Immortal and Martial Dual Cultivation – บทที่ 66 แคมป์ไฟ

อ่านนิยายจีนเรื่อง Immortal and Martial Dual Cultivation ตอนที่ 66 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“ทักษะต่อสู้ทลายจันทรา!”

กิ้งก่าเพลิงกวาดหางไปทางเย่หมิงหลานอีกครั้งแต่เขากระโดดขึ้นไปบนอากาศและใช้ทักษะต่อสู้ระดับเหลืองทลายจันทราออกมา ด้วยเสียง ‘สวบ’ หางของกิ้งก่าเพลิงขาดออกเป็นสองท่อน

“ฟู่ว!”

กิ้งก่าเพลิงคำรามออกมาอย่างเจ็บปวดและลิ้นสีแดงยาวของมันก็เคลื่อนไหวราวกับผีมุ่งหน้ามาทางเย่หมิงหลาน เย่หมิงหลานไม่อาจหลบได้พ้นและถูกลิ้นสีแดงจับเข้าอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามในครั้งนี้เขาสงบนิ่ง

ในขณะที่กำลังถูกลากเข้าไปในปากของกิ้งก่าเพลิงดาบก็ตัดลิ้นของกิ้งก่าเพลิงเป็นสองส่วน หลังจากหย่หมิงหลานกลับลงมาบนพื้นได้เขาก็ถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็ว

เปลวเพลิงสีม่วงที่แท้จริง ยิง!

เซียวเฉินเริ่มลงมือเปลวเพลิงสีม่วงหมุนวนตรงปลายนิ้วของเขา มีเสียงสายลมที่ถูกกรีดออกมาหลังจากที่เปลวเพลิงถูกยิงเข้าไปในปากของกิ้งก่าเพลิง

“บูม!”

เสียงระเบิดดังออกมาจากปากของมันที่แหลกไม่มีชิ้นดีแต่กิ้งก่าเพลิงก็ยังไม่ตายลง พลังฉีสีดำหมุนเวียนไปมาบริเวณบาดแผลก่อนที่หัวของมันจะฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามเปลวเพลิงสีม่วงบนตัวของมันก็ไม่ยอมให้มันฟื้นตัวกลับมาโดยง่าย เพียงนึกคิดพลังปราณในร่างของเขาก็ถูดดึงออกไปอย่างมาก

เปลวเพลิงสีม่วงพุ่งออกมาจากร่างของกิ้งก่าเพลิง เปลวเพลิงสีม่วงและพลังฉีดำห้ำหันกันอย่างดุเดือดพร้อมกับกิ้งก่าเพลิงที่บิดตัวไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด

ทันใดนั้นพลังฉีสีดำก็พวยพุ่งออกมาบีบเปลวเพลิงสีม่วงของเซียวเฉินออกมาจากร่างของมัน บาดแผลของมันเริ่มรักษาตัวเองอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามเซียวเฉินไม่ได้แปลกใจอะไร เขาเคยฆ่ากิ้งก่าเพลิงมาก่อนแล้วและพอจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับมันบ้าง พลังฉีสีดำนั้นเป็นพลังฉีปีศาจที่ไหลออกมาจากโลกปีศาจมันทั้งแปลกประหลาดและน่าขนลุก

แม้ว่ากิ้งก่าเพลิงจะสลัดเปลวเพลิงสีม่วงออกไป กล้ามเนื้อและผิวหนังของมันที่กำลังฟื้นคืนกลับมาไม่ยืดหยุ่นเหมือนแต่เดิม มันสามารถเจาะทะลุได้อย่างง่ายดาย

“สยายปีกเชือดเฉือน”

กระบี่ที่เหนือกว่าของธรรมดาทั่วไปฟันลงไปที่หลังของกิ้งก่าเพลิงอย่างไร้ความปราณี ภายใต้แรงมหาศาลกิ้งก่าเพลิงถูกผ่าแยกเป็นสองซีก พลังฉีสีดำและโลหิตสีม่วงรั่วไหลออกมา

อย่างไรก็ตามร่างที่ถูกผ่าครึ่งนั้นก็เริ่มต่อติดกันมีเสียง “ซี่!ซี่!” พลังชีวิตของอสูรปีศาจตัวนี้มันสูงเกินไป

ทั้งสองลงมือโจมตีมันอย่างไม่หยุดยั้ง อวัยวะภายในของมันได้รับความเสียหายจากสายฟ้าของเซียวเฉินในตอนแรกจากนั้นลิ้นของมันก็ถูกตัดโดยเย่หมิงหลาน นอกจากนั้นมันยังถูกย่างด้วยเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงของเซียวเฉิน

ในตอนนี้มันจ่ายพลังออกไปมากแล้ว ภายใต้การโจมตีอันหนักหน่วงของทั้งสองคนกว่าสิบนาทีในที่สุดมันก็ตายลง

พื้นดินถูกคลุมไปด้วยชิ้นส่วนของกิ้งก่าเพลิงแต่ละชิ้นปลดปล่อยพลังฉีออกมาและมันดูแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เซียวเฉินไม่อาจไปใส่ใจกับพวกมันได้หมด หลังจากที่เขานำแก่นกลางปีศาจออกมาจากหัวของมันเขาก็ใช้เปลวเพลิงเล็กน้อยเผาที่เหลือทั้งหมด ไม่ทิ้งเศษอะไรไว้แม้แต่น้อย

“เซียวเฉิน ขอบคุณมาก” เย่หมิงหลานมองไปที่เซียวเฉินและกล่าวออกมาอย่างจริงใจ เขาไม่ใช่คนโง่ ในที่สุดเขาก็เข้าใจจุดประสงค์ที่เซียวเฉินลากเขาออกมา

เซียวเฉินยิ้มอย่างเฉยเมย “เรื่องเล็กน้อย ตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาด้วยกันเราก็เป็นพวกเดียวกัน นอกจากนี้ข้าสัญญาไว้กับผู้อาวุโสหนึ่งว่าข้าจะพาทุกคนกลับไปแบบเป็นๆ”

“ข้าจะยกความชอบเรื่องแก่นกลางปีศาจก้อนนี้ให้เจ้า ไปกันเถอะ พวกเรายังต้องสำรวจพื้นที่ทางนี้ไปอีก 500 เมตร”

เย่หมิงหลานเป็นสุขในใจ สำหรับศิษย์นอกเช่นเขาที่ใช้แซ่ต่างจากคนอื่น หากเขาสร้างความดีความชอบให้กับตระกูลเซียวได้ เขาก็จะได้รับอนุญาตให้ใช้แซ่เซียว เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นศิษย์สายในของตระกูลเซียวอย่างแท้จริง

ไม่ต้องสงสัยว่าการทดสอบครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีของเขา เซียวเฉินก็เหมือนกับแมวมองสำหรับพวกเขาที่จะมาจัดลำดับของพวกเขาในการทดสอบครั้งนี้

พวกเขาทั้งสองเดินต่อไปอีก 500 เมตรและค้นพบว่านอกจากกิ้งก่าเพลิงแล้วยังมีอสูรปีศาจเสือดาวและงูหางแดงที่อยู่ในเส้นทางของพวกเขา อสูรปีศาจทั้งสองชนิดนี้ พวกเขาฆ่าไปตัวละหนึ่ง จากนั้นเขาก็รวบรวมจุดอ่อนของพวกมันไว้รวมถึงข้อมูลสำคัญอื่นๆ

พวกเขาทั้งสองยังคงเดินสำรวจไปอีกสามทิศทาง พวกเขาจะสำรวจความแตกต่างของอสูรปีศาจแต่ละชนิด พวกเขาพบว่าทางด้านเหนือและทางตะวันออกของของค่ายพักนั้นค่อนข้างอันตรายและกำหนดไว้เป็นพื้นที่อันตรายที่จะไม่เข้าไป

เป็นเพราะมีอสูรปีศาจระดับ 3 ซ่อนตัวอยู่หรืออาจจะจะมีถึงระดับ 4 เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะไปต่อกรด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ หากเดินเข้าไปก็เหมือนเดินเข้าไปตาย

มันก็ถึงตอนเย็นแล้วในตอนที่พวกเขาเสร็จภารกิจเดินสำรวจและกลับมาที่ค่ายพัก ในตอนนี้อุณภูมิภายในป่าทมิฬแปรปรวนมากขึ้น

“พวกเจ้ากลับมาแล้ว!” ผู้บ่มเพาะพลังของตระกูลเซียวที่เฝ้ายามอยู่พูดออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมาอย่างปลอดภัย

กองไฟถูกจุดขึ้นตรงกลางของค่ายพักและพวกคนที่เหลือก็มารวมตัวกันตรงนั้นเพื่ออบอุ่นร่างกายของตัวเอง แม้ว่าผู้บ่มเพาะพลังจะสามารถใช้พลังปราณเพื่อต้านทานความหนาวได้ แต่หากคิดจะใช้พลังปราณไปเป็นระยะเวลานานแล้วคิดผิดมหันต์

เซียวเฉินได้ยินเสียงใครบางคนโต้เถียงกันดังมาจากกองไฟก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้ เขาจึงรีบเร่งฝีเท้าขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“น้องเฉินในที่สุดเจ้าก็กลับมา! เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?” เซียวอวี่หลันลุกขึ้นพร้อมกับถามด้วยความห่วงใย

“สถานการณ์ข้างนอกเป็นเช่นไรบ้าง? เล่าให้พวกเราฟัง”

“ใช่แล้ว! มีอสูรปีศาจเยอะไหม?” ทุกคนต่างแย่งกันพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือล้น

เซียวเฉินยิ้มอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องรีบร้อน ไว้เดียวเย่หมิงหลานจะเล่ารายละเอียดให้พวกเจ้าฟังทีหลัง ข้าได้ยินพวกเจ้าโต้เถียงกันมันมีเรื่องอะไร?”

นักบ่มเพาะพลังหญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมา “พวกเขาบอกว่าทุกคนควรจะมารวมกันอยู่ในกระท่อมหลังเดียวในคืนนี้ พวกเราไม่เห็นด้วย”

เซียวเฉินมองตามนิ้วที่นางชี้ไปเห็นได้ชัดว่านางพูดถึงใคร ในการทดสอบครั้งนี้มีทั้งหมดสิบคน หากรวมตัวเขาด้วยจะมีผู้ชายทั้งหมดหกคนและผู้หญิงสี่คน พวกที่เห็นด้วยแน่นอนว่าเป็นฝั่งชาย พวกที่ไม่เห็นด้วยเป็นฝั่งหญิง

เซียวอวี่หลันอธิบายขึ้น “กระท่อมทั้งสามหลังนั้นหลังหนึ่งเป็นที่เก็บของ ที่เหลืออีกสองเป็นห้องนอนและห้องอาหาร”

“นายน้อยสองอย่างที่ท่านเห็นมีกระท่อมให้ใช้เพียงหลังเดียว หากพวกเราไม่นอนรวมกันแล้วพวกเราจะไปนอนที่ไหน? ยิ่งกว่านั้นเตียงนอนยังแยกออกจากกัน แล้วมีอะไรให้กลัวอีก? ที่สำคัญที่สุดคือพวกเราล้วนบริสุทธิ์ใจ” นักบ่มเพาะพลังชายคนหนึ่งยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น

“แน่นอน พวกเราล้วนบริสุทธิ์ใจ จิตใจของพวกผู้หญิงต่างหากที่คิดสกปรก คิดว่าเราเป็นตัวอะไร?”

“ปีนี้ข้าอายุได้สิบแปดแต่ยังไม่ได้แปดเปื้อนด้วยซ้ำ ข้ายังไม่เคยช่วยตัวเองด้วย”

“ก็ใช่นะสิ พวกเจ้าทั้งหมดยังบริสุทธิ์ เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมมันอันตรายยิ่งกว่าเดิม พวกเจ้าที่เก็บกดมาหลายปี ใครจะรู้ได้ว่าพวกเจ้าจะห้ามใจตัวเองได้ ” นักบ่มเพาะพลังหญิงผู้หนึ่งพูดออกมาอย่างไม่เกรงกลัว

เซียวเฉินจำนางได้ นางชื่อว่าเซียวหลิงเอ๋อ เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของผู้อาวุโสสอง นางเป็นหญิงงามอันดับต้นๆของตระกูลเซียวแต่ โดยปกตินางจะเป็นตัวแสบและก่อปัญหาไปทั่ว

“ข้าอดทนมาได้กว่า 18 ปี อีกสองสามวันทำไมจะไม่ได้? เซียวหลิงเอ๋อจะดูถูกพวกเราเกินไปแล้ว เจ้าทำให้ความบริสุทธิ์ของพวกเราแปดเปื้อน”

“หยุด! ” เซียวเฉินที่เห็นว่าบทสทนามันจะเริ่มไหลไปเรื่อยไม่มีวันจบสิ้นก็ตะโกนออกมาเสียงดังเพื่อหยุดมันก่อนที่จะสายไป หันหน้าไปหาเซียวเจี้ยน เขาถามขึ้น “เซียวเจี้ยนเจ้าคิดเช่นไร?”

ตั้งแต่ที่เซียวเจี้ยนได้พ่ายแพ้ให้แก่จางเหอ เขาดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาไม่ได้ถือตัวสูงส่งเหมือนแต่ก่อนและเริ่มพูดน้อยลง

มองดูเซียวเฉินจ้องมองมาทางเขา เซียวเจี้ยนก็ยืนแข็งไปพักนึงก่อนที่จะตอบ “ข้าคิดว่าอยู่รวมกันมันจะเป็นการดีที่สุด”

“นายน้อยหนึ่งฉลาดหลักแหลม” บางคนพูดตามขึ้นมาทันที

เซียวเจี้ยนยิ้มอย่างไม่แยแส “มีกระท่อมไม้เพียงหลังเดียวที่มีเตียงนอนและพื้นที่เพียงพอ หากพวกเราอยากจะนอนแยกกันพวกเราก็ต้องย้ายของออกมาจากห้องเก็บของ แต่หากพวกเราทำเช่นนั้นในตอนที่พวกเรานำซากและชิ้นส่วนของอสูรปีศาจกลับมามันจะไม่มีที่เอาไว้เก็บพวกมัน”

“พวกเจ้าทั้งหมดดูเหมือนจะลืมเรื่องสำคัญที่สุดไปแล้ว จำได้ไหมที่พวกเรามาพบกับศพของระดับขอบเขตปรมจารย์ที่นี่? ที่นี่มันอันตราย…อันตรายมาก เป็นการดีที่สุดหากพวกเราจะอยู่รวมกันไว้เพื่อค่อยดูแลกัน” เซียวเจี้ยนแสดงออกอย่างเคร่องเครียดในขณะที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

คำพูดของเซียวเจี้ยนนั้นสมเหตุสมผล สถานที่นี้มันไม่น่าไว้ใจ เซียวเฉินหันไปมองหน้าเซียวอวี่หลันและพูดขึ้น “พี่สาวอวี่หลัน เจ้าละคิดว่าไง?”

กองไฟสีแดงที่ฉายแสงลงบนใบหน้าขาวนวลของเซียวอวี่หลันทำให้ดูน่าเย้ายวนอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากที่เซียวเฉินหันไปมองรวมกับว่าเขาถูกดูดจมลงไปและรีบรวบรวมสติของเขากลับมา

รู้สึกได้ถึงสายตาของเซียวเฉิน เซียวอวี่หลันยิ้มอย่างขี้เล่นทำให้นางดูงดงามขึ้นไปอีก ศิษย์ตระกูลเซียวสองสามคนถึงกับนิ่งอึ้ง

“ข้าก็เห็นด้วยกับเซียวเจี้ยนแต่ก็คงต้องใช้ม่านกั้นกลางระหว่างห้อง ถึงอย่างไรมันก็อึดอัดสำหรับผู้หญิงที่จะต้องอยู่ร่วมกับผู้ชาย”

หลังจากที่พวกเขาประนีประนอมกันได้เสียที เซียวเฉินก็เรียกเย่หมิงหลานเข้ามาอธิบายสถานการณ์ด้านนอกรวมถึงอธิบายถึงจุดอ่อนของเหล่าอสูรปีศาจ

เมื่อเย่หมิงหลานอธิบายจบ เซียวเฉินก็พูดขึ้น “ข้าตัดสินใจว่าพรุ้งนี้จะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปทางใต้อีกกลุ่มหนึ่งไปทางตะวันตก ข้าจะรับผิดชอบกลุ่มทางใต้ เซียวเจี้ยนรับผิดชอบกลุ่มทางตะวันตกและเย่หมิงหลานก็จะไปกับกลุ่มนี้ด้วย”

ไม่มีใครคัดค้าน หลังจากพูดคุยอะไรกันอีกเล็กน้อยเวียวเฉินก็จัดการสำหรับการเฝ้ายามกลางคืนและทุกคนก็แยกย้ายกันออกไป

หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายออกไปแล้วเหลือเพียงเซียวเฉินและเซียวอวี่หลันที่ยังอยู่ที่กองไฟ ในตอนนี้ป่าทมิฬหนาวเหน็บอย่างไม่น่าเชื่อและในบางครั้งก็มีเสียงคำรามมาจากระยะไกล

หลังจากคนแยกย้ายกันไปความมีชีวิตชีวาก็หายไปด้วย สายลมหนาวเหน็บพัดผ่านมาพร้อมกับเสียงคำรามของอสูรปีศาจเป้นระยะ ของเหล่านี้ล้วนทำให้คนธรรมดาต้องหวาดกลัว

เซียวเฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ถูกต้นไม้เขียวชะอุ่มบังจนมิด คิดเพียงว่ามันอาจจะมีรูเล็กๆที่สามารถมองเห็นแสงดาวจางๆบนท้องฟ้า

ฉากนี้ทำให้เวียวเฉินนึกถึงตอนที่เขากำลังตั้งแคมป์ไฟทำกิจกรรมของมหาลัยในชีวิตก่อนของเขา มันช่างคล้ายกัน มีทั้งชายหญิงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

อย่างไรก็ตามมันไม่ได้มีอสูรปีศาจอยู่แถวนั้นและไม่ใช่สถานการณ์ที่ที่หากพวกเขาประมาทเพียงเล็กน้อย…ก็อาจจะถูกอสูรปีศาจจับกินได้

ทุกคนล้วนทราบว่าการทดสอบนั้นอันตราย อย่างไรก็ตามตั้งแต่สมันโบราณนักบ่มเพาะพลังต่างไม่ลังเลที่จะไล่ตามจุดสิ้นสุดของเส้นทางสายนี้

แต่มันจะมีระดับขอบเขตพรเจ้าอยู่บนโลกนี้จริงๆ? สายตาของเซียวเฉินจ้องมองไปที่คำคืนที่ไม่มีวันสิ้นสุดและมองไปยีงท้องฟ้าด้วยจิตใจว่างเปล่า

“น้องเฉินเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” เซียวอวี่หลัยเอ่ยขึ้นเบาๆข้างๆเขา แสงจากกองไฟทำให้ใบหน้าของนางดูเซ็กซี่สุดๆ

เซียวเฉินยิ้มอย่างเฉยเมย “ทุกคนล้วนขยันขันแข็ง มาเข้าร่วมในการทดสอบเสี่ยงตายนี้และมองหาเส้นทางแห่งการต่อสู้ อย่างไรก็ตามจุดสิ้นสุดของเส้นทางนี้จะได้กลายเป็นระดับขอบเขตพระเจ้า? แล้วระดับขอบเขตพระเจ้ามันมีอยู่จริง?”

เซียวอวี่หลันได้ยินดังนั้นนางส่ายหัวและถอนหายใจออกมา “แน่นอนทุกคนล้วนรู้ว่าจุดสิ้นสุดในเส้นทางแห่งการต่อสู้คือระดับขอบเขตพระเจ้า อย่างไรก็ตามในดินแดนหลายร้อยหลายพันลี้ในอาณาจักนต้าฉินแห่งนี้กับเหล่านักรบกว่าสิบล้านคน มีระดับขอบเขตราชันเพียงสิบคนเท่านั้นที่เป็นที่รู้จักกัน ยิ่งระดับขอบเขตมหาปราชญ์ก็ปรากฎออกมาครั้งสุดท้ายเมื่อ 500 ปีก่อน“

“ในความเห็นของข้า นอกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ดั่งเดิมทั้งสาม ที่ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะมีระดับขอบเขตพระเจ้าคืออาณาจักรจิน” หลังจากอธิบายจบไปก่อนหน้านางก็พูดเพิ่มเดิม

ในทวีปเทียนวู่นอกจากอาณาจักรเล็กๆและแดนเถื่อนทั้งหลายแล้ว อาณาจักรฉิน,อาณาจักรชู,อาณาจักรถัง,อาณาจักรเซี่ยและอาณาจักรจินนั้นเป็นห้าอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุด หนึ่งในนั้นอาณาจักรต้าฉินมีเส้นเลือดวิญญาณที่ใหญ่ที่สุดภายใต้สวรรค์ ดังนั้นความแข็งแกร่งจึงไม่ด้อยไปกว่าอาณาจักรอื่นรวมพลังกันสองอาณาจักร

เซียวอวี่หลันพูดไม่ผิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ พวกเขาจึงมีผู้เชี่ยวชาญเกิดขึ้นมาเยอะที่สุดในทวีป

ในตอนนั้นเองเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากทางตะวันออกของค่ายพัก เสียงนั้นรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงราวกับกำลังถูกลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยม

เซียวเฉินลุกขึ้นและหยุดเซียวอวี่หลันที่กำลังลุกตามมา “อย่าเพิ่งไป ข้าจะไปดูก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าไปส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสหนึ่งทิ้งเอาไว้”

เซียวอวี่หลันดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เซียวเฉินก็กล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด “เจ้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่ภูเขาชีเจี่ยว ไม่สนว่าสถานการณ์จะอันตรายย่ำแย่ขนาดไหน ข้าขอรับรองว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไร”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด