บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 44 ปลุกพลังธาตุ

อ่านนิยายจีนเรื่อง บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 44 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 44

ปลุกพลังธาตุ

 

ผั๊วๆ!! ทันทีที่อู๋หมิงโจมตีเข้ามา ไป๋จูเหวินก็ใช้ฝ่ามือรับเอากระบี่ของมันเอาไว้แล้วใช้มืออีกข้างซัดฝ่ามือออกไปใส่ร่างของอู๋หมิงจนเซถอยหลังไป เพียงแต่อู๋หมิงไม่ได้หยุดโจมตีเท่านั้น ดวงตามันฉายประกายวาบก่อนจะตรงเข้ามาโจมตีอีกครั้ง แต่ละท่วงท่าของอู๋หมิงลึกลับจับทางยาก แต่พอเจอกับดวงตาสีแดงของไป๋จูเหวินความเร็วก็ราวกับจะไร้ผล

ปึก! ร่างของอู๋หมิงกระเด็นออกไปอีกครั้งต่างจากภาพการต่อสู้ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ยามนี้กลับกลายเป็นอู๋หมิงเองที่กระเสือกกระสนพยายามโจมตีไป๋จูเหวินให้ได้ เพียงแต่ดวงตาของอู๋หมิงไม่ได้มีท่าทีจะถอดใจแต่อย่างไร ดวงตาของมันไล่มองร่างของไป๋จูเหวิยราวกับจะหาจุดอ่อนของกระบวนท่าให้ได้ แม้จะยังรับมือท่าฝ่ามือหิมะละลายกลางนภาไม่ได้ แต่อู๋หมิงไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ง่ายๆ

เคร๊งๆ ในเมื่อแทงต่อไปไม่ได้อู๋หมิงจึงเปลี่ยนจากพยายามแทงต่อมาเป็นรับฝ่ามือของไป๋จูเหวินแทนเพื่อลดทอนความเสียหาย พอมันไม่โดนซัดจนถอยไปมันก็โจมตีซ้ำอีกครั้งแต่มือข้างหนึ่งของไป๋จูเหวินก็รับกระบี่มันไว้ได้อีกเช่นเคย

กึก..อู๋หมิงกัดฟันแน่นก่อนจะฝืนดึงกระบี่ออกจากมือไป๋จูเหวิน แต่คราวนี้มันไม่ได้ยกกระบี่ขึ้นมาป้องกันฝ่ามือมันกลับเลือกที่จะเสี่ยงโจมตีซ้ำไปอีกครั้ง

ปึก! เป็นกระบี่ของอู๋หมิงที่พลาดเป้าและเป็นฝ่ามือของไป๋จูเหวินที่ซัดถูกอู๋หมิงอีกครั้ง ในจังหวะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้คนที่มีสายตามองทุกสิ่งได้อย่างระเอียดรอบคอบย่อมสามารถตัดสินใจได้ดีกว่าขั้นหนึ่งอยู่แล้ว ในจังหวะที่จู่ๆอู๋หมิงก็เปลี่ยนจากยกดาบขึ้นป้องกันเป็นโจมตีซ้ำนั้น หากไม่ใช่ไป๋จูเหวินคงโดนโจมตีไปแล้วแน่ๆ

วูบ…ยามนี้พลังวิญญาณของอู๋หมิงพุ่งขึ้นสูงอย่างน่ากลัว เพียงแค่เด็กหนุ่มคนนี้ก็ทำเอาเหล่าเจ้าสำนักตัวแข็งค้างไม่สามารถพูดหรือเคลื่อนไหวได้ ไม่ต้องพูดถึงอาวุโสเทียนหมิงที่ยืนมองการประลองราวกับมองศิษย์ฝึกฝนฝีมือเลย

“หึๆ…”อาวุโสเทียนหมิงหัวเราะพลางมองอู๋หมิงด้วยสีหน้ายินดี มันคิดถูกจริงๆที่ให้อู๋หมิงสู้กับไป๋จูเหวิน คน 2 คนที่มีพลังฝีมือทัดเทียมกัน ย่อมสามารถดึงพลังของแต่ละคนออกมาได้อย่างสูงสุด และในบางครั้งยามที่ทั้งสองปะทะกันพวกมันจะพัฒนาขึ้น

เปรี๊ย.. อยู่ๆไป๋จูเหวินก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่คุ้นเคย วินาทีนั้นดวงตาของมันเปลี่ยนเป็นสีม่วงทันทีหลังจากสัมผัสพลังวิญญาณที่เปลี่ยนไปของอู๋ฆมิง

“หลอมรวมวิญญาณ….”ไป๋จูเหวินอุทานออกมาหลังจากมองอู๋หมิงด้วยดวงตาสีม่วง ไม่ทราบตั่งแต่เมื่อไหร่พลังของอู๋หมิงก้าวข้ามขอบเขตระดับหลอมรวมนภาไปยังหลอมรวมวิญญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นหลอมรวมวิญญาณมนุษย์ผู้นั้นจะเริ่มสัมผัสได้ถึงวิญญาณรอบกาย ทั้งของมนุษย์ของสัตว์ของอสูรและธาตุต่างๆรอบตัว ในขั้นหลอมรวมวิญญาณนี้มนุษย์จะเป็นเช่นเดียวกับอสูรระดับทองนั่นคือสามารถปลุกพลังธาตุในร่างของตนได้

เปรี้ยง! ดวงตาของไป๋จูเหวินกลับเป็นสีแดงในทันทีเมื่อเห็นร่างของอู๋หมิงพุ่งวาบเข้ามา มิน่าเล่ามันถึงรู้สึกคุ้นเคยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของอู๋หมิง เพราะพลังธาตุของอู่หมิงคือ สายฟ้า ที่มักจะไหลออกมาจากร่างของท่านน้าพยัคฆ์นั่นเอง

เคร๊งๆๆ ดวงตาสีแดงของไป๋จูเหวินถึงกับเบิกกว้าง ความเร็วของอู๋หมิงที่แต่เดิมเร็วมากอยู่แล้วถึงกับเร็วขึ้นหลายเท่าตัว ทำเอาดวงตาของไป๋จูเหวินที่เป็นสีแดงยังมองตามแทบไม่ทัน

เคร๊ง!!! ไป๋จูเหวินพยายามใช้ฝ่ามือหิมะละลายกลางนภา แต่เพราะวิชานี้เป็นวิชาที่ใช้ความระเอียดสูง การรับมือกระบี่ที่เร็วจนมองไม่ทันเช่นนี้แม้จะส่งฝ่ามือไปรับทันแต่ก็ไม่สามารถแสดงเคล็ดวิชาออกมาได้ ผลลับจึงทำให้ฝ่ามือของไป๋จูเหวินได้รับความเสียหายมากกว่าปกติเสียอีก

ทันทีที่เห็นว่าไป๋จูเหวินใช้วิชาประหลาดนั่นไม่ได้ อู๋หมิงก็เริ่มกลับมาเป็นฝ่ายระดมโจมตีอีกครั้ง

เปรี้ยงๆๆๆๆ ด้วยการปลุกธาตุสายฟ้าในร่างอู๋หมิง นอกจากกระบี่จะไวขึ้นแล้วยังมีธาตุสายฟ้าแทรกมาในการโจมตีอีกด้วย แม้จะยังเฉือนผิวหนังของไป๋จูเหวินไม่เข้าแต่ก็สร้างรอยแดงเอาไว้ไม่น้อย ถึงกับทำให้กล้ามเนื้อของไป๋จูเหวินรู้สึกปวดราวกับถูกเข็มแทงใส่ไม่มีผิด

ยามนี้ความเร็วของอู๋หมิงเหนือกว่าฝ่ามือประกายอัสนีเสียอีก ทำให้ไป๋จูเหวินไม่มีทางเลือกต้องใช้ฝ่ามือประกายอัสนีอย่างต่อเนื่องเพื่อต้านรับกระบี่ของอู๋หมิง แต่การทำเช่นนั้นก็ลดพลังอสูรและพลังวิญญาณของมันลงไปเรื่อยๆ

วูม..อยู่ๆร่างของไป๋จูเหวินก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแดงฉาน ในที่สุดไป๋จูเหวินก็ต้องใช้เคล็ดวิชาโลหิตมังกรออกมาเพื่อต้านประบี่ของอู๋หมิงเอาไว้ให้ได้ แม้เคล็ดวิชาโลหิตมังกรจะเป็นวิชาสำหรับฝึกฝนพลังวิญญาณแต่พอนำมาใช้ในการต่อสู้มันก็ช่วยให้พลังวิญญาณฟื้นฟูอย่างรวดเร็วและเพิ่มพลังอีกมากเสียด้วย

เปรี้ยงๆๆๆๆ ฝ่ามือและกระบี่ปะทะกันอย่างรุนแรงจนบรรยากาศรอบข้างเริ่มสั่นสะเทือน แต่ภายในพายุที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่นั้น คู่ประลองทั้งสองราวกับโดนปิดกั้นอยู่ในโลกที่มีเพียงสองคน ดวงตาสีแดงสดของไป๋จูเหวินมองสบกับดวงตาสีดำของอู๋หมิงขณะที่ทั้งสองกำลังยิ้มแย้มออกมา

เปรี้ยง! กระบี่และฝ่ามือประสานกันแต่ละครั้งราวกับเป็นเสียงหัวใจเต้นของทั้งสอง วินาทีนี้พวกมันลืมหมดสิ้นแล้วทั้งสาเหตุการประลอง หรือ พวกมันจะเอาชนะไปเพื่ออะไรนั้นไม่มีอยู่ในหัวพวกมันอีกแล้ว มันเพียงรู้สึก สนุก ยามปะทะกัน ต่างฝ่ายที่ต่างงัดทุกอย่างที่มีออกมาทำเอารู้สึกปรอดโปร่งอย่างมาก โดยเฉพาะไป๋จูเหวินที่ต้องเก็บงำพลังเอาไว้ตลอด ในเขตแห่งนี้ไม่มีใครเลยให้มันเอาจริงด้วยได้

ผั๊ว เปรี้ยง การปะทะกันของทั้งสองเริ่มรุนแรงมากขึ้นทั้งๆที่พลังสมควรจะหมดได้แล้ว แต่ไม่ทราบพวกมันเอาแรงมาจากไหนมากมายจนสามารถปะทะฝีมือกันอย่างต่อเนื่องได้เช่นนี้ เพียงแต่งานเลี้ยงย่อมมีการเลิกรา ไม่ว่าจะอย่างไรวันนี้มันทั้งสองต้องมีผู้ชนะเพียงคนเดียว

เปรี้ยงๆๆๆ ฝ่ามือและกระบี่ยังคงปะทะกันถี่ยิบจนมองแทบไม่ทัน ยามนี้การตัดสินมีเพียงว่าใครจะพลาดท่าหรือหมดแรงก่อนกันเท่านั้น นอกเสียจากว่า…..

เปรี้ยง!! อยู่ๆความเร็วของอู๋หมิงก็เพิ่มขึ้นไปอีกระดับ ทำเอาไป๋จูเหวินขนลุกวาบ ในสายตาของไป๋จูเหวินยามนี้ราวกับกระบี่ของอู๋หมิงแยกกระจายเป็นสิบๆเล่มทั้งที่ดวงตาสีแดงของมันก็ยังทำงานได้ดีเช่นเดิมแท้ๆ

“ปักษากระพือปีก..”อาวุโสเทียนหมิงยิ้มพลางมองท่าประบี่ที่อู๋หมิงใช้ออกมา นี่คือหนึ่งในท่ากระบี่ที่มันถ่ายทอดให้อู๋หมิง เพียงแต่อู๋หมิงยังฝึกไม่สำเร็จจนกระทั่งบัดนี้ มันเป็นท่วงท่าฟันกระบี่อย่างรวดเร็วจนเกิดภาพหลอนราวกับกระบี่ก่อตัวเป็นปีกวิหคโหมเข้าหาศัตรู เรียกได้ว่านี่คือไม้ตายหนึ่งของมันเลยทีเดียว

เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆๆๆ แม้จะเห็นกระบี่นับไม่ถ้วนวิ่งเข้าหาตน แต่ไป๋จูเหวินก็ไม่ยืนนิ่งให้อีกฝ่ายโจมตีเพราะมัวแต่ตกตะลึง มันซัดฝ่ามือประกายอัสนีออกไปเพื่อยับยั้งกระบี่ตรงหน้า แต่ความเร็ว 1 ห้วง 3 ซัดของไป๋จูเหวินยามนี้ไม่มากพอที่จะหยุดปักษากระพือปีกของอู๋หมิงได้อย่างหมดจด แต่ในขณะที่กระบี่นับไม่ถ้วนกำลังจะเข้าเถือนร่าง ดวงตาของไป๋จูเหวินก็เปร่งประกายวาบขึ้นมาเสียก่อน

ตูม!!! อยู่ๆเสียงดังกังวานก็ปรากฏเบื้องหน้าไป๋จูเหวิน ฝ่ามือของมันเมื่อครู่ราวกับส่งแรงระเบิดออกมาจนพัดเอาพายุกระบี่ของท่าปักษากระพือปีกออกไปจนหมด แม้แต่อาวุโสเทียนหมิงยังไม่ทราบว่าไป๋จูเหวินใช้วิชาอะไรออกมากันแน่

“…….”อู๋หมิงที่ถูกท่าฝ่ามือเมื่อครู่ซัดจนเสียกระบวนมองกระบี่ในมือของตนนิ่ง กระบี่เหล็กในมือหักเป็นชิ้นๆภายใต้ฝ่ามือเมื่อครู่ แถมตัวมันยังมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากอีกต่างหาก

เคร๊งๆ อู่หมิงปากระบี่ทิ้ง ก่อนจะเรียกกระบี่อีกเล่มออกมาจากแหวนมิติของตนเอง วินาทีนั้นดวงตาของไป๋จูเหวินเปลี่ยนเป็นสีทองในทันทีเพื่อตรวจสอบกระบี่ในมือของอู๋หมิง

“….”ไป๋จูเหวินถึงกับพูดอะไรไม่ออก กระบี่ที่อู๋หมิงเอาออกมาถึงขั้นดีกว่ากระบี่ของคนของกลุ่มนักล่าอสูรเสียอีก แถมยังเป็นโลหะธาตุอัสนีที่เหมาะกับธาตุของอู๋หมิงราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าพลังธาตุของอู๋หมิงคือสายฟ้าแต่แรก

“เอาล่ะ พอเท่านี้”ขณะทั้งสองกำลังจะเข้าจู่โจมกันอีกรอบ อยู่ๆอาวุโสเทียนหมิงก็เข้ามาขวางเสียก่อน เพียงใช้มือข้างหนึ่งก็สามารถหยุดอู๋หมิงและไป๋จูเหวินเอาไว้ได้ เพราะแค่เห็นหน้าอาวุโสทั้งไป๋จูเหวินและอู๋หมิงก็หยุดชะงักในทันทีแล้ว

“อาจารย์…”อู๋หมิงลดกระบี่ลงพลางมองอาจารย์ที่เข้ามาขวาง วินาทีนั้นมันพึ่งทราบว่าตนกำลังเอากระบี่วิเศษที่อาจารย์มอบให้มาใช้ในการประลองเท่านั้น

“ออกจากเขตนี้ซะไป๋จูเหวิน สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับเจ้า”อาวุโสเทียนหมิงว่าพลางตบบ่าไป๋จูเหวินเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป

“ไป๋จูเหวิน”อู๋หมิงที่พึ่งเก็บกระบี่เข้าแหวนมิติไปหันมามองไป๋จูเหวินที่พึ่งประลองกับตนไปเมื่อครู่

“ครั้งหน้าข้าจะเก่งขึ้นกว่านี้ หวังว่าจะได้พบเจ้าอีก”อู๋หมิงว่าพลางหันหลังเดินตามอาจารย์ไป

“แน่นอน ข้าเองก็จะเก่งขึ้นกว่านี้”ไป๋จูเหวินพูด ทำให้อู๋หมิงหันมามองครู่หนึ่ง มันสบตากับไป๋จูเหวินที่ดวงตากลับมาเป็นสีดำแล้วพลางยิ้มออกมา ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมากกว่านี้อีกแล้ว ยามนี้พวกมันถือเป็นสหายร่วมประลองกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“นายน้อย”ทันทีที่การประลองจบลง ต้าชิงและต้าเฉินก็เข้ามาหาไป๋จูเหวินในทันที เพราะนายน้อยของมันโดนกระบี่ฟาดไปนับครั้งไม่ถ้วน จนตอนนี้แขนของนายน้อยมีแต่รอยกระบี่เต็มไปหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้า ยามนี้เครื่องแบบของสำนักธารโลหิตแทบไม่เหลือชิ้นดีเลย มีเพียงเสื้อสีขาวด้านในเท่านั้นที่ไม่มีแม้แต่รอยขาดใดๆเลย

แม้จะนับได้ว่าการประลองครั้งนี้มันพ่ายแพ้ แต่ผลประโยชน์ที่มันได้มาก็นับว่าไม่เลวเลย นอกจากฝ่ามือหิมะละลายกลางนะภาแล้ว ในวินาทีสุดท้ายไป๋จูเหวินยังซัดวิชาของน้าราชสีห์ออกไปได้อีก 1 ฝ่ามือ แถมฝ่ามือ เพลิงพิโรธ ของท่านน้าราชสีห์ยังรุนแรงอย่างมาก ถึงขนาดทำลายกระบี่ของอู๋หมิงได้ แต่ก็เสียพลังวิญญาณและพลังอสูรไปไม่น้อย หากเมื่อครู่อาวุโสเทียนหมิงไม่เข้ามาหยุด ตัวมันก็ไม่ทราบจะเหลือพลังต่อสู้มากมายแค่ไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระบี่ที่อู๋หมิงนำออกมา กระบี่เล่มนั้นสมควรฟันผิวหนังของมันขาดได้แน่ๆ เพียงอู๋หมิงนำมันออกมาสู้ตั่งแต่แรกก็คงเอาชนะไป๋จูเหวินได้ไม่ยาก

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด