องค์หญิงหมอเทวะ – บทที่ 22 : สิ่งที่ทำแล้วไม่สามารถยกเลิกได้

อ่านนิยายจีนเรื่อง World-shaking First Daughter: Powerful Medical Princess องค์หญิงหมอเทวะ ตอนที่ 22 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

พร้อมกับยกริมฝีปากของนางขึ้นเล็กน้อย  ซูมู่เกอฝืนยิ้มออกมา  แต่ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นในดวงตาของนาง  น่าเสียดายที่อารมณ์ของนางถูกคนเหล่านี้เพิกเฉยเพราะพวกเขาจมจ้องอยู่กับสิ่งที่นางอาจจะนำกลับมาด้วย

 

“ข้าทิ้งทุกอย่างไว้ที่ในเมือง  ข้าจะนำพวกเขามาให้ท่านยายเมื่อข้าจะกลับ”

 

ตอนนี้พวกเขาได้คำตอบแล้ว  ครอบครัวจ้าวแยกย้ายกันไปหลังจากพูดคุยสบายๆกับซูมู่เกอ

 

จ้าวหมิงเสนอที่จะรับรองนางโดยให้นางใช้ห้องนอนร่วมกับลูกสาวคนโต  แต่ถูกปฏิเสธ  มู่เกอบอกเขาว่านางต้องดูแลนางจาง

 

“เจ้ารู้ไหมว่าน้องสาวของเจ้าเอาของดีอะไรมาให้เราบ้าง?  ต้าหรางกำลังจะไปยื่นข้อเสนอ  และของกำนัลจากในเมืองจะสมบูรณ์แบบอย่างสมศักดิ์ศรี”  นางหวังกลับไปที่ห้องของนางและความโลภบนใบหน้าของนางนั้นชัดเจนเกินกว่าจะปกปิด

 

จ้าวชุนนั่งอยู่ด้านข้างและคำพูดเหล่านั้นทำให้เขานึกถึงใบหน้าอันสกปรก  แต่บอบบางของซูมู่เกอ

 

“ท่านแม่  เด็กสาวบ้านป่าในแถบนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะแข่งขันกับลูกพี่ลูกน้องของข้าได้”

 

คำพูดไม่ได้ตั้งใจที่หลุดออกจากปากของจ้าวชุนทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบลงในทันที

 

ดวงตาของนางสว่างไสวด้วยความตื่นเต้น  นางหวังมองไปที่จ้าวเต๋อ

 

“ลูกชายของเราพูดถูก! เด็กสาวบ้านป่าในหมู่บ้านแถบนี้ไม่มีใครเป็นลูกสาวที่เกิดจากครอบครัวที่รับราชการ  เนื่องจากซูมู่เกอเป็นลูกสาวของน้องสาวคนเล็กของท่านพี่  ทำไมไม่แต่งงานกับนางและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของเราทั้งสองล่ะ?”

 

จ้าวเต๋อเคยเป็นธุระจัดหาให้ใครๆในเมืองและด้วยเหตุนี้เขาจึงมักจะเกรงใจภรรยามาก

 

“น้องเขยของข้าจะพอใจและยอมรับกับเรื่องนี้ไหม?  ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือการแต่งงานนะ  ดังนั้น  น้องสาวของข้านางไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะสามารถพูดเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้”

 

“ท่านจะให้ปัญหามันหายไปเช่นนี้หรือ?  เราจะคว้าโอกาสนี้และขอให้นางแต่งงานกับลูกชายของเรา  เมื่อถึงเวลาที่นางกับต้าหรางมี….พ่อแม่ของนางไม่มีทางไม่เห็นด้วย?”

 

“ท่านแม่  จะ..ข้าจะสามารถแต่งงานกับญาติผู้น้องของข้าได้จริงๆรึ?”  เมื่อได้ยินคำพูดจากแม่ของเขา  ใบหน้าจ้าวชุนดูหม่นหมองลง

 

“ทำไมจะไม่ได้?  นางไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์มาแต่ที่ใด!  ชิงชิงเจ้าค่ะ  ท่านต้องรีบเดี๋ยวนี้  บางทีน้องรองของท่านก็กำลังคิดจะทำสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน”

 

คำพูดของนางหวังทำให้จ้าวเต๋อเงียบลงอย่างใช้ความคิด

 

ในทางกลับกัน ซูมู่เกอไม่ได้ระแคะระคายถึงแนวคิดของคนเหล่านั้นเลย

 

นางจางเคยมีร่างกายที่แข็งแกร่ง  และจากนั้นไม่นานก็กลับมารู้สึกตัวในตอนกลางคืนของคืนหลังการผ่าตัด  นางสับสนเล็กน้อยเมื่อพบว่าตัวนางเองได้กลับมานอนอยู่ในห้องเดิมที่นางเคยอยู่ก่อนหน้านั้น

 

“ชินอ้ายเป่าเป้ย  อะไร…เจ้าให้อะไรบ้างกับเจ้าสารเลวพวกนั้น”  นางจางคิดว่านางถูกอุ้มกลับมาเพียงเพราะซูมู่เกอได้ให้อะไรแลกเปลี่ยนกับนางหวังและคนอื่นๆ

 

ด้วยชามโจ๊กไข่ในมือ  ซูมู่เกอเดินมาหานางด้วยรอยยิ้ม  “อย่าเป็นกังวลเจ้าค่ะ  ท่านยาย ข้าไม่ได้ให้สิ่งใด”

 

“แต่  แต่ พวกนี้มัน…”  อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่า  นางจางรู้สึกละอายใจอย่างยิ่งที่นางเลี้ยงลูกชายของตัวเองให้กลายเป็นคนสารเลวเช่นนี้

 

“ท่านยาย  ท่านต้องมีใครซักคนคอยดูแลท่านหลังจากนี้  แผลจะไม่หายในเวลาอันสั้นแม้ว่ามันจะดูขึ้นมาก  แต่คิดว่าท่านลุงหรือครอบครัวของเขาคอยดูแลท่าน….ยังไงก็ตาม  หลานเพิ่งคิดหาวิธีที่พวกเขาจะไม่ทำร้ายท่านยายได้  ท่านอยากฟังหรือไม่  ท่านยาย?”

 

ซูมู่เกอมองดูลูกชายทั้งสามของนางจางและตัดสินใจได้ว่ายกเว้นคนที่สามที่เป็นเกษตรกรที่ซื่อสัตย์และนิสัยดี  คนอื่นๆ ต่างก็เป็นคนขี้โกงและมีอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความโลภ  ตราบใดที่ใช้ประโยชน์ด้านดีจากสิ่งนี้  พวกเขาสามารถจัดการได้

 

นางจางไม่ตอบสนองนาง  ซูมู่เกออดทนต่อเรื่องนี้ ที่นางจางถูกลูกชายของนางปฏิบัติต่อนางเช่นนี้  นางจางต้องหมดหวังที่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวดของนาง

 

“ท่านยาย  ท่านไม่ได้เห็นหน้าท่านแม่ของข้ามานานหลายปีแล้ว  และนางก็คิดถึงท่านยายมากเช่นกัน  จนกว่าแผลของท่านจะหายดีและท่านรู้สึกดีขึ้น  ท่านสามารถไปที่เมืองเพื่อเยี่ยมข้าและท่านแม่ได้ ถูกต้องไหมเจ้าค่ะ?”

 

การกล่าวถึงนางจ้าวทำให้ใบหน้าของนางจางเปล่งประกายแห่งความสุขและความหวังขึ้นมาทันที

 

“แม่ของเจ้า…ปีนี้นางเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”

 

“มันเป็นเรื่องยางที่จะอธิยายอย่างง่ายๆว่าดีหรือไม่ดีเจ้าค่ะ  แต่ก็เพียงพอแล้วที่นางจะใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าเจ้าค่ะ”

 

นางจางฉลาดและมีประสบการณ์มากพอที่จะชี้ประเด็นของนางได้อย่างรวดเร็วและรู้ว่าซูหลุนแต่งงานกับหญิงอื่นอีกคนที่มาจากครอบครัวของเจ้าหน้าที่รัฐ  ซึ่งชีวิตไม่อาจทัดเทียมกันได้กับหญิงสาวที่มาจากชาวบ้านทั่วไปได้!

 

“ท่านไม่อยากไปเยี่ยมท่านแม่และลูกชายที่เพิ่งถือกำเนิดของนางหรือเจ้าค่ะ?”

 

พวกเขาเป็นลูกสาวที่รักมากที่สุดและเป็นหลายชายของนางที่เพิ่งถือกำเนิดมา  นางจะต้านทานพวกเขาได้อย่างไร?

 

ซูมู่เกอกำลังรอคอยคำตอบของนางและไม่พูดอันใดอีก มันคือสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะปล่อยให้นางจางโน้มน้าวใจตัวเองก่อน

 

ทั้งสองอยู่ในความเงียบในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

 

“ได้  ยายจะเชื่อฟังเจ้า!”  โดยไม่ต้องใช้เวลาร่วมกันมากนัก  นางจางยังสามารถบอกได้ว่ามีความแตกต่างอย่างมากระหว่างลูกสาวและหลานสาวของนาง  บุคลิกของพวกเขาช่างแตกต่างกันมาก

 

ซูมู่เกอตอบนางด้วยรอยยิ้มจริงใจ  “ใช่เลยเจ้าค่ะ”  นางเอื้อมมือไปป้องที่หูนางจาง  แล้วกระซิบอะไรบางอย่าง

 

นางจางฟังอย่างเงียบๆ  แม้จะมีความขมขื่อนอยู่ในดวงตา  แต่จิตใจของนางกลับแข็งแกร่งขึ้น

 

ซูมู่เกอดูแลนางจางอยู่เคียงข้างนางเป็นเวลาสามวัน และยังจะอยู่ต่ออีกซักสองสามวัน  เนื่องจากจำเป็นต้องดูแลแผลที่เย็บไว้และตัดด้ายออกก่อน  ตามที่คิดนางอยากกลับไปก่อนหน้านี้แล้ว

 

“ลูกพี่ลูกน้อง  นี่  นี่สำหรับเจ้า”

 

จ้าวชุนวางห่อกระดาษเคลือบมันไว้ในอ้อมแขนของซูมู่เกอและรีบวิ่งหนีไป ก่อนที่นางจะทันได้ตอบอันใด  จากนั้นนางก็ไปเก็บยาในลานที่ตากไว้

 

เมื่อมองเห็นจ้าวเอ้อหรัง  น้องชายของจ้าวชุน  เดินผ่านไป  นางให้ห่อกระดาษนั้นกับเขาโดยที่ยังไม่ดูมันด้วยซ้ำ

 

“มันมาจากพี่ชายของท่าน”  จากนั้นนางก็หันหลังจากไปและเดินเข้าไปในห้อง

 

ค่อนข้างเรียบง่ายและซื่อตรง  จ้าวเอ้อหรังเปิดห่อกระดาษเคลือบมันออกและพบว่ามันเป็นขาหมูตุ๋นสีน้ำตาลอยู่ในนั้น  เขาเริ่มกินอย่างเพลิดเพลินโดยไม่ต้องคิดอันใด

 

จ้าวเอ้อหรังวิ่งกลับไปที่ห้องของเขาซึ่งนางหวังกำลังนั่งทานผลไม้อย่างเพลิดเพลนอยู่

 

“ท่านแม่  ทำไมลูกพี่ลูกน้องของข้าถึงไม่ล้างหน้าให้สะอาด?”  เขาไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของซูมู่เกอ

 

“ทำไมเจ้าต้องกังวลกับเรื่องนี้ลูกชายแม่?  เมื่อนางกลายเป็นภรรยาของเจ้าเมื่อใด  เจ้าสามารถมองหน้านางได้ตลอดเวลาที่เจ้าต้องการ”

 

จ้าวเอ้อหรังหัวเราะอย่างพอใจกับคำพูดของแม่เขา  “ถ้าอย่างนั้น  เมื่อไหร่นางถึงจะได้เป็นภรรยาของข้า?”

 

“เจ้าเร่งรีบอันใดลูกชายข้า? นางไม่หนีหายไปไหนหรอ!”

 

อันที่จริง  นางหวังเป็นกังวลอยู่บ้างในเรื่องนี้และนั่นคือสาเหตุที่นางยอมคุมขังตัวเองอยู่ในห้องนี้  ในทุกวันนี้นางอยากรู้มากว่าซูมู่เกอได้นำสิ่งของอะไรมาบ้าง  และวางแผนที่จะได้ครอบครองมันก่อนใครอื่น  นางไม่ยอมให้สิ่งของของลูกสะใภ้ในอนาคตของนางเล็ดลอดไปที่ผู้ใดในอีกสองครอบครัวนั้นได้เด็ดขาด

 

นี่ก็เข้าคืนที่ห้าแล้ว  ครอบครัวจ้าวไม่สามารถรอได้อีกต่อไปเนื่องจากซูมู่เกอยังไม่ได้นำสิ่งของที่ควรจะมีมาแสดง

 

จ้าวหมิงสบโอกาสและพูดขึ้นกลางโต๊ะทานข้าว

 

“นี่หลานสาว  เจ้าเก็บสิ่งของที่นำมาให้เราไว้ที่ไหน?  ข้าสามารถช่วยเจ้าได้นะ  ข้าสามารถนำเกวียนลากไปเอาสิ่งของทั้งหมดมาที่นี่ได้  ช่วยคนของเจ้าไม่ต้องมาที่นี่”

 

ซูมู่เกอวางตะเกียบลง  ยิ้มให้คนอื่นๆ และพูดว่า  “ขอบคุณในความมีน้ำใจของท่านลุง  ปล่อยให้ข้าได้จัดการมันด้วยตัวเองเถิด  ข้าจะกลับไปวันมะรืนนี้แล้ว  และบอกพวกเขาให้นำสิ่งของทั้งหมดมาที่นี่”

 

“เยี่ยมมาก!  ไม่  ข้าหมายความว่า ทำไมเจ้าถึงได้กลับเร็วนัก?  ทำไมไม่อยู่กับเราอีกสักสองสามวัน…”

 

“ท่านแม่ของข้าเพิ่มให้กำเนิดน้องชายของข้า  ไม่มีใครดูแลนางที่บ้าน  และข้าก็เป็นกังวลเกี่ยวกับพวกเขา”

 

จ้าวต้าหรางเริ่มใจเสียและวิตก  ใครจะเป็นภรรยาของเขาถ้าซูมู่เกอกลับไป!

 

ซูมู่เกอเพิกเฉยต่อแผนการของพวกเขาและตรงกลับไปที่ห้องของนางจางหลังอาหารค่ำเสร็จสิ้นแล้ว

 

หลังจากไม่กี่วันที่ได้รับการปฐมพยาบาลและดูแลอย่างดีจากหลานสาว  นางจางค่อยๆฟื้นฟูร่างกายของนางและกลับมามีพลังมากขึ้น สุขภาพค่อยๆดีขึ้น

 

“ท่านยายเจ้าค่ะ  พรุ่งนี้ทำแผลให้ท่านเสร็จแล้ว วันรุ่งขึ้นหลานจะเดินทางกลับนะเจ้าค่ะ”

 

นางจางมองไปที่ซูมู่เกอที่จับมือของนางอยู่  “ขอบใจเจ้ามาก ชินอ้ายเป่าเป้ย  ยายเป็นภาระความลำบากของเจ้า”

 

“อย่าพูดเยี่ยงนั้นเลยเจ้าค่ะ ท่านยาย  เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”

 

ดวงตานางจากเต็มไปด้วยความสุข  “เจ้าช่างเป็นเด็กที่จิตใจดีจริงๆ”

 

บรรยากาศอันอบอุ่นและสบายใจที่นี่  ช่างตรงกันข้ามกับอีกห้อง  คนในห้องนั้นต่างพากันกระสับกระส่าย

 

“ท่านพ่อ  ท่านแม่  พวกท่านได้ยินรึไม่!  ลูกพี่ลูกน้องของข้ากำลังจะกลับบ้านแล้ว!”

 

นางหวังจ้องไปที่จ้าวต้าหราง  ที่เดินกลับไปกลับมาไม่ยอมหยุดหลังจากมื้ออาหารค่ำมา  แล้วหันหน้าไปทางจ้าวเต๋อ

 

“ซินอ้าย  ลูกชายของเราเจ้าพูดถูก  นางกำลังจะกลับไป  และเราจะปล่อยให้นางจากไปเช่นนี้ไม่ได้”  นางไม่ได้เป็นใบ้หูหนวก   นางจะเอาซูมู่เกอมาเป็นลูกสะใภ้ของนางได้อย่างไรเมื่อนางจากไป!

 

จ้าวเต๋อยังคงเงียบอยู่บนเก้าอี้ของเขา  นางหวังและจ้าวต้าหรางมองเขาด้วยสายตาที่กระตือรือล้นต้องการคำตอบ

 

จ้าวเต๋อเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสนและอย่างมีแผนการ  เขาลดเสียงของเขาเบาลง  “สิ่งที่ทำไปแล้วไม่สามารถยกเลิกได้  มาทำให้นางแต่งงานกับต้าหรางเถอะ!  แล้วตระกูลซูก็จะปฏิเสธไม่ได้!”

 

“เยี่ยมมาก!  เมื่อนางกลายเป็นภรรยาของต้าหรางทางร่างกายแล้ว  ตระกูลซูจะต้องยอมประนีประนอมรา!”

 

ใบหน้าของจ้าวต้าหรางแดงไปทั่วเมื่อสนทนากับพ่อแม่ของเขาถึงเรื่องสามีภรรยานี้  และเขาก็ฮัมเพลงไม่พูดไม่จาอีก

 

“ชิงชิงเจ้าค่ะ  เราจะทำอย่างไรกันดี?”

 

“มานี่มา   พวกเจ้าสองคน  ฟังคำของข้าแล้วทำตามที่ข้าบอก”

 

สามคนหัวรวมเข้าหากันมีเพียงเสียงกระซิบกระซาบ  พึมพำเท่านั้น

……………………

 

เช้าวันรุ่งขึ้น  ซูมู่เกอจัดการดูแลแผลให้นางจางเรียบร้อย ทายาที่แผลอีกครั้ง  เมื่อแผลสมานกันดี  นางจางก็จะมีสุขภาพดีเหมือนเดิม

 

“ท่านยาย  ท่านลองเดินบนพื้นดูนะเจ้าค่ะในอีกเจ็ดวันข้างหน้านี้  มันจะดีต่อการฟื้นตัวของท่าน”

 

“ได้ ได้  โชคดีแค่ไหนที่ข้ามีหลานสาวเยี่ยงเจ้า!  ไม่อย่างนั้น….”  ความรู้สึกทุกๆอย่างกำลังรวมกันที่หัวใจของนาง  นางจะคาดหวังได้อย่างไรว่านั่นคือหลานสาวของนางที่มาจากเมืองชุนหยาง  มาและช่วยชีวิตนางไว้!

 

“ซินอ้ายท่านยาย  ได้โปรด  อย่าพูดราวกับว่าข้าเป็นคนนอก!  สิ่งที่ท่านยายต้องทำอย่างเร่งด่วนที่สุดตอนนี้คือการดูแลตัวเองและฟื้นตัวให้ได้โดยไวเจ้าค่ะ!”

 

“ใช่  แน่นอนเจ้าพูดถูก”

 

นางป้อนอาหารนางจางแล้วตามด้วยยาและกำลังจะไปพบหมอเท้าเปล่าอีกครั้งเพื่อหายามาเพิ่มสำหรับการบำบัดของนางจางในส่วนที่เหลือ

 

เมื่อนางก้าวเท้าออกจากห้อง  บางสิ่งที่ใหญ่  ผ้าซาตินสีแดงแปลกๆ ปิดที่ตาของนาง  มันถูกแขวนห้อยในห้องรับรองหลักของบ้านและอีกสองสามห้อง รวมถึงห้องนั่งเล่นด้วย

…………………………………………

 

“พี่สาว  ท่านกำลังเตรียมงานแต่งงานกับต้าหรางหรือไม่?  ข้าไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำว่าเขาหมั้นกับผู้หญิงคนไหน”  นางซัน ป้ารอง เริ่มล้อเลียนเล่นกับแพรแดงที่บานประตู

 

“พรึด!”  นางหวังพ่นเปลือกเมล็ดแตงโมในปากของนางไปที่นางซัน  “มีอะไรอีกมากมายที่เจ้าไม่รู้!”

 

นางหันหลังกลับและเห็นซูมู่เกอ  ที่กำลังจะออกไปจากลานหน้าบ้าน  นางหวังรู้สึกไม่พอใจกับผู้หญิงคนนี้  เริ่มจินตนาการว่านางเป็นลูกสะใภ้ของนาง  “นี่หลานสาว  เจ้าจะไปหาหมออีกแล้วรึ?  เจ้าไม่ต้องซื้อยากลับมามากมายให้สิ้นเปลืองนะ  ท่านยายของเจ้ามีสุขภาพสมบูรณ์….”

 

ซูมู่เกอรีบเดินออกจากลานหน้าบ้านไปโดยไม่หันไปมองทางนางหวังเลย  แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของนาง

 

“นี่  ข้ายังพูดไม่จบ!  เจ้าช่างหยาบคายนัก!”  นางหวังถุยน้ำลายสองครั้งด้วยความหงุดหงิด

 

นางซันหัวเราะชอบอกชอบใจให้กับการถากถางในเหตุการณ์นี้อย่างมาก  “ดี เยี่ยมมาก! พี่สาว  ท่านเห็นตัวท่านเองหรือไม่?  นั่นมันเป็นวิธีการของแม่สามีที่สั่งสอนลูกสะใภ้!”

 

แต่ไม่ใช่ตามปกติ  นางหวังไม่ได้โต้กลับนางซันในครั้งนี้  นางซันไม่สังเกตเห็นความแตกต่างที่นั่นและนางก็ไม่อยากตื้อ  นางจากไปด้วยตัวเองเพื่อมองหาการพูดคุยอื่นที่น่าสนใจ

 

เมื่อมาถึงสถานที่ของหมอเท้าเปล่า  ซูมู่เกอได้รับแจ้งว่าหมอออกไปหาสมุนไพรที่ภูเขา  และจะไม่กลับมาในอีกสองหรือสามวันนี้

 

นางรอได้ไม่นานขนาดนั้น  และใครจะรู้ว่านางอันจะเตรียมกลอุบายแบบไหนให้นาง

 

มีทางเดียว  นางจะต้องเข้าเมืองเพื่อไปรับยา

 

ก่อนที่นางจะเข้าประตูไปที่ลานบ้าน  จ้าวต้าหรางออกมาพร้อมกับรถลากเทียมวัว

 

“ลู….ลูกพี่ลูกน้อง”

 

ซูมู่เกอไม่เคยชอบจ้าวต้าหราง  เพราะมีความปรารถนาและตัณหาแฝงอยู่ในรูปลักษณ์ของเขาที่แสดงออกมา

 

“ลูกพี่ลูกน้อง”  ซูมู่เกอเดินเข้าไปในลานบ้านหลังจากส่งคำทักทายอย่างไร้อารมณ์ไปให้

 

“ลูกพี่ลูกน้อง  ข้ากำลังจะไปซื้อของในเมือง  เจ้ามีอันใดต้องการจะซื้อหรือไม่?”

 

หยุดชะงักชั่วขณะ  ซูมู่เกอหันหน้าไปมองเขา  “เจ้ากำลังจะไปในเมืองเช่นนั้นหรือ?”

 

จ้าวต้าหรางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม  ขณะที่เขารู้สึกยินดีที่ซูมู่เกอมองมาที่เขา  “ได้ ได้สิ”

 

ริมฝีปากระชับ  ซูมู่เกอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเร็วๆนี้  นางได้ยินเกี่ยวกับหมู่บ้านนี้มามากและรู้ว่าตระกูลจ้าวค่อนข้างมีฐานะดีในหมู่บ้านแห่งนี้  ทั้งหมดมันมาจากเงินมูลค่าสิบหลียงที่แม่ของนางส่งมาทุกปี

 

ยกเว้นหัวหน้าหมู่บ้าน  ตระกูลจ้าวเป็นเพียงครอบครัวเดียวที่เป็นเจ้าของวัว  เวลาผ่านไปสำหรับเครื่องมือการขนส่งอื่นๆ  หากไม่มีรถลากเทียมวัวของจ้าวต้าหราง  คงไม่มีทางอื่นนอกจากการเดิน  แต่การไป-กลับแบบนั้น  ทำให้นางเสียเวลาไปจนดึกดื่นค่อนคืน

 

“ข้าต้องหาซื้อตัวยาบางอย่างในเมือง  ข้าจะไปกับเจ้า”

 

เมื่อได้ยินเช่นั้น  รอยยิ้มแปลก ๆ ประดับบนใบหน้าของจ้าวต้าหราง เกือบจะทรยศเขา แต่ซูมู่เกอก็พลาดการแสดงออกดังกล่าวในขณะที่นางกำลังกลับไปหยิบของในห้อง

………………………………………….

 

‘ซินอ้าย’ คำนี้สามารถใช้เรียกคนที่เรารักได้ทั้งหมด ไม่จำกัดเฉพาะแฟนหรือคนรัก มีความหมายตรงกับคำว่า ‘Dear’

** เป่าเป้ย’ คำนี้คล้ายกับคำว่า ‘Baby’ ความหมายตรงตัวก็คือ สิ่งของที่มีค่า  ใช้เรียกคนที่เรารัก

** ชิงชิง  ใช้เรียกระหว่างสามีภรรยาหรือคนสนิท มีความหมายว่า ‘ที่รัก’ ถ้าใช้คำนี้เรียกอีกคนถือเป็นการแสดงความรักวิธีหนึ่ง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด