ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 132 ถ้าเกิดเสพติดขึ้นมาจะทำยังไงดี

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 132 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

แม่นมซุยฟังออกว่าเป็นเสียงฝีเท้าของซูเจ๋อ จึงพูดกับเฉินเสียนว่า : “ใต้เท้ากลับมาเพคะ”

เพราะแม่นมซุยกำลังให้นมเด็กน้อยอยู่ จึงไม่สะดวกลุกขึ้นไปเปิดประตู เฉินเสียนจึงต้องลงจากเตียง

เฉินเสียนเดินไปเปิดประตูด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เมื่อเปิดประตูแล้วจึงพูดขึ้นทันทีว่า : “ท่านชักจะใจกล้าไปใหญ่แล้วนะ ปีนลานปีนกำแพงก็ช่างแล้วเถอะ นี่ยังจะกล้ามาเคาะประตูอย่างผ่าเผยไม่เกรงกลัวใคร! ท่านก็กลับไปแล้วแท้ๆ แล้วยังจะกลับมาอีกทำไมกัน?”

เมื่อพูดจบ เฉินเสียนก็เงียบไป

ซูเจ๋อยื่นมือออกมา มอบขลุ่ยไม้ไผ่ให้กับเฉินเสียน มันเป็นขลุ่ยไม้ไผ่อย่างดี ผิวสัมผัสละเอียดอ่อนและประณีตมาก

แววตาของเขาเป็นประกาย มองหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “เกือบลืมมอบสิ่งนี้ให้ท่าน”

เฉินเสียนยื่นมือรับมันมา ที่ขลุ่ยมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้กฤษณาของซูเจ๋อติดมาด้วย เมื่อสัมผัสบนบริเวณผิวของขลุ่ยไม้ไผ่ ก็รู้ได้ทันทีว่าที่จริงเขาจับมันไว้นานมากแล้วต่างหาก บนขลุ่ยถูกแกะสลักด้วยลวดลายดอกไม้ที่งดงามสะดุดตา

“ให้ข้าหรือ?”

ครึ่งหนึ่งของร่างกายซูเจ๋อถูกไฟส่องสว่าง อีกครึ่งหนึ่งอยู่ภายใต้ความมืดนั่น ทั้งสว่างและมืดมน เขาก้มหน้ามองเธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไว้เจอกันคราวหน้า ท่านค่อยบอกข้าว่าชอบมันหรือไม่”

ไม่รอให้เฉินเสียนได้ไล่เขากลับ เพียงแค่หมุนตัวเขาก็หายเข้าไปในความมืดแล้ว

ซูเจ๋อรู้ดี หากเขายังอยู่ที่หน้าประตูของเธอนานกว่านี้อีกหน่อย จะเป็นการไม่เหมาะไม่ควร เวลาที่ควรจะไป เขาก็ไปอย่างเด็ดเดี่ยวและสง่างาม

เพียงพริบตาเดียว เฉินเสียนก็มองไม่เห็นเงาของเขาเสียแล้ว

เธอก้มลงมองขลุ่ยไม้ไผ่ในมือ รู้สึกเหมือนว่าซูเจ๋อได้เคาะประตูห้องของเธอ และขลุ่ยไม้ไผ่นี้ราวกับว่ามันมีปีกบินมาอยู่ในมือของเธอ

แม่นมซุยป้อนเจ้าน่องน้อยอิ่มแล้ว เฉินเสียนจึงให้นางกลับห้องไปพักผ่อน

เฉินเสียนนอนบนเตียงกับเจ้าน่องน้อย เจ้าน่องน้อยหลับอย่างสนิท มีเพียงเธอที่รู้สึกว่านอนไม่หลับเลย

ในมือของเธอยังคงถือขลุ่ยไม้ไผ่นั่น ใต้แสงไฟที่ละเอียดอ่อนและบางเบา เธอจับขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นมาเล่น มีความรู้สึกว่าของสิ่งนี้จับเล่นถนัดมือกว่าลูกดอกที่ซูเจ๋อเก็บมาให้ด้วยซ้ำ

ลูกดอกที่วางอยู่ข้างเตียงนั่น เธอไม่ได้รู้สึกชอบมันเป็นพิเศษเลยแม้แต่น้อย

เฉินเสียนยกขลุ่ยขึ้นมาดมกลิ่น บนขลุ่ยนั่นยังคงมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของซูเจ๋ออยู่

เธอหลับตาพริ้ม ที่มุมปากของเธอเปื้อนรอยยิ้ม เป็นยิ้มเบาบางที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

เจอกันครั้งหน้า แล้วเมื่อไหร่กันนะ?

จริงๆ แล้วเธอรู้สึกตื้นตันมาก ซูเจ๋อปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาที่เธออ่อนแอที่สุด

ตอนที่ซูเจ๋อโอบกอดเธอนั้น เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

บนตัวของเขาให้ความรู้สึกมั่นคงและพึ่งพิงได้

อ้อมกอดนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีหญิงอื่นใดมาหยุดพัก แต่คงไม่มีหญิงคนไหนปฏิเสธได้หรอกมั้ง

เฉินเสียนเริ่มไม่แน่ใจ หากวันคืนนานเข้า ไปเสพติดเข้าแล้วจะทำยังไงดี

ซูเจ๋อคนผู้นี้ คำพูดสักสิบคำ แต่เชื่อได้เพียงแค่ห้าคำเท่านั้น เฉินเสียนรู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ก็ห้ามเก็บเอามาจริงจังทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นสักวันจะถูกเขาจูงจมูกเป็นตัวตลกได้

นอกจากข้อนี้แล้ว อย่างอื่นเขาก็ดีหมด

จริงๆ แล้วทุกคนต่างก็คงไม่ได้จริงจัง เก็บไว้เป็นเพื่อนเล่นสนุก ใช้ฆ่าเวลา ก็ถือเป็นเรื่องสนุกอย่างหนึ่ง

เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ลึกๆ ในใจเฉินเสียนก็แอบรู้สึกรอคอยขึ้นมา ฉากที่จะพบเจอซูเจ๋อในครั้งต่อไป

หลังจากวันนั้นสุขภาพจิตใจของเฉินเสียนก็ดีขึ้นไม่น้อย เนื่องจากร่างกายที่ฟื้นฟูได้ดี

หลังคลอดสิบวัน เธอก็สามารถออกมายืดเส้นยืดสายและออกกำลังกายตามความเหมาะสมอยู่ในสวน

อวี้เยี่ยนก็คอยเตือนอยู่ข้างๆ : “องค์หญิง หลังคลอดแล้วต้องพักผ่อนหนึ่งเดือนนะเพคะ แต่นี่ยังไม่ถึงครึ่งเดือนเลย……”

“หัวโบราณมาก ให้พักผ่อนหนึ่งเดือน พักจนป่วยน่ะสิ ออกมาสูดอากาศแบบนี้ มันดีต่อสุขภาพออก” เฉินเสียนยืนเท้าสะเอวอยู่ใต้ร่มไม้ แหงนหน้าสูดอากาศ มองแสงแดดของสารทฤดูสาดส่องผ่านร่มไม้เป็นสีทองทั้งพุ่ม

แม่นมซุยพูดขึ้นว่า : “อวี้เยี่ยน นานๆ ทีองค์หญิงจะทรงอารมณ์ดีแบบนี้ ตามใจองค์หญิงไปเถอะ”

อวี้เยี่ยนมองไปยังเฉินเสียน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “สุขภาพจิตใจขององค์หญิงดีขึ้น แต่ร่างกายกลับผอมบอบบางกว่าเมื่อก่อนมาก ต้องบำรุงร่างกายเสียหน่อยแล้ว”

อวี้เยี่ยนพึ่งสังเกตเห็นว่าก่อนหน้านี้เฉินเสียนมักจะชอบเล่นลูกดอกอยู่เสมอ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนจากลูกดอกมาเป็นขลุ่ยไม้ไผ่แทน

อวี้เยี่ยนเดินเข้ามาด้วยความแปลกใจ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “องค์หญิงได้ขลุ่ยไม้ไผ่จากไหนมาหรือเพคะ? สวยมากเลยเพคะ”

“สวยใช่ไหมล่ะ? ใช้งานได้ดี ถนัดมือกว่าลูกดอกเสียอีก” เฉินเสียนพูดขึ้น : “เจ้าลองดู ขลุ่ยเลานี้เหมือนที่เขาขายตามท้องตลาดหรือเหมือนงานฝีมือมากกว่า?”

อวี้เยี่ยนพูดขึ้นว่า : “ขลุ่ยที่ขายตามท้องตลาดก็เป็นงานฝีมือนี่เพคะ เพียงแต่ตามท้องตลาดไม่มีขลุ่ยที่เล็กกะทัดรัดแบบนี้ ส่วนใหญ่ทำมาเพื่อใช้เป่าเท่านั้น แต่ขลุ่ยเลานี้ยังสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องประดับได้ด้วย”

เฉินเสียนเลิกคิ้วขึ้นสูง ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ดูแล้ว ขลุ่ยไม้ไผ่นี่ซูเจ๋อคงทำเองกับมือสินะ

นึกไม่ถึงเลยว่า มือที่สวยไร้ที่ติคู่นั้น จะมีฝีมือขนาดนี้

เฉินเสียนก้มลงมองขลุ่ยไม้ไผ่ในมืออีกครั้ง รู้สึกเข้าตาต้องใจอย่างบอกไม่ถูก

อวี้เยี่ยนจู่ๆ ก็จะวิ่งกลับห้อง พูดขึ้นว่า : “องค์หญิง รอสักประเดี๋ยวนะเพคะ หม่อมฉันจะไปเอาเข็มกับด้ายมาทำพู่คล้องให้มัน ต่อไปก็จะได้ใช้ประดับเอวขององค์หญิงได้เพคะ อีกอย่างจะได้ไม่ทำหายอีกด้วย”

เฉินเสียนก็รู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง : “อวี้เยี่ยน เจ้ารู้ใจข้าที่สุด”

แม่นมซุยยืนอยู่ใต้ชายคา มององค์หญิงที่กำลังชื่นชมของขวัญจากใต้เท้าซูไม่ยอมวาง ก็รู้สึกดีใจเสียไม่ได้ จึงเผยยิ้มขึ้นที่มุมปากด้วยความปลื้มใจ

ไม่นานอวี้เยี่ยนก็นำเข็มกับด้ายมาถึง ใช้เวลาทำอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้พู่ที่สวยงามมาคล้องไว้กับขลุ่ยไม้ไผ่ จากนั้นก็ผูกปมตรงกลาง กลายเป็นเครื่องประดับห้อยไว้ข้างเอวของเฉินเสียน

อวี้เยี่ยนแหงนหน้าพลางถามขึ้นว่า : “องค์หญิง สวยหรือไม่เพคะ?”

เฉินเสียนยิ้ม แล้วยื่นมือไปหยิกแก้มกลมๆ ของอวี้เยี่ยน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เด็กน้อยของเรานับวันยิ่งคล่องแคล่วและเฉลียวฉลาดเชียวนะ”

ยามเช้าของเรือนหลัก คนรับใช้ยกอาหารเช้ามาจัดลงบนโต๊ะอาหาร หลิ่วเหมยอู่ทานอาหารเช้าพร้อมฉินหรูเหลียง

ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ เขาแทบไม่ค่อยได้ทานอาหารในห้องอาหารเลย

หลิ่วเหมยอู่ตักโจ๊กมาหนึ่งถ้วย วางลงข้างมือเขา จากนั้นก็นำช้อนวางลงไปในถ้วย แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านแม่ทัพ ทานอาหารเช้าเถอะเจ้าค่ะ”

ฉินหรูเหลียงก้มหน้าลงมองโจ๊กข้างมือ แล้วจึงยื่นมือหยิบช้อนขึ้นมา เขาใช้มือซ้ายลองยกถ้วยโจ๊กขึ้น

หลิ่วเหมยอู่จึงพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง : “หมอบอกว่าระหว่างที่แขนของท่านแม่ทัพยังไม่หายสนิท ห้ามใช้แรงมือซ้าย……”

“เหลวไหล!”

บาดแผลที่แขนก็แค่เข้าเนื้อ ไม่ถือว่าหนักหนาสาหัสอะไร ส่วนบาดแผลที่ข้อมือก็ค่อยๆ สมานแล้ว แต่สิ่งที่เขายังเป็นกังวลก็คือเส้นเอ็นที่เสียหายไป แขนข้างนี้จะยังใช้การได้หรือไม่

ทุกครั้งฉินหรูเหลียงเหมือนจะโชคดีเสมอ

จนเมื่อเขาได้ลองออกแรงทั้งหมดที่เขามี แต่แขนข้างซ้ายของเขากลับหนักอึ้งราวกับหนักพันชั่งก็ไม่ปาน รู้สึกเสียกำลังใจอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

เขายกมือขึ้นอย่างยากลำบาก แต่เมื่อยกถ้วยโจ๊กขึ้น แขนของเขากลับสั่นไม่หยุด เมื่อไม่สามารถควบคุมและรับน้ำหนักไหว โจ๊กถ้วยนั้นจึงหกออกมา

ทั้งมือของฉินหรูเหลียงเลอะเทอะเต็มไปด้วยโจ๊ก สีหน้าเครียดขรึม

หลิ่วเหมยอู่รีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือของเขา ปลอบโยนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ : “ท่านแม่ทัพอย่ารีบร้อนจนเกินไป หมอบอกแล้ว ขอเพียงแค่รักษาจนบาดแผลหายสนิท แล้วค่อยๆ ฝึกฝนฟื้นฟู……”

ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ฉินหรูเหลียงก็ลุกขึ้น คว่ำทั้งโต๊ะด้วยความโมโหฉุนเฉียว

แม้แต่จะคว่ำโต๊ะ ก็ยังต้องใช้เพียงมือขวาได้มือเดียว

ฉินหรูเหลียงก้มหน้ามองหลิ่วเหมยอู่ที่กำลังตกใจ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “หมอบอก หมอบอก อะไรๆ ก็หมอบอก! พิการแล้วก็คือพิการ!”

หลิ่วเหมยอู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ก้มหน้ามองพื้นร่างกายสั่นเทา

เมื่อฉินหรูเหลียงสงบลงแล้วจึงได้สติขึ้นมา เขาจึงยกมือขึ้นกุมหน้าผาก สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา : “เหมยอู่ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรจะโมโหใส่เจ้า ข้าเพียงแค่เครียดเกินไป”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด