Immortal and Martial Dual Cultivation – บทที่ 135 แคว้นซีเหอ เขตเยวหลัว

อ่านนิยายจีนเรื่อง Immortal and Martial Dual Cultivation ตอนที่ 135 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

 

ตอนที่ 135 แคว้นซีเหอ เขตเยวหลัว

 

“ข้าไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ข้ามาถึงแคว้นซีเหอแล้วหรือยัง?” เซี่ยวเฉินพูดกับตนเองหลังจากที่ลงจอดที่พื้น เขาไม่เห็นใครที่ถนน

 

เซียวเฉินมองไปที่พื้นของถนนอย่างระมัดระวัง มีรอยเท้าใหม่และรอยล้ออยู่บนพื้น นี่หมายความว่ามีผู้คนใช้ถนนเส้นนี้บ่อยครั้ง เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครเลย

 

เขาตรวจสอบสภาพร่างกายของตนอย่างละเอียดและไม่พบปัญหาใด จากนั้นเขาก็ตัดสินใจเดินไปข้างหน้าต่อ ประสบการณ์ก่อนหน้านี้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ภายในหัวใจเขามาก เขาจึงไม่กล้าประมาท

 

เขาช่างโชคร้ายที่หลุดเข้าไปในพายุมังกรขาวที่ไม่ปรากฏมาหลายสิบปี เซี่ยวเฉินไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ความแค้นเคืองอันมหาศาลและความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงกระดูกที่เขาได้ประสบพบเจอทําให้เขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

 

มังกรขาว มังกรฟ้า? พวกมันเกี่ยวข้องกัน? ความคิดของเซียวเฉินเต็มไปด้วยความสงสัย เขายังไม่เข้าใจมังกรฟ้าที่อยู่ภายในร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์ เขาไม่ทราบว่ามันมีความสามารถเช่นไร

 

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ เซียวเฉินก็หยุดลง ด้วยความคิดมังกรฟ้าที่อยู่ในร่างกายของเขาก็ออกมาจากตันเถียน มันเคลื่อนที่ไปตามเส้นปราณและออกมาจากฝามือของเซี่ยวเฉิน

 

ทุกที่ที่มันเคลื่อนผ่าน เซี่ยวเฉินจะรู้สึกถึงพลังงานที่น่ากลัว ภายใต้การควบคุมของเซี่ยวเฉิน มันออกมาพร้อมกับเสียง ฟู และพันรอบข้อมือของเขา

 

หลังจากผู้บ่มเพาะมาถึงระดับเชี่ยวชาญยุทธ พวกเขาสามารถปลดปล่อยจิตวิญญาณยุทธออกจากร่างกายได้ มันเป็นไปได้ที่จะทําให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อในการต่อสู้

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จิตวิญญาณต่อสู้ออกจากร่างและได้รับบาดเจ็บ มันอาจจะทําให้ผู้บ่นเพาะพลังกลายเป็นพิการได้ หากพวกเขาเข้าตาจนและหลังชนฝา จะไม่มีผู้บ่มเพาะคนใดปลดปล่อยจิตวิญญาณยุทธออกมา

 

ไม่จนกว่าเข้าสู่ขอบเขตกษัตริย์ ขอบเขตกษัตริย์จะบ่มเพาะจิตวิญญาณยุทธของตนจนกลายเป็นอมตะ แม้ว่ามันจะถูกทําลายภายนอกร่างกาย มันก็สามารถเกิดใหม่ได้ในร่างกาย

 

เซี่ยวเฉินมองดูมังกรฟ้าตัวเล็กที่พันรอบข้อมือเขา เขาคิดอยู่นานแต่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรขึ้นมาเลย “นอกจากการมอบพลังงานและความแข็งแกร่งที่มากกว่าจิตวิญญาณ ตัวอื่นเล็กน้อย ข้าก็ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างจากวิญญาณต่อสู้อื่นเช่นไร แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล”

 

เซี่ยวเฉินส่ายหัวและจัดระเบียบความคิดของตน เขานํามังกรฟ้าเก็บเข้าไปในร่างกายและหยุดคิดเกี่ยวกับปัญหานี้ ทุกอย่างจะปรากฏเมื่อเวลามาถึง ผู้สืบทอดมังกรฟ้าสูญ หายไปหลายพันปีแล้ว มันเป็นไปไม่ได้สําหรับเขาที่จะเข้าใจทุกอย่าง มันไม่มีประโยชน์ให้คิดมาก

 

เซี่ยวเฉินเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เขาก็ได้พบใครบางคน เขาถามออกไปอย่างรวดเร็วว่าเขาอยู่ที่ไหน และเขามาถึงแคว้นซีเหอแล้วหรือยัง

 

บุคคลผู้นั้นสวมชุดสีขาวและพกดาบ ไม่มีร่องรอยเศษฝุ่นบนตัวเขา เขาไม่ได้หันหัวกลับมาขณะที่ตอบ “แคว้นซีเหอ เขตเยว่หลัว มณฑลหยุนหยาง เมืองหลวง”

 

เซี่ยวเฉินไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางของคนผู้นี้ เขานึกถึงแผนที่ที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ภายในจิตใจ ศาลากระบี่สวรรค์ตั้งอยู่ในเขตเยวหลัว มันไม่ไกลจากเมืองหยุนหยาง แม้ว่าเขาจะเดินไปมันก็ใช้เวลาเพียงแค่สองสัปดาห์เท่านั้น

 

ท่าทางมีความสุขปรากฏบนใบหน้าของเขา เซี่ยวเฉินขยายสัมผัสวิญญาณออกไปเพื่อสํารวจรอบๆ ในที่สุด เมื่อถึงขีดจํากัดของสัมผัสจิตวิญญาณ เขาก็เห็นเมืองที่งดงาม มีอักษรหนาขนาดใหญ่อยู่สองตัวเป็นคําว่า “หยุนหยาง” อยู่บนประตูเมือง มันดูเก่าแก่เป็นอย่างมาก

 

เซี่ยวเฉินเก็บสัมผัสจิตวิญญาณและยกเท้าออกจากพื้น เขาใช้ทักษะมังกรฟ้าเมฆาทะยานสร้างเป็นกลุ่มควัน เขาพุ่งออกไปข้างหน้า ในพริบตาไล่ตามคนที่เขาพูดด้วยก่อนหน้านี้ทันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะแซงคนผู้นั้น เขาก็เตะสร้างกลุ่มควันขนาดใหญ่

 

“ไม่คาดเลยว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ” บุคคลชุดขาวพูดอย่างเฉยเมยขณะที่มองไปทางที่เซียวเฉินผ่านไป

 

คนผู้นี้ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ฝนที่ตกลงบนเสื้อของเขา กระจายออกด้วยตัวมันเอง เขาเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า และออกมาจากกลุ่มควันที่เต็มอยู่ในอากาศ เสื้อผ้าของเขา ยังคงสะอาดปราศจากเศษผงเศษฝุ่น

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกได้ถึงสายตาอันแข็งแกร่งที่กวาดผ่านเขาก่อนที่จะหายไป เมื่อเขาหันหัวไปรอบด้าน เขาก็ไม่พบอะไรทั้งสิ้น เขาเห็นเพียงแค่กลุ่มควันที่เขาทิ้งไว้ก่อนจะพุ่งไปข้างหน้า

 

เมืองหยุนหยางปรากฏในสายตาเขา เซี่ยวเฉินลดความเร็วและเดินอย่างช้าๆเมื่อมาถึงประตูเมือง เขาพบหญิงสาวจํานวนมากยืนเต็มอยู่หน้าประตูเมือง พวกเธอทั้งหมดที่ยืนอยู่กําลังคุยกัน มันช่างเป็นฉากที่ไม่น่าเชื่อ

 

“นี่เป็นประเพณีของเมืองหยุนหยาง?” เซี่ยวเฉินกล่าวออกมาด้วยความสับสน มีผู้หญิงมากมายอยู่ที่นี่มันเป็นไปได้ ว่าหญิงสาวทั้งหมดของเมืองหยุนหยางจะอยู่ที่นี่

 

เมื่อกลุ่มหญิงสาวเห็นรูปร่างของเซียวเฉิน พวกนางก็เริ่มเต็มไปด้วยความสุขและวิ่งเข้ามา เมื่อพวกนางเห็นรูปร่างของเซี่ยวเฉินอย่างชัดเจน พวกนางก็เต็มไปด้วยความผิดหวังและบ่นสาปแช่งใส่เขา

 

เซี่ยวเฉินไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อยามเห็นสถานการณ์ เขาก็ยิ้มออกมา “อย่าขุ่นเคืองไปเลย หญิงสาวเหล่านี้รออยู่ที่นี่มาทั้งเช้า มันไม่น่าแปลกใจที่พวกนางจะอารมณ์ไม่ดี”

 

เซี่ยวเฉินจ่ายค่าเข้าเมืองและทําอะไรไม่ถูกแต่เมื่อเขาได้ยินเรื่องนั้นมันก็ช่างตลกยิ่งนัก นี่เป็นเหมือนกับกลุ่มแฟนคลับสาวในชีวิตที่แล้วของเขา เขาไม่คาดคิดว่าเรื่องเช่นนั้นจะมีในโลกใบนี้เช่นกัน เขาอดไม่ได้และถามออกไปด้วยความอยากรู้ “ใครกันที่มีเสน่ห์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ถึงขนาดสามารถทําให้หญิงสาวทั้งเมืองหยุนหยางออกมารอรับเขาที่นี่ได้”

 

ยามมองไปที่เซียวเฉินด้วยความตกใจเขากล่าว “เจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรือ? วันนี้เป็นวันต่อสู้ประจําปีของมู่เฉิงเสวี่ยกับ เหลิ่งหลิวซู หญิงสาวเหล่านี้มาที่นี่เพื่อพบกับมู่เฉินเสวี่ย”

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซียวเฉินได้ยินชื่อนี้ เมื่อเขาได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะสนใจ เขาเริ่มสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากยาม

 

ยามของเมืองช่างพูดเป็นอย่างมาก เมื่อเขาเห็นเซียวเฉินถามข้อมูลเพิ่ม เขาก็เริ่มบอกออกไปทุกสิ่ง

 

มู่เฉิงเสวี่ยมาจากพระราชวังจิตวิญญาณค่ำคืน ของแคว้นหนานหลิง เขาเป็นผู้สืบทอดของพระราชวังจิตวิญญาณค่ำคืน เช่นเดียวกับจี้ฉางคง พวกเขาทั้งสองเป็นที่รู้จักในนามดาวคู่แห่งหนานหลิง พวกเขาทั้งสองมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและกลายเป็นที่รู้จักตั้งแต่ยังเยาว์ ตอนที่เขาอายุ 12 ปี ในรุ่นเดียวกันไม่มีใครเทียบเขาได้ นอกเหนือจาก ฉางคง เขาไม่ได้เป็นคู่แข่งกัน

 

ในปีนั้น พวกเขาทั้งคู่ออกจากแคว้นหนานหลิง และเริ่มท้าทายเหล่ายอดฝีมื่ออายุน้อยทั่วโลก จี้ฉางคงไปเมืองหลวง และมู่เฉิงเสวี่ยไปแคว้นซีเหอและแคว้นตงหมิง

 

ภายในรุ่นเดียวกัน ไม่มีใครเทียบกับสองคนนี้ได้ ไม่มีใครต่อกรกับพวกเขาได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งคู่ต่างแพ้ให้กับผู้หญิง จี้ฉางคงพ่ายแพ้ให้กับองค์หญิงอิงเยว่ มู่เฉิงเสวี่ยพ่ายแพ้ให้กับเหลิ่งหลิวซูแห่งศาลากระบีสวรรค์ เป็นผู้ที่รู้จักกันในนาม มือกระบี่สวรรค์น้อย

 

หนึ่งปีต่อมา มู่เฉิงเสวี่ยมายังแคว้นหนานหลิงอีกครั้ง เพื่อประลองกับเหลิ่งหลิวซู พวกเขาทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันกว่าพันกระบวนก่อนที่จะจบลงด้วยการเสมอ จากนั้นพวกเขาก็ตกลงดวลกันอีกครั้งในปีถัดไป

 

เช่นนั้น มันจึงกลายมาเป็นประเพณีทุกปี มู่เฉิงเสวี่ยจะมาเมืองหยุนหยางเพื่อต่อสู้กับเหลิงหลิวซูในช่วงเวลาประมาณนี้ทุกปี

 

นอกจากพรสวรรค์อันหน้าสะพรึงของมู่เฉิงเสวี่ยเขา ก็ยังหล่อเหลาเป็นอย่างมากเช่นกัน หลังจากมาเมืองหยุนหยางไม่กี่ครั้ง หญิงสาวทั้งหมดของเมืองก็รู้จักเขา

 

เซียวเฉินยิ้มเล็กน้อยและขอบคุณยามก่อนที่จะเดินเข้า ไปในเมืองโดยไม่สนใจโลก หญิงสาวทั้งหมดดูเหมือนจะพยายามอย่างมากเพื่อไล่ตามไอดอลของพวกนาง

 

เหลิ่งหลิวซู…หรือจะเป็นหญิงสาวนางนั้น? รูปร่างอันงดงามปรากฏขึ้นในจิตใจของเซี่ยวเฉิน จากนั้นไม่นาน ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไรเขาก็ยิ่งคิดว่ามันเป็นไปได้

 

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่คือศาลากระปสวรรค์ 

 

สุดท้ายแล้วก่อนที่เขาจะได้เข้าไป เขาก็เคยล่วงเกินบุตรตรีแสนรักของท่านเจ้าที่

 

“มู่เฉิงเสวียมาถึงแล้ว!” ขณะที่เซียวเฉิดเดินอยู่ก็มีเสียงร้องด้วยความยินดีมาจากเบื้องหลังเขา เซี่ยวเฉินหันหลังกลับและเห็นชายที่สวมชุดขาวกําลังถือดาบ เขาถูกรายล้อมไปด้วยหญิงสาว เขาเผยรอยยิ้มอ่อนโยนเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดคุยกับหญิงสาวที่ละคน

 

เซี่ยวเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ มู่เฉิงเสวี่ยผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นคนที่เขาถามทางก่อนหน้านี้ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย “โลกใบนี้ช่างแปลกประหลาดนัก”

 

หลังจากเซียวเฉินกล่าวเขาก็หันหลังกลับ ทันใดนั้น เชี่ยวเฉินก็รู้สึกได้ถึงสายตาอันแข็งแกร่งที่สํารวจเขาอีกครั้ง ครานี้มันไม่ได้หลบซ่อน

 

สายตานั้นมาจากมู่เฉิงเสวี่ย เซี่ยวเฉินอดทนไม่หันหลังกลับไป เขาถามหาสถานที่ตั้งของศาลากระบี่ สวรรค์ในเมืองหยุนหยางไปทั่วและรีบจากไป

 

มู่เฉิงเสวี่ยผู้ที่รายล้อมไปด้วยหญิงสาว มองไปที่เซียวเฉิน ที่จากไปมุมปากของเขาโค้งขึ้นอย่างประหลาดและยิ้มเล็กน้อย

 

มีกระจกทองแดงม่วงกําลังลอยอยู่ในพื้นที่ไร้สิ้นสุดในตาซ้ายของเขา แสงที่ปลดปล่อยจากกระจกทองแดงดูราวกับ ว่าสามารถเห็นความจริงของทุกสิ่งในโลกได้

 

ไม่มีใครสังเกตเห็นกระจกทองแดงที่เปล่งประกายในดวงตาเขาสักผู้เดียว

 

หลังจากถามไปทั่ว เซียวเฉินก็พบว่าศาลาหลับใหลมีสาขาอยู่ในเมืองหยุนหยางแน่นอน เซี่ยวเฉินนําบัตรสมาชิกระดับเพชรที่ได้รับจากเจ้าหมูก่อนหน้านี้ออกมา เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เจ้าหมูนี่ไม่ได้คุยโวจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ที่นั้นจะมีศาลาหลับไหล

 

ศาลาหลับใหลที่อยู่ในเมืองหยุนหยางเป็นเช่นเดียวกับที่อยู่ในเมืองไปสุ่ย แถมธุรกิจที่เฟื่องฟูเช่นเดียวกัน โครงสร้างพื้นฐานเองก็เหมือนกันเป็นอย่างมาก เซียวเฉินผ่านชั้นหนึ่งไปและมุ่งหน้าไปชั้นสอง มีกลุ่มผู้บ่มเพาะกําลังพูดคุยกันเกี่ยวกับการต่อสู้ที่จะเกิดในวันนี้

 

“ปีที่แล้ว ทั้งสองสู้กันและเสมอกัน นั่นเป็นครั้งที่สามที่พวกเขาเสมอกัน สุดท้ายแล้ว มู่เฉิงเสวี่ยก็พ่ายแพ้ไปก่อนครั้งหนึ่ง เขาไม่สามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญอันดับต้นๆ ของแคว้นซีเหอเราได้”

 

“มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านี้สองสามครา เหลิงหลิวซูมีข้อได้เปรียบด้านยุทธภัณฑ์ในครานี้ ข้าได้ยินมาว่ามู่เฉิงเสวี่ยเสร็จสิ้นการทดสอบเส้นทางสวรรค์ และได้รับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เสียหาย

 

“ข้ารู้เรื่องนี้ มันเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่รู้จักกันในนามความงามภายใต้จันทรา ในช่วงเวลานี้ มู่เฉิงเสวี่ยได้ทดสอบดาบและสังหารขอบเขตนักบุญด้วยตนเอง”

 

“จากที่สังเกต ความงามภายใต้จันทราสามารถเทียบได้กับวิญญาณเผาไหม้ของเหลิ่งหลิวซู อาวุธทั้งคู่เป็นอาวุธที่ไม่สมบูรณ์เช่นเดียวกัน ชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ”

 

บนชั้นสอง มีผู้บ่มเพาะที่มีความรู้เป็นอย่างมากอยู่ เมื่อเซี่ยวเฉินได้ยินสิ่งที่เขากล่าว เขาอดไม่ได้ที่จะตั้งใจฟัง

 

“เปิดทาง! เปิดทาง! นายน้อยตระกูลเจี้ยนของเรามาแล้วทําไมเจ้ายังไม่เปิดทาง?” แค่ชั่วครู่เดียว  เอี้ยนเซียนอวิ๋นนําข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่อยู่โดยรอบก็เคลื่อนไปอยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว

 

TL :เอี้ยนเซียนอวิ๋น เปลี่ยนชื่อจากเยี่ยงเซียงหยุ่น จากตอนที่ 107 นะครับ

 

เมื่อเห็น เอี้ยนเซียนอวิ๋น คิ้วของเซี่ยวเฉินก็อดไม่ได้ที่จะกระตุก เขาไม่คาดคิดว่าจะพบคนผู้นี้ที่นี่

 

เซียวเฉินยังคงจําตํานานของเจ้าหมูได้อย่างแจ่มชัด เขามองไปที่บริเวณเป้ากางเกงของคนผู้นั้นและอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

เซี่ยวเฉินไม่ต้องการที่จะเรียกหาปัญหา เมื่อเอี้ยนเซียนอวิ๋นขึ้นมา เขาเคลื่อนไปด้านข้างให้เขาผ่านไป เอี้ยนเซียนอวิ๋นเดินนํากลุ่มคนและผ่านเขาไป เขาเหลือบมองผ่านๆเซี่ยวเฉินไปอย่างเร่งรีบ หลังจากผ่านไปสองก้าว เขาก็หันกลับมา

 

“ทําไมข้ารู้สึกว่าเจ้าหน้าตาช่างคุ้นเคย? เราเคยพบกันรือไม่?” เอี้ยนเซียนอวิ๋นถามอย่างระวังขณะมองไปที่เชี่ยวเฉิน

 

เซี่ยวเฉินไม่กังวล นอกจากการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขา ด้วยคาถาแปรรูปลักษณ์เขาสามารถเปลี่ยนออร่าและน้ำเสียงได้เช่นกัน เซี่ยวเฉินยิ้มและกล่าว “บางทีเราอาจจะเคยพบกันในฝูงชน มันไม่แปลกถ้าจะคุ้นหน้ากัน”

 

เอี้ยนเชียนหยุนยิ้มเล็กน้อย เขาคิดสักครู่และกล่าว “บางที่ อาจจะเป็นผู้ที่พบกันในฝูงชน หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าข้าจําคนผิด ลาก่อน!”

 

“บึ้น!”เอี้ยนเซียนอวิ๋นหันกลับมาในทันทีและเตะไปที่หน้าอกของเซี่ยวเฉิน เซี่ยวเฉินขดรอยยิ้มด้วยความเยือกเย็น และไม่ได้ต่อต้าน เขาเกร็งท้องเล็กน้อย

 

“ปัง!” เอี้ยนเซียนอวิ๋นใส่แรงไปมากในการเตะครั้งนี้ และส่งเซี่ยวเฉินลอยไปด้านหลัง อย่างไรก็ตามเนื่องจาก เซียวเฉินได้เตรียมตัวมาก่อนแล้ว เขาจึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด