ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 215 เป็นหลิ่วเหมยอู่ที่ทำลายฉินหรูเหลียง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 215 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“ตอนนี้ยังหากระดูกของท่านแม่ทัพฉินไม่พบ ไว้หลังจากที่ยืนยันได้แล้วว่าเขาตายที่สนามรบจริงๆ แล้วเจ้าหมดเรี่ยวแรงที่ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ข้าจะรีบส่งเจ้าไปอยู่กับเขา ในเมื่อเจ้ารักเขามากขนาดนั้น คงทนเห็นเขาอยู่ข้างล่างอย่างโดดเดี่ยวไม่ได้หรอกจริงไหม”

เฉินเสียนละสายตาจากนางและหันหลังกลับก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรทำคือเผาธูปหอมและอธิษฐานขอให้ฉินหรูเหลียงยังมีชีวิต เช่นนี้เจ้าจะอาจมีชีวิตยืนยาวขึ้นอีกนิด ไม่แน่บางทีเจ้าอาจจะได้ใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับพี่ชายก่อนจะต้องพรากจากกันไปตลอดกาลก็ได้”

 

“เฉินเสียน แม้ว่าข้าจะกลายเป็นผี ข้าก็ไม่มีทางปล่อยท่าน!”

เฉินเสียนฉีกยิ้มและหัวเราะเบาๆ “ถ้าเช่นนั้นรอให้เจ้ากลายเป็นผีจริงๆ แล้วค่อยว่ากันอีกที การคิดว่าข้ายังเป็นคนที่ถูกปั่นหัวง่ายเหมือนตอนเด็กๆ มันคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า”

พลเรือนและทหารทั่วราชสำนักในเมืองหลวงต่างรอคอย

เฉินเสียนก็กำลังรอเช่นกัน

รอม้าเร็วส่งข่าวจากทางใต้มาอีกครั้ง

การที่ยังหาตัวไม่พบ ทำให้ยังตัดสินไม่ได้ว่าคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว มีแต่จะต้องหาศพของเขาให้พบอย่างเดียวเท่านั้น

ในสนามรบมีซากศพมากมายกองสุมกันเป็นภูเขา ต้องพลิกหาทีละศพๆ เพื่อดูว่าในจำนวนนั้นมีฉินหรูเหลียงอยู่หรือไม่

 

ตอนที่ยังหาตัวเขาไม่พบ เฉินเสียนยังคงไม่ปักใจเชื่อว่าฉินหรูเหลียงตายในสนามรบแล้วจริงๆ

เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน ก่อนออกเดินทางคราวนั้นตอนที่เขาฝากฝังให้เธอดูแลจวนแม่ทัพ เฉินเสียนยังจำได้ชัดเจนว่าตอนที่ฉินหรูเหลียงออกคำสั่งกับทั้งสามเหล่าทัพในวันออกศึก เขาทั้งสง่างามและน่าเกรงขาม

บุญคุณและความแค้นเหล่านั้นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

ทว่าเธอไม่ได้นับว่านี่คือความโศกเศร้า ในความทรงจำของเธอ ฉินหรูเหลียงไม่มีค่าพอจะทำให้เธอเกลียดหรือรำคาญเลยด้วยซ้ำ

ตอนนี้การที่ชื่อเสียงในการสู้รบของเขาถูกทำลาย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร… เธอเป็นคนฆ่าเขาจริงๆ หรือ?

เฉินเสียนคิดมาตลอดว่าเป็นเพราะเขาที่มองคนผิด

มองเธอผิด มองหลิ่วเหมยอู่ผิด ทั้งยังมองตัวเองผิด

อวี้เยี่ยนกล่าวว่า “หลายสิ่งหลายอย่างเป็นผลของกรรม แม่ทัพฉินรักนางหลิ่วมาก นางหลิ่วมีจิตใจชั่วร้าย เป็นนางที่ก่อกรรมชั่วต่อแม่ทัพฉิน เหตุใดนางจึงไม่คิดบ้าง ว่าก่อนหน้านี้องค์หญิงเกือบเอาชีวิตไม่รอดอยู่หลายครั้งหลายคราก็เพราะนาง”

“ที่องค์หญิงตรัสก็ถูกแล้ว หากจะบอกว่าจริงๆ แล้วแม่ทัพฉินถูกใครฆ่า คนผู้นั้นก็คือนางหลิ่ว แล้วเหตุใดองค์หญิงจึงยังถอนหายใจอีกล่ะเพคะ” แม่นมซุยถาม

เฉินเสียนกล่าวว่า “บางครั้งข้าก็อยากจะเกลียดหลิ่วเหมยอู่เหมือนกัน แต่นางไม่มีค่าพอที่จะให้ข้าเกลียดยิ่งไปกว่าฉินหรูเหลียงเสียอีก ข้าแค่ถอนหายใจที่หลิ่วเหมยอู่ทำลายฉินหรูเหลียง”

ถ้าไม่ใช่เพราะนาง บางทีฉินหรูเหลียงอาจจะเป็นคนดีคนหนึ่งก็ได้

เฉินเสียนเคยเห็นด้านดีในตัวเขา แม้ว่าหลังจากนั้นมันจะถูกเค้นหายไปอย่างรวดเร็วก็ตาม

ถ้าหลิ่วเหมยอู่พยายามทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงฉินหรูเหลียงไปและสุดท้ายกลับทำให้เขากลายเป็นแบบนี้ เช่นนั้นหลิ่วเหมยอู่ก็คือคนที่น่าเกลียดชังเป็นที่สุด

ไม่กี่วันต่อมาก็มีรายงานผลการรบฉบับที่สองมาจากทางใต้

กองทัพของต้าฉู่เข้าไปชำระสะสางสนามรบหลังจบศึก และศพนับหมื่นก็ถูกนำไปเผารวมกัน

ศพทุกศพถูกตรวจสอบอย่างละเอียดแต่สุดท้ายก็ไม่พบฉินหรูเหลียง

ทว่าพวกเขาพบชุดเกราะเปื้อนเลือดของฉินหรูเหลียงและพบชิ้นส่วนของท่อนแขนตกอยู่ข้างๆ ชุดเกราะ

ศพถูกฟันจนแหลกไม่เหลือชิ้นดีทำให้ระบุตัวตนไม่ได้

เมื่อมาถึงจุดนี้ ทุกอย่างจึงดูเหมือนจะสิ้นสุดลงแล้ว

ถ้าชิ้นส่วนของศพนั้นไม่ใช่ฉินหรูเหลียง เหตุใดเกราะของเขาจึงกระจัดกระจายอยู่บนพื้น

ทุกคนต่างคิดว่านั่นน่าจะเป็นฉินหรูเหลียง

ชั่วเวลาหนึ่งผู้คนทั้งราชสำนักต่างก็เศร้าเสียใจ ทุกคนในจวนแม่ทัพเองก็ร้องไห้อย่างขมขื่น

ทว่าเฉินเสียนยังคงไม่อยากเชื่อ

มีเพียงแค่ชุดเกราะกับเศษท่อนแขนที่ไม่เหลือเค้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงแน่ใจว่านี่คือฉินหรูเหลียง

ในไม่ช้าพระราชโองการจากวังก็มาถึง

เฉินเสียนมองดูท้องฟ้าที่มืดครึ้มก่อนที่พายุฝนจะโหมลงมา ทันใดนั้นเอง ความเศร้าก็ดูจะทบทวีขึ้นมาเพราะมัน

เฉินเสียนพูดกับอวี้เยี่ยนว่า “ไปนำน้ำขิงมา”

อวี้เยี่ยนนำน้ำขิงมาให้ เฉินเสียนล้างตาของเธอด้วยน้ำขิงนั้นจนดวงตาทั้งสองข้างดูบวมแดง

หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนเป็นชุดสำหรับเข้าเฝ้า ติดตามเข้าไปในวังพร้อมกับคนที่มาจากวัง

 

เมื่อเห็นจักรพรรดิเธอก็รวบชุดและคุกเข่าลง ยังไม่ทันพูดอะไรเธอก็หลั่งน้ำตาและเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้นว่า “หม่อมฉันเข้าเฝ้าจักรพรรดิเพคะ”

จักรพรรดิก็ตรัสอย่างเศร้าใจและกลัดกลุ้มมากเช่นกัน “จิ้งเสียน ยืนขึ้นเถิด”

จักรพรรดิเห็นดวงตาที่บวมแดงเพราะน้ำตาและใบหน้าที่ซีดขาวของเธอ ท่าทางเหมือนคนที่ทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส

จักรพรรดิถามว่า “ที่จวนแม่ทัพเป็นอย่างไรบ้าง”

เฉินเสียนปาดน้ำตาและกล่าวว่า “ทุกอย่างในจวนแม่ทัพเรียบร้อยดีเพคะ เพียงแต่อยู่ๆ ก็มารับรู้ข่าวเคราะห์ร้ายของท่านแม่ทัพ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าและเจ็บปวดมากเพคะ หม่อมฉันไม่อยากจะเชื่อว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะตายในสนามรบเช่นนี้ นี่ไม่ใช่แค่การสูญเสียของจวนแม่ทัพ แต่ยังนับเป็นการสูญเสียของต้าฉู่ ก่อนที่จะได้เห็นกับตาตัวเอง จวนแม่ทัพจะไม่จัดงานศพเป็นเด็ดขาดเพคะ”

จักรพรรดิเอ่ยอย่างถอดทอดใจว่า “ดูเหมือนเจ้าจะจริงใจต่อฉินหรูเหลียงมาโดยตลอด ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน”

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง จักรพรรดิจึงตรัสอีกว่า “ตอนนี้สงครามที่ชายแดนยังไม่ยุติ หากนั่นคือแม่ทัพใหญ่จริงๆ ก็นับเป็นการสละชีพเพื่อบ้านเมือง แม่ทัพเพิ่งเสียชีวิต ควรจะถูกส่งกลับมาทำพิธีที่บ้านเกิดเมืองนอน จิ้งเสียน เจ้าเองก็ต้องเตรียมใจไว้”

เฉินเสียนน้อมคำนับทั้งน้ำตาและกล่าวว่า “ตามแต่พระประสงค์ขององค์จักรพรรดิเพคะ”

“เส้นทางจากทางใต้มาสู่เมืองหลวงแห่งนี้ หนทางยังอีกยาวไกลนับพันลี้ เวลานี้กระดูกอยู่ที่ชายแดน ข้าสั่งให้ใช้น้ำแข็งเพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกเสียหาย” จักรพรรดิตรัส “ข้าต้องการให้เจ้าไปรับแม่ทัพใหญ่กลับมา”

เฉินเสียนใจหายวูบ ศีรษะของเธอตกเล็กน้อยทว่าไม่ได้มีร่องรอยใดๆ ให้เห็น

จักรพรรดิจับตาดูเธอตลอดและตรัสว่า “เจ้ากับแม่ทัพใหญ่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แม้ว่ากระดูกจะถูกทำลายจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ข้าคิดว่าเจ้าจะต้องยืนยันได้อย่างแน่นอนว่าแท้จริงแล้วใช่แม่ทัพใหญ่หรือไม่”

เสียงขององค์จักรพรรดิยังคงดังก้องอยู่ในใจของเฉินเสียน “ถ้าใช่ เจ้าก็กลับมาพร้อมกับเขา ถ้าไม่ใช่ นั่นหมายความว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ ข้าไม่บังคับเจ้า หนทางครั้งนี้ยากลำบาก ถ้าเจ้าไม่เต็มใจ ข้าจะส่งผู้อื่นไปแทน”

แต่ในเมื่อพูดมาขนาดนี้แล้ว ยังมีโอกาสให้เธอปฏิเสธได้อีกหรือ?

เฉินเสียนรู้ว่าเธอไม่มีทางเลือก จึงกล่าวไปว่า “หม่อมฉันมีความปรารถนาเพียงอย่างเดียวที่อยากจะทูลขอจากองค์จักรพรรดิ”

“ตราบใดที่ข้าทำให้ได้ เจ้าลองว่ามา”

เฉินเสียนเอ่ยทั้งน้ำตาว่า “ลูกของหม่อมฉันยังเล็ก ไม่รู้เรื่องอะไรเลย หม่อมฉันเพียงแต่หวังว่าหลังจากหม่อมฉันจากไป เขาจะสามารถเติบโตอยู่ในจวนแม่ทัพได้อย่างปลอดภัยและปราศจากทุกข์โศก”

ฉินหรูเหลียงตายไปแล้วและเฉินเสียนต้องลงไปทางใต้ การทิ้งเด็กไว้จึงไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่ออำนาจ

จากนั้นจักรพรรดิจึงตรัสว่า “ข้าสัญญากับเจ้า”

เมื่อออกมาจากตัวพระราชวัง เฉินเสียนซึ่งสวมชุดเข้าเฝ้าที่งดงามก็เดินตามถนนอันกว้างใหญ่ของพระราชวังซึ่งทอดยาวและอ้างว้างออกมานอกวัง

เสียงฟ้าร้องดังโหมอยู่เหนือศีรษะ และหยาดฝนก็เทลงมาห่าใหญ่

ถึงช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างวสันตฤดูและคิมหันตฤดู ฝนตกลงมาจนร่างกายของเธอเปียกปอนและเธอก็รู้สึกหนาวเล็กน้อย

ในตอนที่กลับมาถึงสวนสระวสันตฤดู เมื่ออวี้เยี่ยนกับแม่นมซุยเห็นเฉินเสียนกลับมาในสภาพที่ดูไม่ได้ หัวใจของพวกนางก็แทบจะขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ทั้งคู่รีบกางร่มออกไปรับเธอเข้ามา จากนั้นจึงเร่งร้อนต้มน้ำให้อาบและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า

สายไปแล้วที่เฉินเสียนจะถอดเสื้อผ้าที่เปียกโชกของเธอ ใบหน้าที่ชุ่มฉ่ำของเธอขาวซีด เธอจับมืออวี้เยี่ยนกับแม่นมซุยไว้ เส้นผมที่เปียกแนบติดอยู่บนแก้ม เธอเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “อวี้เยี่ยน เอ้อร์เหนียง พวกเจ้าคือคนข้างกายที่ข้าไว้ใจมากที่สุด ข้าอยากให้พวกเจ้าช่วยข้าปกป้องเจ้าน่องน้อยอย่างสุดความสามารถ”

 

“องค์หญิง เกิดอะไรขึ้นเพคะ”

“ข้าจะต้องออกจากเมืองหลวงภายในสองวันนี้เพื่อไปรับกระดูกของฉินหรูเหลียง นี่เป็นพระราชโองการ” เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าพาพวกเจ้าไปด้วยไม่ได้ พวกเจ้าต้องอยู่คอยดูแลเจ้าน่องน้อยที่นี่”

อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างตกใจว่า “ได้อย่างไรเพคะ เจ้าน่องน้อยแยกห่างจากแม่ไม่ได้ องค์หญิงไปในที่ที่ห่างไกลขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะเพคะ…”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด