กำเนิดใหม่สาวนักเรียนเซียนธุรกิจ – ตอนที่ 107 – 108: ขี้ขลาด?, ความแค้นระหว่างโจวเจิ้งหงและเชาผิง

อ่านนิยายจีนเรื่อง กำเนิดใหม่สาวนักเรียนเซียนธุรกิจ Reincarnation Of The Businesswoman At School ตอนที่ 107-108 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 107: ขี้ขลาด?

 

กู้หนิงกับเพื่อนไม่ได้อยู่ที่บาร์นานนัก กิจกรรมของพวกเขาจบลงตอนห้าทุ่ม อย่างไรก็ตามห้าทุ่มถือว่าเป็นเวลาของนักท่องราตรี ดังนั้นฉู่เพ่ยหานจึงเสนอให้ไปหาของกินยามดึก เธอรู้ที่ขายปลาย่างอร่อยๆ

 

กู้หนิงชื่มชมความสามารถในการดื่มเหล้าที่โดดเด่นของฉู่เพ่ยหานอย่างมาก เธอยังคงยืนอย่างมั่นคงหลังจากดื่มหนักไปหลายแก้ว เธอรู้สึกแค่มึนๆตึงๆนิดหน่อยแต่สติยังแจ่มชัด

 

ห้าทุ่มยังไม่ดึกมากและไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะได้รวมกลุ่มกันแบบนี้ ดังนั้นทุกคนจึงตอบตกลง พวกเขาพากันนั่งแท็กซี่ไปกินปลาย่างซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบาร์ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็มาถึง

 

พวกเขาไม่รู้ว่าปลาย่างจะอร่อยสมคำอวดอ้างของฉู่เพ่ยหานหรือไม่ แต่การกินปลาย่างเป็นมื้อดึกเป็นที่นิยมอย่างมาก

 

เมื่อพวกเขามาถึง ก็มีคนอยู่เต็มร้านจนแน่นขนัดทั้งข้างนอกและข้างใน มีร้านอื่นอยู่รอบๆบริเวณนี้แต่ไม่มีร้านไหนจะคึกคักเท่าร้านนี้

 

ระหว่างทางที่มา ฉู่เพ่ยหานได้โทรมาจองโต๊ะไว้แล้ว โชคดีที่พวกเขาจองโต๊ะได้พอดี

 

โต๊ะของพวกเขาอยู่ด้านนอกใกล้กับประตูทางออก ครึ่งชั่วโมงต่อมา ปลาย่างก็ถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ เหมือนกับที่ฉู่เพ่ยหานบอก ปลาย่างนี้กลิ่นหอมมาก

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังกินมื้อดึก ทุกคนยกเว้นกู้หนิงและหยูหมิงซีที่ดื่มแต่น้ำเปล่า กู้หนิงไม่อยากขัดจังหวะพวกเขาในการดื่มเหล้า ตราบใดที่พวกเขายังมีสติแจ่มชัด

 

“หนิงหนิง เธอไปห้องน้ำเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ?” หยูหมิงซีเอ่ยขอร้องกู้หนิง

 

“ได้สิ” กู้หนิงตอบ เธอลุกขึ้นและเดินไปห้องน้ำพร้อมกับหยูหมิงซี

 

พื้นค่อนข้างลื่น หยูหมิงซีจึงเดินพลาดล้มใส่ผู้ชายคนหนึ่ง แก้วในมือของเขาหล่นแตกลงบนพื้น

 

“ขอโทษค่ะ ฉันขอโทษจริงๆค่ะ” หยูหมิงซีรีบเอ่ยขอโทษทันที แต่ผู้ชายคนนั้นดูไม่พอใจ เขาสบถใส่หยูหมิงซีเสียงดัง

 

“ไม่มีตารึไงวะ?!”

 

เสียงของเขาเรียกความสนใจจากคนที่กำลังนั่งอยู่ในร้าน

 

วินาทีถัดมาเขาก็สังเกตเห็นว่าหยูหมิงซีและกู้หนิงเป็นคนสวย เขาจึงเปลี่ยนท่าทีเขาใหม่ แสดงอาการก้อร่อก้อติกเด็กสาวทั้งสอง

 

“เฮ้ คนสวย มาดื่มกับพวกพี่ไหม แล้วพี่จะยกโทษให้”

 

“มาเถอะ!” ผู้ชายที่อยู่โต๊ะเดียวกันกับเขาส่งเสียงเรียก

 

“พวกเราไม่ดื่ม แต่เลี้ยงเหล้าพวกนายได้ เอาแบบนี้ดีไหม?” กู้หนิงไม่อยากมีเรื่องและใช้เงินเข้าช่วยแก้ปัญหา

 

“โว้ว! สวยแล้วยังใจดี! เหล้าพวกพี่มีแล้ว อยากได้สาวมากกว่า” เขาปฏิเสธ

 

“ใช่ๆ เหล้าไม่ใช่ปัญหา พวกเราจ่ายได้ พวกเราอยากให้เธอสองคนมาดื่มด้วยกัน” ชายอีกคนพูดขึ้น

 

“ถ้าบอกว่าไม่ล่ะ?” กู้หนิงพูดเสียงเรียบ เธอดูไม่กลัวหรือประหม่าเลยสักนิด

 

ผู้ชายที่ถูกหยูหมิงซีชน หัวเสียขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน เขาแค่นยิ้มและพูดจาข่มขู่ว่า “ไม่งั้นเหรอ? ตอนนี้ไม่ใช่พวกเธอที่เป็นคนตัดสินใจ เธอคิดว่าจะสู้พวกเราได้งั้นเหรอ?”

 

กู้หนิงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว แม้ว่าหยูหมิงซีจะล้มใส่เขาก่อน แต่เธอก็ไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนี้เธอยังกล่าวคำขอโทษไปแล้ว คนดีมีการศึกษาก็คงให้อภัยไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ชายกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น

 

ถ้าเป็นแบบนี้ กู้หนิงก็ไม่อยากเสียเวลากับพวกเขา

 

“ก็ได้ แต่ฉันไม่อยากดื่มข้างในนี้ หายใจไม่สะดวก ทำไมพวกเราไม่ออกไปข้างนอกและดื่มที่โต๊ะของฉันแทนล่ะ?” กู้หนิงกล่าว

 

“ไม่มีปัญหา ไปกันเถอะ!” พวกเขาไม่รู้ว่ากู้หนิงกำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้ พวกเขาไม่คิดว่าเด็กสาวจะทำอะไรพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเองก็รู้สึกหงุดหงิดกับคำท้าของกู้หนิง

 

“จ่ายเงินโต๊ะพวกนายก่อนค่อยออกไป” กู้หนิงเอ่ย เธอไม่อยากจ่ายเงินให้พวกเขาถ้าหากพวกเขาวิ่งหนีไปภายหลัง

 

“ได้สิ” จากนั้นเขาก็จ่ายเงินทันทีและเดินตามกู้หนิงออกไปข้างนอก

 

แม้ว่าหยูหมิงซีจะหวาดกลัวแต่เธอไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าพวกผู้ชายกลุ่มนี้จะสามารถสู้กับกู้หนิงเดี่ยวๆได้หรือไม่ก็ตาม แต่ยังมีฉู่เพ่ยหานและเด็กหนุ่มที่ยังอยู่ข้างนอก ผู้ชายกลุ่มนี้ต้องได้รับบทเรียนอย่างแน่นอน

 

ฉู่เพ่ยหานและเด็กหนุ่มเห็นกู้หนิงและหยูหมิงซีกำลังเดินมาพร้อมกับผู้ชายแปลกหน้าหลายคน พวกเขาทำหน้าสงสัย เพื่อนของกู้หนิงเหรอ?

 

กลุ่มชายแปลกหน้ารู้สึกประหม่าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่หลายคนนอกจากเด็กสาวสองคนนี้

 

“บอส เพื่อนเธอเหรอ?” ฮ่าวหรันถาม

 

“เปล่า หมิงซีล้มใส่ผู้ชายคนนี้โดยบังเอิญน่ะ เขาต้องการให้พวกเราดื่มกับเขา พวกเราปฏิเสธและเสนอเลี้ยงเหล้าพวกเขาแทน แต่พวกเขาไม่อยากได้ ถ้าพวกเราไม่ดื่มกับเขา เขาจะไม่ปล่อยพวกเราไป ดังนั้นฉันเลยตกลง” กู้หนิงอธิบายเสียงเรียบ แต่คำพูดของเธอไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของชายแปลกหน้า

 

ได้ยินแบบนั้นเพื่อนๆ ของกู้หนิงก็ไม่พอใจขึ้นมา

 

“ในเมื่อพวกเขาอยากจะดื่ม พวกเราก็จะดื่มเป็นเพื่อน!” ประโยคที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย

 

กลุ่มชายหน้าใหม่ไม่ใช่คนโง่ พวกเขารู้แล้วว่าพวกเขาเลือกผิด หนึ่งในพวกเขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเครียดๆ

 

“ไม่จำเป็นหรอก ไม่ ไม่ พวกเราดื่มเยอะแล้ว”

 

จากนั้นพวกเขาก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

 

กู้หนิงไม่ได้รั้งพวกเขาไว้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่แล้ว ถ้าหากไม่สามารถตกลงได้ด้วยดี เธอถึงจะจัดการพวกเขาเอง

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไอ้พวกขี้ขลาด!” ฮ่าวหรันสบถ

 

“พวกมันฉลาดพอที่จะไม่สู่กับพวกเราต่างหาก” ฉินซีหุนเอ่ยขึ้น

 

“หนิงหนิงเป็นคนดี ถ้าเป็นฉันนะ ฉันคงต่อยพวกมันไปหลายหมัด!” ฉู่เพ่ยหานกล่าวขึ้นบ้าง เธอชูกำปั้นของเธอขึ้นมาทำท่าเหมือนกำลังต่อยใครสักคน

 

“ฉันคิดว่าหนิงหนิงฉลาดที่พาพวกมันออกมา และทำให้พวกมันกลัวหัวหดจนหนีไปเอง พวกเธอเป็นแค่เด็กสาวสองคน ถ้าหากถูกพวกมันรังแกเข้าล่ะ?” ฉินอี้ฟานที่ยังตระหนกกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่

 

“ฮ่า ฮ่า” ทุกคนต่างพร้อมใจพากันหัวเราะเสียงดัง ฮ่าวหรันจึงพูดขึ้นว่า

 

“เป็นไปไม่ได้! บอสของพวกเราเอาสามารถชนะซีหุน จางเทียนปิงและผม ได้ง่ายๆ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่บอสของเราจะเอาชนะพวกมัน!”

 

“ใช่ บอสของพวกเราไม่ต้องการมีเรื่อง เธอเลยเลือกที่จะทำให้พวกเขากลัวแล้วหนีไปเอง ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงถูกเธออัดจนน่วม” ฉินซีหุนกล่าวเสริม

 

อะไรนะ? กู้หนิงสามารถเอาชนะฮ่าวหรันและเด็กหนุ่มคนอื่นๆได้ง่ายๆ? ฉินอี้ฟานเบิกตากว้าง เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เลยถามออกไปว่า

 

“จริงหรือ? ที่ว่ากู้หนิงสามารถล้มพวกนายได้?”

 

“ใช่ นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเป็นบอสของพวกเรา!” จางเทียนปิงเป็นคนตอบ

 

ตอนที่ 108: ความแค้นระหว่างโจวเจิ้งหงและเชาผิง

 

เมื่อได้รับคำยืนยัน ฉินอี้ฟานก็สูดหายใจเข้าลึกๆและค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา เขามองไปที่กู้หนิงด้วยความทึ่งแกมชื่นชม

 

“ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะเก่งขนาดนี้!”

 

เขารู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของฮ่าวหรันและเด็กหนุ่มอีกสองคน พวกเขาแต่ละคนสามารถสู้กับผู้ชายห้าคนได้ แต่กู้หนิงคนเดียวสามารถสู้พวกเขาทั้งสามคนได้สบายๆ

 

ถึงแม้กู้หนิงจะแข็งแรง และเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครสามารถรังแกเธอได้ แต่ฉินอี้ฟานกลับรู้สึกขมปร่าในใจ ตอนนี้เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะปกป้องเธอได้

 

กู้หนิงได้แต่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร พวกเขาจึงพากันกินและดื่มต่อหลังจากนั้น

 

เมื่อพวกเขาแยกย้ายกันกลับบ้าน ก็เป็นเวลาตีหนึ่ง ฉู่เพ่ยหานไม่อยากกลับบ้าน เธออยากจะนอนโรงแรมกับสาวๆเพื่อพูดคุยกันต่อ

 

กู้หนิงคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ตอบตกลง เธอเอาของใช้จำเป็นเก็บไว้ในพื้นที่กระแสจิตของเธอก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนหยูหมิงซีก็บอกครอบครัวว่าเธอปลอดภัยดีและไม่เป็นอะไรที่จะนอนค้างข้างนอก

 

ฉินอี้ฟานที่ตั้งใจจะไปส่งกู้หนิงกลับบ้าน แต่เด็กสาวไม่กลับบ้านคืนนี้ ดังนั้นเขาจึงขับรถไปส่งสามสาวที่โรงแรม ส่วนฮ่าวหรันและเด็กหนุ่มคนอื่นยังสมองแจ่มใสหลังจากดื่มอย่างหนัก พวกเขาจึงพากันกลับบ้าน

 

วันต่อมากู้หนิงตื่นหกโมงครึ่ง เธอต้องรีบไปขึ้นเครื่องให้ทันแปดโมงครึ่ง หยูหมิงซีก็ตื่นหลังจากกู้หนิงไม่กี่นาที เธอต้องกลับบ้านไปช่วยพ่อของเธอ ส่วนฉู่เพ่ยหานให้พวกเธอกลับไปก่อนเพราะหล่อนยังนอนไม่พอ ดังนั้นกู้หนิงและหยูหมิงซีจึงพากันออกจากโรงแรมแต่เช้า

 

ระหว่างทางไปสนามบิน กู้หนิงโทรหาโจวเจิ้งหงและบอกเวลาเครื่องลง

 

ราวๆหกโมงสี่สิบ หยูหยิงซีก็มาถึงบ้าน ครอบครัวของเธอตั้งแผงลอยขายอาหารเช้า ตอนนี้มีคนทยอยเข้ามาต่อแถวซื้ออาหารเช้า พ่อของเธอกำลังยุ่ง ยูหมิงซีจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยพ่อของเธอทันที

 

พ่อของหยูหมิงซีเพิ่งจะอายุสี่สิบ แต่เขาทำงานที่ต้องใช้แรงงานมาหลายปี เขาจึงดูเหมือนคนแก่อายุห้าสิบ

 

“ซีซี ทำไมกลับมาเช้าจัง?” พ่อของเธอเอ่ยถาม

 

พ่อของหยูหมิงซีมีความหวังว่าลูกสาวของเขาจะมีเพื่อนและออกเที่ยวเล่นบ้างเป็นบางครั้ง เขาไม่ต้องการเห็นลูกสาวเอาแต่เรียนและช่วยเขาทั้งวัน ถ้าไม่มีคอนเนคชั่นที่ดี อนาคตของเธอก็คงไปได้ไม่ไกลมากจากตอนนี้

 

กู้หนิงมาถึงสนามบินเมือง G เก้าโมงสี่สิบ โจวเจิ้งหงได้รอเธออยู่ทางออกแล้ว

 

เมื่อเห็นกู้หนิง แววตาของโจวเจิ้งหงก็พลันสว่างสดใส ราวกับว่าเขาเห็นทองคำ ในสายตาโจวเจิ้งหง กู้หนิงเปรียบเสมือนทองคำ ไม่สิ เธอมีค่ายิ่งกว่าทองเสียอีก

 

กู้หนิงนำเงินมาให้เขามากมายมหาศาล เธอเป็นคนเดียวที่เห็นพรสวรรค์ของเขา กู้หนิงช่วยเขาจากความสิ้นหวัง และช่วยให้เขามีชีวิตที่มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เขาเคารพเธอจากก้นบึ้งของหัวใจ

 

โจวเจิ้งหงตรงเข้ามาหากู้หนิงแทบจะทันที และต้อนรับเธออย่างอบอุ่น “บอส ดีใจที่ได้พบอีกครั้งครับ”

 

“สวัสดีค่ะ ลุงโจว ยินดีที่ได้เจอลุงอีกครั้งค่ะ! หวังว่าลุงคงไม่รอฉันนานเกินไปนะคะ”

 

“ไม่ๆ ผมเพิ่งมาถึงได้สิบนาทีเอง” โจงเจิ้งหงกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ความจริงแล้วเขามารอเธอเป็นชั่วโมงแล้วต่างหาก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

 

กู้หนิงรู้ว่าเขาโกหก เธอไม่ต้องการทำร้ายความรู้ของเขาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงเลือกไม่พูดอะไรออกมา และตามเขาไปยังลานจอดรถ

 

โจวเจิ้งหงซื้อรถยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นรุ่นเดียวกับรถเจียงซู่ มันมีราคาห้าแสนหยวน คนสูงอายุชอบรถยี่ห้อนี่กันมาก

 

กู้หนิงให้เงินเขาไปหนึ่งล้านหยวน โจวเจิ้งหงไม่ได้ใช้เงินมากไปกับรถ เขาซื้อรถราคาแค่ห้าแสนหยวน อย่างไรก็ตามราคาขนาดนี้ก็ไม่ใช่น้อยๆ คนรวยหลายคนที่มีทรัพย์สินหลายร้อยล้านหยวน ก็ใช้รถราคานี้กันซะส่วนใหญ่

 

เมื่อพวกเธอขับรถออกจากสนามบิน โจวเจิ้งหงก็รายงานกู้หนิงว่า “บอส ผมได้ไปที่ถนนพนันหิน มีหลายร้านผ่าหินเอาหยกออกมาได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ยอดขายของพวกเขาดีมากในช่วงนี้ โดยเฉพาะร้านที่เราเคยไป ดังนั้นร้านค้าทั้งหมดได้รับหินชุดใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อน

 

“ดีมากค่ะ งั้นพวกเราไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตก่อนละกัน ฉันอยากจะเปลี่ยนชุด จากนั้นไปกินข้าวแล้วค่อยไปตลาดขายของเก่า” กู้หนิงกล่าว

 

“ได้ครับ” โจวเจิ้งหงตอบ จากนั้นเขาก็พูดสำทับขึ้นมาอีกว่า “บอส ร้านของเราทำสัญญาแล้ว และตอนนี้อยู่ระหว่างตกแต่งใหม่ ส่วนโรงงานก็ติดตั้งระบบความปลอดภัยและสัญญาณป้องกันการโจรกรรมเรียบร้อยแล้ว เครื่องมือต่างๆ นักออกแบบและนักแกะสลักก็เรียบร้อยแล้ว

 

พวกเขาจะผลิตเครื่องประดับเป็นจำนวนมาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำด้วยมือทั้งหมดดังนั้นพวกเขาจึงต้องการเครื่องจักร ราคาของเครื่องประดับทำด้วยเครื่องจักรต่ำกว่าราคาของเครื่องประดับที่ทำด้วยมือ

 

กู้หนิงมีแผนจะใช้เครื่องมือแกะสลักหยกระดับกลาง ในขณะที่หยกระดับสูงและระดับท็อปจะแกะสลักด้วยมือ

 

“เยี่ยม ให้นักออกแบบไปเจอกับนักแกะสลักที่โรงงานบ่ายวันนี้ พวกเราจะเริ่มทำงานกันพรุ่งนี้ พวกเราต้องเตรียมสินค้าให้เพียงพอก่อนเปิดร้าน” กู้หนิงกล่าว

 

“ได้ครับ” โจวเจิ้งหงตอบ

 

“โอ้ อีกอย่าง ลุงพอจะบอกเรื่องราวระหว่างลุงกับเชาผิงได้ไหมคะ?” กู้หนิงเอ่ยถาม เธอรู้ว่าเธอกำลังรื้อฟื้นบาดแผลของเขา แต่ถ้าเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็ไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้อย่างถูกวิธี

 

เมื่อได้ยินชื่อเขาผิง โจวเจิ้งหงก็ทำหน้าไม่พอใจและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาพยายามระงับความโกรธที่อยู่ในตัวเขาเอาไว้

 

เขาไม่โทษกู้หนิงที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ในเมื่อเธอถาม เขาก็ไม่อยากจะปิดบัง หลังจากทำให้ตัวเองเย็นลง เขาก็เปิดปากพูดว่า “เชาผิงกับผมโตมาในหมู่บ้านเดียวกัน พวกเรารู้จักกันตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่ได้สนิทกัน เด็กหลายคนในหมู่บ้านเกลียดผมเพราะผมมักได้รับคำชมมากกว่าพวกเขา เชาผิงเกลียดผมที่สุด เขาเป็นคนที่ทำร้ายผมอยู่เสมอๆ จากนั้นผมก็เข้ามหาวิทยาลัย ในขณะที่เขาสอบตก เขาก็ออกไปหางานทำและพวกเราก็ไม่เจอกันอีกสิบปี”

 

“พวกเราเจอกันอีกครั้งเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นบริษัทของผมค่อยๆทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เขาใช้ชีวิตอย่างยากจน เขาเข้ามาขอความช่วยเหลือจากผม ผมตอบตกลงโดยไม่คิด เขาเป็นคนเฉลียวฉลาดไม่ซื่อสัตย์ มีเครื่องประดับหลายชิ้นหายไปจากร้านของผมอยู่บ่อยๆ ผมพบว่าเขาเป็นคนขโมยในท้ายที่สุด ดังนั้นผมจึงให้เขาออก จากนั้นเขาก็ออกจากเมือง G ผมไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหน”

 

“ปีที่แล้วเขากลับมา เขามาหาผมและขอเลี้ยงข้าวผมหนึ่งมื้อ เขากล่าวขอโทษขอโพยกับสิ่งที่เขาเคยทำในอดีต ถึงแม้ผมจะไม่อยากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา แต่พวกเราก็ติดต่อกันอยู่ตลอด ผ่านมาครึ่งปีพวกเราเข้ากันได้ดีมาก แต่ผมก็ยังรักษาระยะห่างจากเขา”

 

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด