ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 145 สารภาพความจริง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 145 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ขณะที่เกิดการเคลื่อนไหวริมทะเลสาบ เป็นเวลาเดียวกันกับที่ทหารยามลาดตระเวนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้

นับตั้งแต่ที่นักฆ่าปรากฏตัวที่จวนแม่ทัพคราวที่แล้ว ทหารยามก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงกลางคืนและต้องออกลาดตระเวนทุกๆ สองชั่วโมง

เมื่อเห็นทหารยามมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ เซียงหลิงก็ดูเหมือนจะมีความหวังขึ้นมาริบหรี่ นางเริ่มดิ้นรนอย่างดุเดือด อ้าปากหวังจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่กลับทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอเท่านั้น

เฉินเสียนหันไปมองแสงเพลิงซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ใบหน้าสวยใสกลับแลดูคล้ายปีศาจเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงราตรีเช่นนี้

เธอกระซิบเบาๆ แนบหูของเซียงหลิงว่า “จะร้องขอความช่วยเหลือ? เซียงหลิง ไม่มีใครช่วยเจ้าได้นอกจากตัวเจ้าเอง” พูดจบเฉินเสียนก็ใช้มือข้างหนึ่งยกเซียงหลิงขึ้นมา เธอหมุนตัวและหิ้วนางยื่นออกไปนอกศาลาทันที

ปลายเท้าของนางห้อยลงสู่ทะเลสาบอันเงียบสงบ

เฉินเสียนกล่าวว่า “อยู่เฉยๆ เถิด ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะปล่อยมือโดยไม่ทันระวัง”

เซียงหลิงหวาดกลัวจนตัวเกร็งและไม่กล้าดิ้นรน

ทหารยามเดินตรวจตรามาถึงศาลาแห่งนี้พอดี เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่จึงถามขึ้นมา “นั่นใครน่ะ”

อวี้เยี่ยนคอยเฝ้าระวังอยู่ที่นั่นอย่างแข็งขัน เมื่อได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองที่ศาลาและตอบอย่างสบายๆ ว่า “ลำบากพวกท่านแย่เลย ที่อยู่ในศาลาคือองค์หญิงของข้าเอง คืนนี้องค์หญิงนอนไม่หลับ พระองค์จึงมารับลมที่ศาลาแห่งนี้”

เมื่อมองไปด้านในศาลาก็เห็นแค่เงาร่างของเฉินเสียนเพียงคนเดียว

เนื่องจากเฉินเสียนหันหลังให้พวกเขาและใช้มือจับเซียงหลิงหย่อนไว้ริมทะเลสาบ ร่างของเธอจึงบดบังร่างของเซียงหลิงไว้พอดี ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นเซียงหลิงที่ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย

แม้ทหารยามจะเห็นไม่ชัดว่าบุคคลที่อยู่ในศาลาใช่องค์หญิงจริงๆ หรือไม่ แต่รูปร่างหน้าตาของอวี้เยี่ยนก็ปรากฏอยู่ภายใต้แสงไฟอย่างชัดเจน และนางก็เป็นสาวใช้คนสนิทขององค์หญิงจริงๆ

ง่ายดั่งใจคิด ทหารยามไม่ติดใจสงสัยอะไรและพูดเพียงว่า “กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้มันอันตราย องค์หญิงควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว” จากนั้นจึงเดินผ่านศาลาและไปลาดตระเวนที่อื่น

ดวงตาของเฉินเสียนเยียบเย็น เธอกล่าวกับเซียงหลิงว่า “เรามาคุยเรื่องของเรากันต่อดีกว่า หมอที่มารักษาหลิ่วเหมยอู่ตอนนั้นเป็นใครมาจากไหน แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

“คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตอบ หรือเจ้าจะเลือกไม่ตอบก็ได้ มีโอกาสแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น” เฉินเสียนมองใบหน้าอันขาวซีดของเซียงหลิงภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง “ถ้าเจ้าไม่พูด เก็บเจ้าไว้ก็ไม่มีประโยชน์”

เซียงหลิงหลับตาปี๋ นางตัวสั่นสะท้านและเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “บ่าว… จะบอก… องค์หญิงโปรดไว้ชีวิต…”

เฉินเสียนเลิกคิ้ว เธอหดแขนกลับมาและปล่อยเซียงหลิงลงกับพื้นทั้งอย่างนั้น

เซียงหลิงหมอบคุดคู้อยู่บนพื้นและใช้มือลูบลำคอของตนเอง ยังคงรู้สึกถึงความเยือกเย็นของนาทีเฉียดตายเมื่อครู่นี้ นางไอโขลกไม่หยุดและหายใจหอบ น้ำตาไหลพราก ดูเหมือนคนที่อับจนหนทางสุดขีด

เฉินเสียนยืนอยู่ตรงหน้าเซียงหลิงและกดสายตามองนาง

นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “หมอผู้นั้น… นายหญิงเป็นคนให้บ่าวไปตามมาเพคะ… เขามีร้านสมุนไพร รับรักษาเฉพาะคนพเนจร อาศัยอยู่ที่… ตรอกไป่จยา”

เซียงหลิงบอกชื่อและที่ตั้งของร้านสมุนไพร นอกจากนี้ยังบอกที่อยู่อาศัยของหมอผู้นั้นอย่างละเอียด

เฉินเสียนรวบชายกระโปรงและค่อยๆ ย่อตัวลงนั่ง เธอใช้นิ้วเชยคางของเซียงหลิง บังคับให้นางเงยหน้าขึ้นมาและกล่าวว่า “เจ้าทำถูกแล้ว เข้าใจสถานการณ์ง่ายๆ แบบนี้จะได้เป็นผลดีต่อทุกคน การใช้รกมนุษย์มาเป็นส่วนผสมทำยาถอนพิษ ฟังดูแล้วออกจะเกินจริงไปหน่อย ใครกันที่เป็นคนต้นคิดเรื่องนี้ หมอ หลิ่วเหมยอู่ หรือว่าเจ้า”

เซียงหลิงร้องไห้สะอึกสะอื้นและส่ายหัวอย่างหวาดกลัว นางกล่าวว่า “ไม่ใช่บ่าวเพคะ… ปะ… เป็น… เป็นยาที่นายหญิงบอกให้หมอใช้กับนาง ละ… และมันก็ไม่ใช่ยาถอนพิษ…”

“ถ้าเช่นนั้นหลิ่วเหมยอู่ถอนพิษได้อย่างไร”

เซียงหลิงคุกเข่าลงกับพื้นและร้องไห้คร่ำครวญ “องค์หญิง หากบ่าวสารภาพออกไป ไม่ว่านายหญิงหรือท่านแม่ทัพรู้เรื่องนี้เข้า บ่าวก็คงต้องตายอยู่ดี…

เฉินเสียนเอ่ยอย่างทองไม่รู้ร้อนว่า “ข้าก็ไม่ได้คิดจะพาเจ้าไปเผชิญหน้า ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กันแน่ ถ้าไม่พูด เจ้าก็ตายสถานเดียว แต่ถ้าพูด ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้”

“นายหญิง… นายหญิงมียาถอนพิษ เหตุผลที่นางให้หมอสั่งยาแบบนั้นก็เพื่อ… ก็เพื่อ…”

“เพื่อคร่าชีวิตทารกในครรภ์ของข้าสินะ” เฉินเสียนกล่าวอย่างสงบ

“มิน่าเล่า หลิ่วเหมยอู่ถูกพิษอย่างรุนแรง แต่ผ่านไปหลายวันนางก็ไม่ตาย นั่นเป็นเพราะนางมียาถอนพิษอยู่ในมือนี่เอง นางคงลำบากแย่ที่ต้องแสร้งทำเหมือนว่าได้รับยาพิษอย่างหนัก รับบทผู้บาดเจ็บได้สมบทบาทจริงเชียว”

เฉินเสียนมองเซียงหลิงและกล่าวอีกว่า “นั่นก็หมายความว่านางกับนักฆ่าผู้นั้นเป็นพวกเดียวกันจริงๆ นางไม่เพียงแต่ให้ที่ซ่อนตัวกับนักฆ่า แต่ยังแสร้งว่าตัวเองเป็นโรคอีสุกอีใสและตามหมอมารักษาอาการบาดเจ็บของนักฆ่า ต่อมานางกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผย จึงแสร้งทำเป็นว่าถูกข่มขู่และต้องยอมให้เขาหลบหนี ซ้ำร้ายตัวเองยังถูกวางยาพิษจึงทำให้ฉินหรูเหลียงไม่มีกะจิตกะใจไล่ตามนักฆ่าและไม่สงสัยในตัวนาง แล้วก็เลยถือโอกาสลากข้าเข้าไปเกี่ยวด้วย ถูกต้องไหม”

เซียงหลิงพยักหน้าทั้งน้ำตา

ลมหายใจของเฉินเสียนเยือกเย็น แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับอ่อนโยน “เซียงหลิง ถ้าเช่นนั้นเจ้าบอกข้าทีว่านางกับนักฆ่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร”

“บ่าวก็ไม่รู้เช่นกันเพคะ…”

ทันใดนั้นเฉินเสียนก็บีบคางของนางแรงขึ้นเป็นสองเท่า

เซียงหลิงร้องไห้คร่ำครวญพลางส่ายหน้า “บ่าวไม่รู้จริงๆ เพคะ… แต่ตอนที่อยู่กันตามลำพัง บ่าวได้ยินนายหญิงเรียกเขาว่าท่านพี่… และเขา เขาเรียกนายหญิงว่าเชียนเสวี่ย…”

“ไม่ได้เรียกว่าเหมยอู่แต่เรียกว่าเชียนเสวี่ยงั้นรึ”

“เพคะ…”

เฉินเสียนไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับเบื้องลึกเบื้องหลังของหลิ่วเหมยอู่ รู้เพียงแค่ว่าฉินหรูเหลียงพานางกลับมาจากชายแดนหลังกลับมาจากการออกศึก

แต่เหตุใดถึงต้องเรียกนางว่าเชียนเสวี่ย ไม่ช้าก็เร็วเฉินเสียนจะต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้

เฉินเสียนเอ่ยว่า “เดี๋ยวอีกสักพักข้าจะปล่อยเจ้าไป เจ้ากับข้าจะทำเหมือนว่าเรื่องคืนนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า ถ้าข้าต้องการตรวจสอบเรื่องนี้จริงๆ เจ้าเองก็คงถูกต้อนจนจนมุมอย่างแน่นอน หรือถ้าหลิ่วเหมยอู่รู้ว่าเรื่องชั่วของนางถูกเปิดโปง นางจะเป็นคนแรกที่ผลักเจ้าออกไปตายแทน”

“บ่าวทราบเพคะ…” นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เซียงหลิงอกสั่นขวัญแขวนมาตลอด

นางถูกหลิ่วเหมยอู่ลากลงไปในน้ำครำโดยที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรและลงไปในเรือลำเดียวกับหลิ่วเหมยอู่ นางได้แต่หวังว่าเรื่องต่างๆ จะไม่ถูกเปิดโปง ไม่เช่นนั้นนางจะต้องกลายเป็นเหยื่อเส้นสังเวยอย่างแน่นอน

แต่ถ้าหลิ่วเหมยอู่รู้ว่านางสารภาพทุกเรื่องไปอย่างหมดเปลือก หลิ่วเหมยอู่ก็คงจะฆ่านางเช่นกัน

ตอนนี้นางตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ในเมื่อเฉินเสียนบอกว่าให้ทำเหมือนคืนนี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หลิ่วเหมยอู่ก็จะไม่มีทางรู้ว่านางสารภาพไปแล้ว และนางก็ยังคงต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงเช่นเดิม

แล้วเมื่อไหร่นางจะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติเสียที

เฉินเสียนเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ามีวิธีดีๆ ที่จะทำให้เจ้าเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ไปได้”

เซียงหลิงเงยหน้ามองเฉินเสียนทั้งน้ำตา เธอเยือกเย็นและมีความเชื่อมั่นตัวเอง ไม่ใช่คนที่เซียงหลิงผู้ต่ำต้อยจะต่อกรด้วยพลังของตัวเองได้เลย

เซียงหลิงถามอย่างโศกเศร้าว่า “หากบ่าวไม่ทำตามที่องค์หญิงชี้แนะ จะเป็นอย่างไรหรือเพคะ”

เฉินเสียนเลิกคิ้วขึ้นและเอ่ยว่า “แม้ว่าข้าจะพาเจ้าไปเผชิญหน้าตรงๆ ไม่ได้ แต่มันก็มีหลากหลายวิธีที่จะทำให้หลิ่วเหมยอู่ระแคะระคายและสงสัยว่าเจ้าหักหลังนาง ถึงเวลานั้นเจ้าคงพอจะเดาจุดจบของตัวเองได้ เจ้าคิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้ผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่ช่วยนางก่อกรรมทำเข็ญต่อรึ”

รังสีอำมหิตของเธอแผ่ซ่าน เธอจ้องมองเซียงหลิงจนนางหวาดกลัวสุดขีด

“การไว้ชีวิตเจ้าครานี้ถือเป็นความจริงใจครั้งยิ่งใหญ่ของข้า”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด