ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 183 คนหนึ่งมีความผูกพัน อีกคนรู้สึกว่างเปล่า

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 183 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เฉินเสียนไม่เห็นความขมขื่นในดวงตาของเขา และเธอคิดว่าเธอก็ทนเห็นมันไม่ได้เช่นกัน

พูดถึงอดีตเหล่านี้ รอยแผลจะไม่มีเลือดออกได้อย่างไร

ซูเจ๋อก้มศีรษะลง และยังคงใช้นิ้วถูขลุ่ยไม้ไผ่เล็กๆ และกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าอยากจะให้นางประสบความสำเร็จ แต่ข้าทำได้แค่ใช้วิธีคนในดวงใจของนางเท่านั้น บุ่มบ่ามหรือมุทะลุ และฟังนางเรียกชื่อคนอื่น มีเพียงแค่ข้าเปลี่ยนตัวเองเป็นคนอื่น ถึงจะไม่ต้องกลัวว่านางจะจำได้”

คำพูดสุดท้ายของซูเจ๋อ เฉินเสียนฟังแล้วก็เหมือนตัวเองจมอยู่ในหมอกควัน

เธอถามว่า “ต่อมาท่านสวมรอยเป็นคนที่นางชอบและไปหานาง?”

ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วและพูดกับเฉินเสียนอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “ไม่หรอก ข้าแค่คิดว่าถ้าคนที่ยืนอยู่ในสถานที่พิธีแต่งงานและไหว้ฟ้าดินกับนางคือข้า มันช่างดีเหลือเกิน แต่ข้าทำได้เพียงแค่ยืนดูไกลๆ ในฝูงชนและคิดว่าตัวเองเป็นคนในดวงใจของนาง”

บางทีตอนจบที่เขาพูด ไม่ถึงกับว่าทำให้เฉินเสียนเป็นเหมือนเดิม คิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี

เฉินเสียนเป็นคนฉลาด หากเธอรู้ปมของเรื่องในเวลาที่ไม่เหมาะสม เธอคงจะไม่เคียดแค้นเขาเหมือนเมื่อก่อน

ดังนั้นเขาจึงโกหกเฉินเสียน

ซูเจ๋อสงบลง ตระหนักได้ว่า ในคืนนี้พูดคุยกันค่อนข้างเยอะมาก

คำพูดเหล่านี้ ความคิดเหล่านี้ ไม่เคยให้ใครรู้

เฉินเสียนตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “ในเมื่อมันผ่านไปแล้ว ท่านไม่ควรที่จะเอามาใส่ใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก นี่คือการทำให้ตัวเองแย่ คิดให้กว้าง มองไปข้างหน้า ทางข้างหน้ายังมีอีกยาวไกล”

ซูเจ๋อยกริมฝีปากยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “ใช่ มองไปข้างหน้า ทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล อาเสียน ข้าบอกเรื่องของข้าแล้ว ท่านก็บอกเรื่องท่านให้ข้าฟังด้วยสิ”

เฉินเสียนรู้สึกลึกๆ ว่าการเปิดใจคุยกันจะเริ่มต้นขึ้นใน ณ บัดนี้

เธอควรจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เธอก็พบว่าไม่มีอะไรจะพูด เธอจึงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เรื่องของข้าไม่ใช่ว่าท่านรู้หมดแล้วหรือ องค์หญิงผู้ให้กำเนิดทารกและกับแม่ทัพก็ผ่านกันไปไม่ดีนัก ส่วนความรู้สึก”

เธอยักไหล่ “ข้าพบว่าความรู้สึกของข้ามันว่างเปล่า ท่านรู้ดีว่าความตั้งใจของข้า ในอนาคตหลังจากเตะฉินหรูเหลียง ข้าตั้งใจแน่วแน่ที่จะรวบรวมความงามทั้งหมดในโลกนี้มาทำเป็นชายหนุ่มที่คอยปรนนิบัติข้า”

ซูเจ๋อยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “หนาวไหม?”

เฉินเสียนส่ายหัว

ซูเจ๋อถอดเสื้อคลุมของเขาแล้วสวมให้เธอ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากซูเจ๋อ

ซูเจ๋อถามว่า “คืนนี้ท่านอยากกลับไปไหม?”

“อยากสิ มิเช่นนั้นอวี้เยี่ยนก็จะบ่นอีก”

ซูเจ๋อลุกขึ้นและยื่นมือให้เฉินเสียน “งั้นข้าจะไปส่งท่าน”

เฉินเสียนจับมือเขาอย่างไม่ประมาทลุกขึ้นจากทางเดินไม้ ปัดที่มุมเสื้อผ้า หมุนตัวเดินออกไปกับซูเจ๋อ

เธอดึงมือออกจากซูเจ๋อโดยธรรมชาติ และซูเจ๋อก็ปล่อยมือไปโดยธรรมชาติ

กลับไปก็ดึกแล้ว และอวี้เยี่ยนก็บ่นอีกพักหนึ่ง

เมื่อเฉินเสียนนอนอยู่บนเตียง เธอนึกถึงสระน้ำข้างป่าไผ่ แสงจันทร์ที่สาดส่องอยู่ในน้ำ และเรื่องราวของซูเจ๋อ

เธอนอนไม่หลับ

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ เฉินเสียนก็หันไปทางเจ้าน่องน้อยและกล่าวเบา ๆ ว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน”

หลังจากนี้จะได้ไม่ต้องคิดอะไรไร้สาระอีก และก็ไม่ต้องถูกเขากวนจนโกรธอีก

คนหนึ่งมีความผูกพัน อีกคนรู้สึกว่างเปล่า ซูเจ๋อและเธอไม่ควรมีที่ว่างสำหรับการพัฒนาต่อไป

เป็นเพื่อนกันก็ดีอยู่แล้ว

ช่วงนี้เฉินเสียนว้าวุ่นใจมาก

ไม่ว่าอวี้เยี่ยนจะคิดอะไรใหม่ๆ ก็ไม่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้

แม่นมซุยสังเกตเห็นบางอย่างและถามว่า “องค์หญิงมีอะไรให้กังวลหรือไม่เพคะ? มีเรื่องในใจลองพูดก็ไม่เสียหาย ดูว่าบ่าวจะสามารถช่วยอะไรได้บ้างไหม เก็บมันไว้ในใจก็จะแย่นะเพคะ”

ใบหน้าของเฉินเสียนเหมือนเป็นอัมพาตและกล่าวว่า “ข้าจะมีเรื่องอะไรได้ ตราบใดที่เอ้อร์เหนียงไม่เอาเรื่องทุกอย่างไปบอกซูเจ๋ออย่างละเอียดทุกอย่าง ข้าก็ดีใจแล้ว”

เธอลุกขึ้นจากการเอนกายบนเก้าอี้ มองแม่นมซุยอย่างจริงจัง และกล่าวว่า “เรื่องที่ข้าว้าวุ่นใจนี้ก็ห้ามไปบอกซูเจ๋อ”

แม่นมซุยถาม “องค์หญิงจะว้าวุ่นเรื่องใต้เท้าหรือเพคะ?”

เฉินเสียนนอนลงอีกครั้งและโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ กล่าวอย่างหมดแรงว่า “ตอนนี้ข้าเห็นใครก็ว้าวุ่นใจไปหมด บางทีอาจจะเพราะระดูกำลังจะมาเร็วๆ นี้”

อวี้เยี่ยนที่เดินผ่านมาพอดีก็ตกใจมาก: “ระดู? องค์หญิงมีระดูตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมบ่าวไม่รู้ล่ะเพคะ?”

เฉินเสียนขี้เกียจเกินกว่าจะตอบ

ในสวนดอกพุดตานแม้ว่าหลิ่วเหมยอู่และฉินหรูเหลียงจะคืนดีกันเหมือนดั่งเมื่อก่อน แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าฉินหรูเหลียงเปลี่ยนไป

ในระหว่างเรื่องบนเตียง ฉินหรูเหลียงไม่สนใจร่างกายของหลิ่วเหมยอู่อีกต่อไป กลายเป็นป่าเถื่อนกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย

แม้ว่าฉินหรูเหลียงจะยับยั้งไว้มากแล้ว ไม่ได้ระบายมากเท่ากับที่เขาทำกับเซียงซั่น

หลิ่วเหมยอู่ตระหนักว่าสิ่งที่เซียงซั่นพูดอาจถูกต้อง

ฉินหรูเหลียงเกลียดจนรักเฉินเสียน

ตอนนี้เซียงซั่นหายไปแล้ว มีเพียงเฉินเสียนที่เป็นศัตรูคนเดียวที่เหลืออยู่ในเรือน

มีวิธีใดที่จะเอานางออกจากหัวใจของฉินหรูเหลียงในคราวเดียวเพื่อที่ฉินหรูเหลียงจะได้เกลียดนางมากเท่ากับเมื่อก่อน?

ต่อมาหลิ่วเหมยอู่คิดได้วิธีหนึ่ง

ครั้งนี้ชื่อเสียงของเฉินเสียนต้องถูกทำลาย ให้กลายเป็นเรื่องตลกของคนทั้งเมือง

หลังจากประสบการณ์มากมาย นางเรียนรู้จนฉลาดแล้ว

ครั้งนี้ต้องทำอย่างเรียบร้อยและสะอาด โดยไม่ทิ้งหลักฐานใดๆ เช่นนี้ต่อให้เฉินเสียนจะหาคนมาคิดบัญชีก็หานางไม่เจอแน่นอน

เมื่อเซียงหลิงปรนนิบัติหลิ่วเหมยอู่ขณะกำลังรับประทานอาหาร หลิ่วเหมยอู่ก็กล่าวนุ่ม ๆ ว่า “ลูกขององค์หญิงอายุเท่าไหร่?”

เซียงหลิงตอบกลับอย่างระมัดระวัง “น่าจะเกือบสามเดือนแล้วเจ้าค่ะ”

“งั้นอีกไม่กี่วันก็จะถึงร้อยวันแล้ว”

เซียงหลิงไม่รู้ว่าสิ่งที่นางพูดหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าถามให้มากความ

เมื่อฉินหรูเหลียงกลับมาจากเสร็จราชการ หลิ่วเหมยอู่ก็พาเขาไปทานอาหารเย็นด้วยกัน

ในเวลาพลบค่ำ หลิ่วเหมยอู่กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านชายน้อยอายุเกือบจะครบร้อยวันแล้ว เหมยอู่คิดว่าควรจัดงานเลี้ยงฉลองร้อยวันสำหรับท่านชายน้อยหรือไม่เจ้าคะ”

ฉินหรูเหลียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา?”

หลิ่วเหมยอู่ตักซุปให้ฉินหรูเหลียงขณะที่กล่าวอย่างโอมอ้อมอารีว่า “ท่านชายน้อยก็เป็นลูกของท่านแม่ทัพกับองค์หญิงและจักรพรรดิก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ดังนั้นเหมยอู่จึงคิดว่าควรให้จัดงานฉลองให้ท่านชายน้อย งานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ในจวนแม่ทัพนานแล้วที่ไม่มีงานรื่นเริง”

ฉินหรูเหลียงตอบรับเสียงเข้ม

หลิ่วเหมยอู่กล่าวอีกว่า “ท่านแม่ทัพ ผ่านเรื่องราวมามากมาย เหมยอู่เข้าใจแล้ว เหมยอู่กับองค์หญิงต่างก็เป็นคนของจวนแม่ทัพ ดังนั้นควรอยู่กันอย่างสงบสุข ให้ท่านแม่ทัพเป็นหลัก มีเพียงแค่ครอบครัวสงบสุขสามัคคี ถึงจะสามารถทำให้ท่านแม่ทัพวางใจไปทำเรื่องได้เจ้าค่ะ”

ฉินหรูเหลียงสะเทือนใจเล็กน้อย

“อย่างไรก็ตามองค์หญิงเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตเหมยอู่ เหมยอู่รู้สึกผิดและรู้สึกขอบคุณองค์หญิง ถ้าสามารถตอบแทนคืนได้ ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”

“เหมยอู่ช่างมันเถอะ ปีที่แล้วก็ช่วงเวลาประมาณนี้ องค์หญิงแต่งงานเข้าจวนแม่ทัพ กลายเป็นนายหญิงของแม่ทัพ ตอนนี้เวลาผ่านไปเร็วมาก แค่ชั่วพริบตาก็ผ่านไปปีหนึ่งแล้ว”

ฉินหรูเหลียงไม่พูดว่าอะไรผิดหรือถูก แต่นึกถึงสถานการณ์ปีที่แล้วในใจของเขา ตอนนั้นเขาลังเลอย่างยิ่งที่จะแต่งงานกับเฉินเสียนมาเป็นภรรยาของเขา แต่เขาจำเป็นต้องแต่งงาน

ตอนนั้นเขารู้สึกว่าเฉินเสียนน่ารังเกียจอย่างยิ่ง

หนึ่งปีผ่านไป ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเฉินเสียนก็เปลี่ยนไป นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะยอมรับ

หลิ่วเหมยอู่กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ…รู้สึกกับองค์หญิงแล้วสินะเจ้าคะ”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด