เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ [仙墓] – บทที่ 42 เจ้าเมืองเฉินขุย

อ่านนิยายจีนเรื่อง เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ ตอนที่ 42 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

GS บทที่ 42 เจ้าเมืองเฉินขุย

“หนองน้ําปีศาจ” เพียงได้ยินชื่อ อู่หยุนก็ตัวสั่นอย่างหวาดกลัว โชคยังเข้าข้างทําให้เขาไม่หุน หัน รีบข้ามหนองน้ําปีศาจไปตามแรงกระตุ้นภายใน

เขาถูกครอบงําให้รู้สึกประทับใจต่อหนองน้ําปีศาจ ที่มีสีค่อนไปทางเหลืองปนน้ําตาล สีดินผสมโคลน กลิ่นเหม็นเน่าโชยมา

ทั้ง ๆ ที่เห็น เบื้องหน้าผิวน้ําใสแจ๋ว ดูไปก็เหมือนหนองน้ําปกติทั่วไป
หากมิใช่เยี่ยเงิน(ผู้แปลขอเปลี่ยนชื่อจาก ยู่เฉิงเป็นเยี่ยเงิน) คงไม่มีผู้ใดสามารถจะบอกเขาได้ เช่นนี้
ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาตกลงไปในหนองน้ําปีศาจนั้น อย่างมากก็คงกลายร่างเป็นผีดิบ

“เราจะข้ามหนองน้ําได้อย่างไร”

สู่หยุนสีหน้าหมอง หนองน้ํานี้อาจเกิดขึ้นจากซากศพมนุษย์ที่ตายทับถมอยู่เบื้องล่าง

“ใช้โลงศพเก้าโลงของข้า…ให้มันลอยไปบนหนองนาปีศาจ”

เยี่ยเงินลังเล หลังจากนั่งคิด “น้ําในหนองน้ํานี้อาจไม่หนาแน่น แม้แต่ขนนกยังลอยไม่ได้ แต่โลงศพของข้ามีความพิเศษข้าจงคิดว่ามันน่าจะพาเราข้ามไปได้”
“ได้ สมควรลองดูสักครั้ง” เขาเองยังไม่ค่อยมั่นใจ
น้ําในหนองน้ําปีศาจมีสสารหลายชนิดผสมอยู่ ทั้งซากผีดิบและซากเน่าเปื่อยของศพต่า งหมักหมมปนเปจนกลายเป็นพิษประหลาด นี่คือหนองน้ําเดียวซึ่งไม่มีใครแตะต้องมันแล้วจะรอด ไปได้ มีเพียงอสูรกายบางจําพวกที่สามารถดํารงอยู่ในหนองนาปีศาจ อย่างปลาซากศพ แม่มดผี ดิบ และแมลงศพ รวมทั้งพวกเดียวกับมันเท่านั้น
“ถ้าโลงศพจมลง เจ้าจงดึงมันกลับขึ้นมา” เขาสําทับ
เก้าโลงศพของยูเฉิงนั้น จัดตามรูปแบบดั้งเดิมของศาสตร์การเพาะเลี้ยงเก้าภูตผี สิ่งนี้จะ ใช้ยืนยันความมีตัวตนของนาง การปรากฏของโลงทั้งเก้าคล้ายกับการร่ายคาถาประตูสู่ขุมนรก ของลู่หยุน ถึงแม้โลงจะแตกแยกกระจายไป แต่นางจะยังมีตัวตนตราบใดที่โลงศพยังมีอยู่และไม่ เสียหาย

“เอาละ เยี่ยเส้นเตรียมพร้อม

ลู่หยุนยกแขนขวาขึ้นโบกไปทางโลงสีดําสนิท ในขณะที่ร่ายคาถา โลงทั้งหมดค่อย ๆ ลอยเข้า มาและหมุนวนก่อนหยุดนิ่งเสมือนทุ่นลอยน้ํา
“มันได้ผล!” ชายหนุ่มตาลุกวาว
“รู้แล้วน่า ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าเยี่ยเงินช่วยเจ้าได้” เมียวพูดอย่างภูมิใจ เขาเพิ่งละจากการสะกิดฉิงหงเชิง
“ถ้าอย่างนั้นทําไมตอนแรกเจ้าจึงบอกให้ข้าใช้ภาพวาดแห่งความว่างเปล่าเล่า เจ้าควรบอกข้า เกี่ยวกับโลงศพเสียตั้งแต่แรกนะ” คู่หยุนต่อว่าด้วยความขุ่นเคือง
วิญญาณที่ไม่ปรากฏกายได้แต่ยิ้มแหย
“เจ้าอยู่เฉย ๆ ห้ามเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย” ชายหนุ่มหันไปสั่งกับฉิงฮั่น รายนั้นพยักหน้ารับคํา ถึงเขาจะอยากเคลื่อนไหวใจจะขาด แต่ก็ไม่สามารถทําได้อยู่ดี

เมื่อใช้คาถาสะกดร่างหลียวไฉอีกครั้ง เยี่ยเส้นพลันกระโดดขึ้นไปนอนเหยียดยาวบนฝาโลงศพ ต่อมาเป็นลู่หยุน เขากระโดดตามขึ้นไปอยู่บนหลังเจ้าคนอ้วน
ฝาโลงศพนั้นปิดสนิท หากทว่ามันก็ไม่ได้มีพื้นผิวที่ว่างมากนัก หลี่ยวไฉเป็นชายร่าง ใหญ่จึงต้องใช้พื้นที่นั่งเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นลู่หยุนจําต้องขึ้นไปยืนเหยียบอยู่บนหลังของเขา
เยี่ยเส้นย้อนกลับเข้าสิงร่างเดิมและเริ่มดึงโลงศพให้ลอยออกไป โลงเสมือนเรือลําน้อยที่กําลัง พวกเขาลอยไปในหนองน้ําอย่างช้า ๆ
ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดและดวงตาซีดเผือกต่างจ้องมองโลงศพที่ลอยอยู่บนผิวน้ํา พวกมันต่างห วาดกลัวผีเชียนทําให้ไม่กล้าโจมตีพวกเขาทันทีที่ปรากฏตัว แม่มดผีดิบเป็นฝูงตามมาข้างหลังด้วย พวกมันหาได้เกรงกลัวเยี่ยเส้นเหมือนปลาซากศพไม่ หากสิ่งที่มันกลัวคือโลงศพของนางต่างหาก
“มีคนยืนอยู่บนฝั่ง เขาคือใคร อาจจะเป็นนายท่านที่สิบสามก็เป็นได้” ฉิงฮั่นพูดเสียงกระซิบมาจากข้างหลัง
“นั่นไม่ใช่มนุษย์ หลับตาลงเสียและอย่าลืมตาไปมองมันเด็ดขาด” ลู่หยุนเอามือลูบไปปิดเปลี อกตาให้เด็กหนุ่มสูงศักดิ์
“ถ้าเจ้าบอกว่ามันไม่ใช่คน แล้วมันเป็นอะไร” พูดแล้วกลับอึ้งไป ฉิงฮั่นจึงหลับตาลงตามคําสั่ง
“ผีเชียนตนหนึ่งที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต” สายตาของลู่หยุนจับจ้องไปที่เงาสีขาวของร่างที่ อยู่ริมตลิ่งอีกฝั่ง
ผ้าคุลมสีขาวที่ดูเหมือนได้ดูดซับความท้อแท้สิ้นหวังไว้อย่างน่ากลัว เส้นผมลักพัน ด้วยหนังสัตว์สีดําลากยาวจนถึงข้อเท้า ขณะที่มันนิ่งอยู่บนฝั่งและหันหลังให้คนทั้งกลุ่ม ถึงกระนั้น ลู่หยุนก็ยังรู้สึกเหมือนกับมีกริชอาบยาพิษสองด้ามซัดเข้าใส่ร่างเขาเต็มแรง
“ความแค้นเคืองอย่างแสนสาหัส!” ผีตนนี้ไม่เหมือนกับเยี่ยเงิน นางเกรงกลัวข้าเพราะนางยัง มีห่วง ทั้งยึดติดกับความรู้สึกและเหตุผล แต่ผีตนนั้นมีแต่ความอาฆาตพยาบาทมันจึงหาได้เกรงก ลัวข้าไม่ และข้าก็ยังขับไล่มันออกไปไม่ได้!”
แต่ที่แน่ ๆ เจ้าเมืองหนุ่มรู้ดีว่าในกายของตนมีร่างแห่งพญายม ทว่ามันก็เป็นเพียงจิตที่ปราศ จากความเข้มแข็ง ดังนั้นจึงมีแต่ผีเซียนที่รับรู้ได้เท่านั้นถึงยังมีความเกรงกลัวเขา หาใช่ผีที่ความเก ลียดชังบดบังจิตใจจนมืดบอดเช่นนี้ไม่รังสีอํามหิตที่แผ่ซ่านโดยรอบมิอาจทําให้พวกมันหวั่นเกรง เขาไม่
ซึ่งเป็นการสมควรแล้วที่เป็นเช่นนั้น คนเสียสติจะไม่คุกเข่าให้กับพระราชาเช่นคนปกติ ในตอนนี้พลังปราณของผู้ฝึกตนอยู่ในระดับสูง ลู่หยุนอาจจะสยบมารนั่นลงได้ในพลังเดียว แต่ไม่ ใช่จุดที่กําลังยืนอยู่ในตอนนี้ มันไกลเกินไป
โลงศพลอยกระทบตลิ่ง เขากระโดดขึ้นฝั่งโดยลากลิ้งฮั่นมาด้วย พยายามยืนห่างเจ้าผีนั่นให้ มากที่สุด มีเยี่ยเงินในร่างของหลี่ยวไฉตามมาด้านหลัง
“จงชดใช้ให้แก่คน…ของข้า!” เสียงแหบและสากดังมาจากเจ้าผี
ลมแห่งลางร้ายพัดแผ่วนําพาอากาศอัดเข้าเต็มปอดของลู่หยุน เส้นผมสีดําแหวกออกเผย ให้เห็นใบหน้าขาวซีดและดวงตาแดงก่ํา ทอประกายมุ่งร้ายของศัตรูเพียงประการเดียว
“ความโกรธเคืองนั้นช่างน่าประหลาด! มันตายด้วยสาเหตุอะไรกันแน่!” ลู่หยุนเกิดความ สงสัย ด้วยกระแสแห่งความแค้นที่แผ่ซ่านจากมันรุนแรงเสียจนเขายังรู้สึกขนลุกซู่ หากเป็นผีที่หม ดห่วงแล้วย่อมไม่ส่งความรู้สึกที่รุนแรงออกมาเช่นนี้!
ความรู้สึกที่ว่านั้นพุ่งทะยานถึงขีดสุด! เป็นคําอธิบายเดียวที่เขาจะบอกได้ในเวลานี้
เยี่ยเส้นละจากร่างหลี่ยวไฉมายืนเคียงข้างเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองเจ้านายทันที “หลีกทางให้ เรา!” รังสีแรงกล้าแผ่ออกจากตัวของผีสาวส่อความดุร้ายอีกครั้ง บรรยากาศไม่เป็นมิตรครอบคลุ มไปทั่วชายฝั่งส่งผลให้วังเวงอย่างประหลาด แล้วผีสองตนเริ่มต่อสู้น้ํานั่นกันหมายจะฉีกเนื้อของ ฝ่ายตรงข้าม
“แท้จริงแล้ว มันเป็นผีชนิดไหนกันแน่!” สู่ยุ่นกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ
เยี่ยเงินนางเป็นผีที่กําเนิดจากศาสตร์การเพาะเลี้ยงภูตผีเก้าตน จัดว่าเป็นผู้ที่มีความร้ายกาจ และอํานาจมากที่สุดชนิดหนึ่งในโลก พลังอํานาจของภูตผีเหล่าพิษสง
แห่งการทําลายมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล
ทว่าผีอาฆาต
นกล้ายืนหยัดปะทะพลังได้โดยไม่สะดุ้งสะเทือน
“นางคือ…” เมียวคราง “นางคือเจ้าเมืองเขตแดนสธยา เมืองที่เซียนถูกฝังชีพเพื่อเช่นสังเวย ซึ่งรวมทั้งนางเองด้วย ทั้งสหาย ครอบครัว แม้กระทั่งชาวเมืองของนางเช่นนี้ทําไมนางจะไม่ก ลายเป็นผีร้ายเล่า”
“นางเป็นเจ้าเมืองเฉินชุยคนสุดท้ายเช่นนั้นหรือ” สู่หยุนหน้าตาตื่นตกใจ “ข้าไม่แปลกใจเล ยที่นางเคยบอกว่าจะขอไถ่โทษแทนชาวเมืองของข้า ว่าแต่นางมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร นางกลาย คงเป็นจําเป็นที่ต้องถูกฝังไปพร้อมกันสินะ ถ้าอย่างนั้น…ห้องเดียวดาย….นางอยู่ในนั้นหรือ” เขาชักหวั่นไหวไม่แน่ใจ
ห่างออกไปไม่ไกลมีประตูหินอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังประตูแห่งนั้นคือห้องเดียวดาย หากแต่เจ้าเมืองหนุ่งยังข้ามไปไม่ได้ เพราะเยี่ยเงินกับเจ้าปีศาจที่รอการแก้แค้นกําลังปะทะกันอย่า งดุเดือดจนขวางเส้นทางของเขา

“เขาว่ากันว่าเจ้าเมืองเฉินชุยเป็นสตรีที่งดงามดั่งเทพนิยาย เมื่อห้าพันปีก่อนนางเป็นคนตั้งค่ายกลจนขับไล่ราชาแห่งอสูรกายถึงสามสิบหกตนจนพวกมันจมทะเลเหนือได้สําเร็จ ชื่อเสียง ของนางจึงเลื่องลือขจรขจาย ทว่าอนิจจา นางกลับไม่อาจหลีกพ้นยอดเขาสูงที่ถล่มลงในกาลต่อมา” ลู่หยุนประหลาดใจเป็นกําลังเมื่อได้ยินฉิงฮั่นรําพึงถึงเรื่องราวแสนเศร้า “เมื่อนางเป็นถึงเจ้า เมืองเฉินชุย จึงไม่ยากที่จะได้รับการอนุญาตให้ผ่านเข้าสู่ภพภูมิหลังความตาย แต่นางกลับไม่ยอม หายไปไหน
ยังคงวนเวียนและร้องขอคําพิพากษาให้แก่ชาวเมืองของนาง”

“หรือว่านางคือผู้ตั้งค่ายกล นางสามารถเป็นปรมาจารย์ค่ายกลได้หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นตําราค่าย กลโลกานิมิตก็เป็นเรื่องจริง.ตําราอาจจะเป็นของล้ําค่าของนางก็เป็นได้”
“บางที” นิ่งสั่นส่ายหน้า “ของล้ําค่าเช่นตําราค่ายกลโลกานิมิตนั้น ถือว่าเป็นสุดยอดปรารถ นาแห่งเซียนทั้งปวง ผู้ใดในโลกกล้าอ้างตนว่าเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวกันเล่า”
เขาก้มลงมองภาพวาดแห่งความว่างเปล่า สิ่งนี้ก็เช่นกัน ตํานานของล้ําค่ากล่าวว่ามัน เป็นของล้ําค่าของเจ้าเมืองเฉินชุย เพราะเจ้าสิ่งนี้ที่ทําให้เขาเองต้องดั้นด้นมาจนถึงที่นี่
“จงพาข้าไปที่ร่างของเจ้า” พลันสู่หยุนหันไปทางเมียว
“หา” เมียวกะพริบตา มองชายหนุ่มสายตาแสดงความรู้สึกสับสน
“ข้าบอกให้พาข้าไปยังร่างของเจ้า” ลู่หยุนเอ่ยซ้ํา
“ไม่ได้ ที่นั่นมีอันตรายมาก ถ้าไปเจ้าจะต้องตายแน่!” ดวงวิญญาณส่ายหัวดิก

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะฆ่าตัวตายเสีย” ไม่พูดเปล่า เขายกดาบพิฆาตโลกันต์ขึ้นพาดที่ ลําคอของตนเอง “ข้าอยากจะเห็นเหมือนกัน
ถ้าข้าตายมังกรจะฟื้นคืนชีพมาจับเจ้ากินหลังจ ากที่ข้าตายแล้วหรือไม่”
เมียวของเขาอย่างแปลกใจ ไม่แน่ใจว่าจะตอบโต้ต่อคําขู่ของลู่หยุนอย่างไร
“ตกลง ได้สิ เจ้าตามข้ามา แต่เจ้าต้องวางไอ้น่าสะอิดสะเอียนลง ทิ้งมันไว้ที่นี่ละ” สุดท้ายก็ต้องยอมทําตาม
“เขามากับพวกเรา ข้าไม่อาจทิ้งให้เขาตายอยู่ที่นี่” ลู่หยุ่นส่ายหน้าปฏิเสธ

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด