยรักษาได้เสมอเลยนะ”จินเหลียนพูดพลางยิ้มกว้าง ตัวมันที่โดนซัดปลิวไปเมื่อครู่สามารถรักษาตัวเองได้ในเวลาไม่นาน อาจจะเพราะมันสามารถรักษาตนเองได้เสมอนี่ล่ะมันถึงได้หาเรื่องตายกับพี่สี่ได้เรื่อยๆ

“ส่วนข้าก็….”หยางเกาพูดพลางมองต้าเฉินที่ลงเรือมาเป็นคนสุดท้าย ทันทีที่ทุกคนนั่งบนเรือพายจนครบ หยางเกาก็คว้าจับไม้พายทั้งสอง ก่อนจะปลุกพลังวิญญาณของตนออกมา มันอธิบายไม่ถูกว่าวิชาของมันเป็นเช่นไร มันจึงแสดงให้ดูเลยดีกว่า

“!!!”พริบตานั้นกล้ามเนื้อของหยางเการาวกับถูกเป่าลมเข้าไป กล้ามแขนของมันโป่งพองพร้อมเส้นเลือดที่ปูดโปนออกมา

วูม!! ไม้พายทั้งสองในมือของมันถูกพายอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพียงวาดไม้พายคราเดียวเรือก็แทบจะพุ่งเหนือน้ำลอยไปข้างหน้า เล่นเอาพวกต้าชิงใจหายวาบ ต่างกับจินเหลียนที่เหมือนจะชินอยู่แล้ว

ตึง! ใช้เวลาเพียงอึดใจเดียว การพายเรือของหยางเกาก็พาเรือที่ทั้งห้าโดยสารมากระแทกเข้ากับฝั่งของหอตะวันออก กำลังแขนของหยางเกาน่าเหลือเชื่ออย่างมาก สร้างความเลื่อมใสให้ต้าชิงต้าเฉินอย่างล้นเหลือ

“ไปกันเถอะ พวกเราไม่ได้รับศิษย์ใหม่มาสักพักแล้วอาจารย์คงดีใจแน่ๆ”จินเหลียนว่าพลางเดินนำหน้าพวกไป๋จูเหวินไปด้วยท่าทีระริกระรี้

ภายในหอตะวันออก เป็นเรือนที่ทำจากไม้เช่นเดียวกับทางเข้า ตัวเรือนมีขนาดใหญ่สร้างเป็นรูปครึ่งวงกลมหันหน้าเข้าหาทิศตะวันตก ห้องที่เรือนไม้หลังนี้มีคงไม่ต่ำกว่า 200 ห้อง เรียกได้ว่าขนาดใหญ่กว้างขวางทีเดียว ที่ด้านหน้ามีลานหินที่เหล่าศิษย์ใช้ฝึกฝนวิชาและนั่งเล่น ส่วนด้านหลังมีโรงครัวและห้องอาบน้ำสำหรับศิษย์

“โอ้ เด็กใหม่งั้นหรือ”ทันทีที่จินเหลียนนำพวกไป๋จูเหวินเข้ามา เหล่าศิษย์ในหอตะวันออกต่างก็มองมาที่พวกไป๋จูเหวินเป็นตาเดียว ภายในลานหินแห่งนี้มีศิษย์ของสำนักอยู่ราวๆ 40 คน ภายในห้องอีกราวๆ 30 คน ทำให้ศิษย์ในหอตะวันออกแห่งนี้มีจำนวนราวๆ 70 คนเท่านั้น แทบไม่ถึงครึ่งของจำนวนห้องเลย ท่าทางจำนวนศิษย์ที่ลดลงคงจะเป็นเรื่องจริงแน่ๆ

“เจ้าหนูนั่นไม่มีพลังวิญญาณนี่นา มาเริ่มใหม่เลยสินะ”ขณะเดินผ่าน ชายคนหนึ่งก็พูดถึงไป๋จูเหวิน

“แต่มันก็ผ่านบททดสอบของพวกศิษย์พี่มาได้ไม่ใช่หรือ ไม่นานก็คงฝึกพลังวิญญาณได้เองนั่นล่ะ”ชายอีกคนว่าพลางหันไปฝึกฝนวิชาของตัวเองต่อ

“พี่สี่”ขณะเดินผ่านเหล่าศิษย์ที่ลานหน้าหอตะวันออก ดวงตาของจินเหลียนก็สบเข้ากับเรือนร่างของศิษย์พี่สี่ของมันเข้าพอดี มันรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างเริงร่าพร้อมโผเข้ากอดอีกฝ่ายราวกับเด็กน้อยเข้ากอดมารดา

ผั๊ว! หมัดตรงพุ่งกระแทกใบหน้าของจินเหลียนอย่างรุนแรง พร้อมเลือดกำเดาที่ไหลออกมาจากจมูกของจินเหลียน แต่สีหน้าของพี่สี่กลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย

“อาจารย์บอกให้พวกเจ้าเข้าไปหาท่านได้เลย”พี่สี่พูดด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในหอตะวันออกราวกับหมดหน้าที่ของตนแต่เพียงเท่านี้

“หุหุ ไปกันเถอะศิษย์น้อง”จินเหลียนว่าพลางลุกเดินอย่างรวดเร็วราวกับที่โดนต่อยเมื่อครู่เป็นเพียงการทักทายเท่านั้น แถมศิษย์คนอื่นๆที่อยู่ในลานยังไม่แม้แต่หันมามองท่าทางจะชินกันหมดแล้วจริงๆ

“นี่นะหรือ ศิษย์ใหม่ที่พวกเจ้ารับมา”ทันทีที่เข้าไปในห้องขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่พักของอาจารย์แห่งสำนักธารโลหิต ชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะที่ใช้ขนของพยัคฆ์รองแทนผ้าก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าสนใจ พวกมันไม่มีศิษย์เข้าใหม่มาสักพักแล้ว ทำให้มันเองก็ดีใจไม่น้อยที่มีพวกกล้าตายโผล่มาที่นี่

“ไป๋จูเหวินขอรับ”ไป๋จูเหวินทักทายพลางประสานมือให้อีกฝ่าย

“ต้าชิง / ต้าเฉิน ขอรับ”ต้าชิงและต้าเฉินประสานเสียงกันแนะนำตนเองทันทีที่เห็นนายน้อยเริ่มแนะนำตนเองก่อน

“ไม่ต้องมารยาทเยอะ ข้าชื่อ เฉินหู่ เป็นหนึ่งในอาจารย์แห่งหอตะวันออกแห่งนี้ จากนี้ไปเรียกข้าว่าอาจารย์หู่”อาจารย์หู่พูดด้วยน้ำเสียงดุดันด้วยร่างกายที่ใหญ่โตไม่ต่างจากหยางเกา ดูแล้วสร้างบรรยากาศฮึกเหิมอย่างประหลาด

“อาจารย์หู่เสียงดังเกินไปแล้ว.. ข้าชื่อ จิงลี่ เรียกข้าว่าอาจารย์ลี่ก็ได้”อยู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังของอาจารย์หู่ หากไม่ใช่เพราะเขาพูดขึ้นมาต้าชิงและต้าเฉินคงไม่สังเกตอาจารย์ท่านนี้แน่ๆเพราะเขาโดนร่างของอาจารย์หู่บังจนมิดเลยทีเดียว

“ท่านพ่อ ท่านนั่งเถอะ”เสียงของพี่สี่พูดขึ้นพลางเดินเข้าไปหาอาจารย์ลี่ ท่าทางนางคงเป็นบุตรสาวของอาจารย์ลี่ แต่รูปร่างภายนอกกลับไม่เหมือนกันสักเท่าไหร่ ศิษย์พี่สี่เป็นหญิงสาวผู้มีใบหน้าที่งดงามและทรวดทรงที่สมส่วน ด้วยท่าทางเย็นชาและมั่นใจของนางทำให้ดูแข็งแกร่งในตัวของนางเอง แต่อาจารย์ลี่กลับเป็นชายร่างผอมที่มีใบหน้าซีดเซียว หากไม่สามารถสัมผัสพลังวิญญาณของเขาได้พวกต้าชิงคงคิดว่าอาจารย์ลี่เป็นเพียงชายวัยกลางคนขี้โรคเท่านั้น

“นี่คือเคล็ดวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณของสำนักเรา เคล็ดวิชาโลหิตปะทุ พวกเจ้านำไปศึกษาซะ”อาจารย์ลี่ว่าพลางยื่นตำราสามเล่นให้พวกไป๋จูเหวิน แม้ไม่กล้าโอ้อวดว่าเป็นเคล็ดฝึกฝนที่มีผลดีเลิศที่สุดในบรรดาเคล็ดฝึกฝน แต่มันก็เป็นเคล็ดฝึกฝนที่เจ้าสำนักรุ่นก่อนได้รับมาจากอาจารย์ของท่าน เพียงแต่สำนักธารโลหิตไม่ได้มุ่งเน้นที่การฝึกฝนพลังวิญญาณ แต่เน้นไปที่การฝึกฝนวิชาต่อสู้และเสริมสร้างกำลังกาย ทำให้เคล็ดฝึกฝนเป็นสิ่งที่พวกศิษย์นำไปศึกษากันเอง

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักเรามุ่งเน้นการต่อสู้”อาจารย์หู่พูดขึ้นพลางมองทางไป๋จูเหวินและต้าชิงบต้าเฉิน

“ทราบขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบ ตั้งแต่ก่อนจะเข้าสำนักต้าชิงและต้าเฉินก็ได้บอกเขาแล้ว พอเข้าสำนักมาศิษย์พี่ทั้งหลายกำพร่ำบอกเรื่องนี้มาตลอดทาง แม้มันพึ่งเข้าสำนักมาไม่กี่อึดใจมันก็เข้าใจดีว่าสำนักธารโลหิตเน้นการฝึกฝนวิชาต่อสู้มากกว่าฝึกฝนพลังวิญญาณ

“ดี แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมเราถึงทำแบบนั้น” คำถามของอาจารย์หู่ในข้อนี้แม้แต่ต้าชิงก็ไม่ทราบ ตัวมันเพียงได้ยินแต่ข่าวลือ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในสำนักเองพวกเขาคิดเช่นไร

“เพราะความแข็งแกร่งของบุคคล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขั้นของพลังวิญญาณ”อาจารย์ลี่ที่อยู่ข้างๆตอบพลางหยิบถ้วยชาที่อยู่ข้างๆเก้าอี้มาดื่มเล็กน้อย

“หากผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณสองคนปะทะกัน คนหนึ่งอยู่ขั้น 5 ของระดับก่อกำเนิด อีกคนอยู่ขั้น 4 ของระดับก่อกำเนิดเจ้าว่าผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ”อาจารย์ลี่พูดจบก็วางถ้วยชาที่ตนพึ่งดื่มไปนิดหน่อยลงข้างๆถ้วยชาของอาจารย์หู่ที่ยังมีน้ำชาอยู่เต็มแก้ว

“นั่นย่อมเป็นผู้อยู่ขั้นที่ 5 ขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบ แน่นอนไม่ว่าถามใครก็ได้คำตอบเช่นนี้

“แล้วหากข้าบอกว่า ผู้ที่อยู่ขั้น 4 เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธประเภทดาบ และมีพลังกายเหนือกว่าผู้ที่อยู่ขั้น 5 หลายเท่าละ”อาจารย์ลี่ถามพลางเติมน้ำชาลงไปที่ถ้วยของตน บัดนี้น้ำชาในถ้วยของอาจารย์ลี่มากกว่าน้ำชาในถ้วยของอาจารย์หู่แล้ว

“หากระดับขั้นของพลังวิญญาณเป็นตัวตัดสินจริง ผู้แข็งแกร่งคงมีแต่ตาเฒ่าที่นั่งขดตัวฝึกฝนพลังวิญญาณเพียงอย่างเดียวแล้ว แท้จริงการเอาชนะในการต่อสู้มีองค์ประกอบมากมาย พลังวิญญาณเป็นเพียงหนึ่งในนั้น”อาจารย์ลี่ว่าพลางยิ้มออกมา สำนักยอดเมฆาฝึกฝนเพียงพลังวิญญาณเป็นหลัก ศิษย์แต่ละคนพลังวิญญาณล้ำลึกนำหน้าศิษย์ของสำนักอื่นไปหลายขั้น แต่ผู้ที่คว้าชัยในการประลองกลับเป็นคนของสำนักตนที่ฝึกฝนวิชาต่อสู้ ไม่ว่าจะกำลังกายของร่างเนื้อ ความสามารถในการใช้อาวุธและออกกระบวนท่า การตัดสินใจระหว่างต่อสู้รวมทั้งกลเม็ดเคล็ดลับในการต่อสู้ล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงผลการต่อสู้ได้ไม่ยาก แม้จะมีพลังสูงกว่าหากนอนให้ผู้มีพลังต่ำกว่าเชือดเฉือนตามใจก็ตายได้เช่นกัน

“ขอถามเจ้า หากผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณทั้งสองมีพลังวิญญาณเท่ากัน ใครจะเป็นผู้ชนะ”อาจารย์ลี่ถามอีกครั้งพลางมองไปที่ไป๋จูเหวิน

“ย่อมเป็นผู้มีทักษะสูงกว่า”ไป๋จูเหวินตอบ ในเขตอสูรมีอสูรมากมายที่อยู่ในระดับเดียวกัน และเมื่อเกิดการต่อสู้ตัวที่ชนะย่อมเป็นตัวที่โจมตีได้เข้าเป้ามากกว่า

“ถูกต้อง ศิษย์สำนักธารโลหิตไม่ใช่ผู้ที่สู้แต่คนที่พลังวิญญาณต่ำกว่าตนเอง จงจำไว้ขั้นของพลังวิญญาณไม่สามารถวัดความเก่งกาจของศิษย์สำนักธารโลหิตได้”อาจารย์ลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ สำนักยอดเมฆามักดูถูกผู้มีพลังด้อยกว่าเสมอ พวกมันยกหางตนเองเป็นสำนักที่ฝึกฝนพลังวิญญาณได้รวดเร็วที่สุด ทำให้ผู้ต้องการสมัครเข้าสำนักไปสมัครเข้าสำนักยอดเมฆาจนหมด แต่พวกมันก็ไม่ได้ต้องการพวกเห็นพลังวิญญาณเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดอยู่แล้ว

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด