ข้าคือหงส์พันปี – บทที่221 แต่งตั้งผู้ใดไปถึงค่อนข้างเหมาะสม?

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 221 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เขาดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของแม่นมซุย แม่นมซุยก็จวนจะอุ้มเขาไว้ไม่ไหวแล้ว

แม่นมซุยดวงตาแดงก่ำ กล่าวขึ้นว่า“องค์หญิง กลับมาอุ้มเจ้าน่องน้อยหน่อยไหมเพคะ นานมากแล้วที่เจ้าน่องน้อยไม่เคยร้องไห้เช่นนี้เลยนะเพคะ”

เฉินเสียนหยุดชะงักอยู่หน้ารถม้า ยังคงอดทนที่จะไม่หันหลังกลับไป สุดท้ายเลยก้าวขึ้นรถม้า แล้วกล่าวกับแม่นมซุยว่า“ปล่อยให้เขาร้องไห้เถิด รอให้เขาร้องไห้จนพอแล้วพบว่าข้าไม่ได้กลับมา ก็จะไม่ร้องไห้อีก”

ที่จริงเธอนั้นอยากจะหันกลับไปมองดู กอดเจ้าน่องน้อยให้มาก แต่ทำอย่างนั้นนอกจากจะทำให้ใจไม่แข็งพอมากขึ้นแล้ว มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

รถม้าเคลื่อนออกจากเมืองหลวง ผ่านเส้นทางอันเพริดแพร้ว ผ่านตึกสูงต่ำที่เพิ่งจะผุดขึ้นเหลืองอร่ามเจิดจรัส แล้วยังผ่านหอชมดาวที่สูงที่สุดของเมืองหลวงด้วย

ทันใดนั้นเฉินเสียนสัมผัสสิ่งเร้าภายนอกได้ เธอเลยเปิดม่านขึ้นแหงนหน้ามองดู

บนหอชมดาวมีเงาสลัวๆของคน

เธอมองเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่ทว่าภายในใจนั้นก็มีความรู้สึกห่วงใยเป็นทุกข์อยู่

ต่อมารถม้าขับเคลื่อนออกจากประตูเมือง เธอหันกลับไปมองอีกครั้ง แล้วไม่มีความลังเลใจอีกเลย

จริงๆ เฉินเสียนออกจากเมืองหลวงมาได้ห้าวันแล้ว ทางใต้มีข่าวคราวใหม่มาอีกครั้ง

ฉินหรูเหลียงยังไม่ตาย และอยู่ในกำมือของกองทัพศัตรูเย่เหลียง

ข่าวคราวนี้ทำให้ราชสำนักต้าฉู่มีความกลัดกลุ้มและความปลื้มปิติผสมกันอยู่

ปลื้มปิติคือในที่สุดท่านแม่ทัพใหญ่นั้นยังรักษาชีวิตไว้ได้ ต่อไปยังสามารถรับใช้ต้าฉู่ได้อย่างต่อเนื่อง แต่ความกลัดกลุ้มคือครั้งนี้ต้าฉู่สูญเสียศักดิ์ศรีอย่างไม่ต้องพูดเลย เย่เหลียงต้องเสนอเงื่อนไขข้อเรียกร้องอย่างโหดเหี้ยมแน่นอน

ทั้งสองเมืองมีความวุ่นวายทางสงครามกันอย่างต่อเนื่อง ล้วนไม่มีประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่ายเลย

กำลังทหารของต้าฉู่ช่วยเหลือสู้ไม่ได้ เย่เหลียงก็เพิ่งจะมีความสุขสงบ ฟื้นฟูบ้านเมืองหลายปีก็ยังไม่ได้รับการคืนสู่สภาพเดิมที่ดีเลย สำหรับทั้งสองเมืองแล้วไม่เหมาะที่จะก่อความวุ่นวายทางสงครามนานเกิน

ครั้งนี้เย่เหลียงยั่วยุเองเลย เพียงแค่อยากเอาเปรียบระบายความเคียดแค้นสักนิดหนึ่ง

สิ่งที่เย่เหลียงเรียกร้องคือ เอาชีวิตของแม่ทัพใหญ่แลกเปลี่ยนกับห้าคูเมืองตรงแถบชายแดนของต้าฉู่

หากว่าต้าฉู่ไม่ยินยอม เช่นนั้นแล้วเย่เหลียงมีแต่จะซ้ำเติม

ไม่ต้องพูดถึงความสามารถของเย่เหลียง ทั้งยังสามารถเสาะแสวงหาพันธมิตรด้วย หากว่าเป่ยเซี่ยถือโอกาสบุกในตอนที่กำลังอ่อนแออยู่ เช่นนั้นแล้วต้าฉู่ก็เป็นอันตรายอย่างมาก

ข่าวคราวนี้ทำให้องค์จักรพรรดิกริ้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักแบ่งเป็นสองสำนัก แต่ละคนยืดหยัดในข้อความคิดเห็นของตน

มีทั้งฝ่ายที่จะสู้ แล้วก็มีฝ่ายที่ประนีประนอม

มีขุนนางฝ่ายพลเรือนลุกขึ้นออกมาวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสีย แล้วกล่าวขึ้นว่า “กราบทูลองค์จักรพรรดิ เวลานี้ ภายในเมืองเป่ยเซี่ยสงบมาก จ้องมองต้าฉู่ตาเป็นมัน ความสัมพันธ์กับต้าฉู่หยุดชะงักแล้วยังมีพฤติการณ์ที่ชั่วร้าย ประจวบเหมาะกับที่ท้องพระคลังไม่เต็มอีก ไม่สามารถจ่ายสนับสนุนเสบียงทหารและหญ้าเลี้ยงม้าของกองกำลังทหารได้เป็นเวลานาน ขณะนี้กองกำลังทหารตรงชายแดนได้รับความเสียหายยับเยิน ขวัญกำลังใจทหารซบเซา ไม่เหมาะที่จะเปิดศึกอีกจริงๆ มันจะทำให้กลายเป็นการพลีชีพนองเลือดมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอให้องค์จักรพรรดิคิดทบทวน เจรจาสงบศึกกับเย่เหลียง ยังจะสามารถช่วยชีวิตท่านแม่ทัพไว้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ปีนั้นท่านแม่ทัพติดตามองค์จักรพรรดิออกศึก ปราบปรามแผ่นดินใต้ฟ้าให้สงบสุข เวลานี้ชีวิตท่านแม่ทัพอยู่ในอันตราย หากว่าองค์จักรพรรดิมองดูไม่สนใจ เกรงว่าราษฎรจะตำหนิพ่ะย่ะค่ะ!”

องค์จักรพรรดิจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกันเล่า ทั้งกริ้วทั้งไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร

หากพระองค์ไม่สนใจไยดีฉินหรูเหลียง ปล่อยให้เย่เหลียงสังหารฉินหรูเหลียง เลือดของฉินหรูเหลียงจะต้องเป็นขวัญแก่กำลังทหารเย่เหลียงอย่างมาก กลับจะทำให้กำลังใจของทหารต้าฉู่ปั่นป่วนอย่างแน่นอน

เดิมองค์จักรพรรดิคิดว่าเย่เหลียงจะอ่อนแอเหมือนกับเมื่อหลายปีก่อน

ขอเพียงแต่ฉินหรูเหลียงออกศึก จัดการกับเย่เหลียงที่ก่อจลาจลวุ่นวายตรงชายแดนออกไป คืนความสงบชายแดนต้าฉู่ก็เพียงพอแล้ว

แต่คาดไม่ถึง สงครามครั้งนี้เย่เหลียงได้เตรียมการไว้แล้ว อีกทั้งมีวิธีแปลกประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ต้าฉู่รับมือไม่ทัน

ฉินหรูเหลียงองอาจห้าวหาญเชี่ยวชาญการรบตลอดมา องค์จักรพรรดิประหลาดใจจริงๆ ครั้งนี้เขาถูกศัตรูห้ำหั่นลงจากหลังม้าด้วย

ต้องการให้องค์จักรพรรดิชดเชยหากว่าองค์จักรพรรดิชดเชยก็เป็นผู้ที่ด้อยกว่า พระองค์ไม่มีวิธีที่จะยอมรับข้อเสนอเงื่อนไขที่มันเกินไปนี้ได้เลย ดังนั้นเลยกล่าวด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “สารเลว! หรือต้องการให้ข้ายอมเชื่อฟังแล้วเอาห้าคูเมืองนั้นมอบให้กับเย่เหลียงหรือ?”

ฝ่ายขุนนางเห็นสีหน้าองค์จักรพรรดิกริ้วหนักมากเลยคุกเข่าลง

และมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักคุกเข่าออกมา กล่าวขึ้นว่า“นี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่เล็กที่สุดแล้วนะพ่ะย่ะค่ะองค์จักรพรรดิ !ในห้าคูเมืองก็มีสามคูเมืองที่เคยอยู่ในอาณาเขตของเย่เหลียง แต่การรบแพ้ชนะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ พื้นแผ่นดินเลือกหรือละทิ้งมิใช่สิ่งที่มั่นคงชั่วนิรันดร์นะพ่ะย่ะค่ะ ขอร้ององค์จักรพรรดิมองการณ์ไกลแล้วทำการคิดวางแผนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ ถึงจะได้มีวันเริ่มต้นอีกครั้งนะพ่ะย่ะค่ะ!”

ต่อมาองค์จักรพรรดิกล่าวถามอีกว่า“เช่นนั้นในแง่ของพวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร ครั้งนี้ควรที่จะแต่งตั้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านใดเป็นทูตเพื่อไปทำการเจราจาสันติภาพกับเย่เหลียง?”

พอคำกล่าวนี้ออกมา ราชสำนักเงียบสักพักหนึ่ง ไร้การเปล่งเสียงพูดออกมา

ไม่ว่าจะเลือกแนะนำล้วนก่อให้เกิดจุดยืนที่เป็นปัญหา แต่ผู้ที่ต้องเป็นทูตเดินทางไปที่เย่เหลียง ต้องมีจิตใจเจตตาอันเด็ดเดี่ยว เผชิญหน้ากับความตายอันตรายแล้วไร้จิตใจที่ว้าวุ่นและยังสามารถเป็นผู้ที่ทำภารกิจสำคัญได้

ทูตเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องเลือกโดยไม่มีเงื่อนไข ตอนนี้ยังไม่มีการตัดสินชี้ขาดเป็นการชั่วคราว

หลังจากเลิกราชสำนัก องค์จักรพรรดิได้เรียกขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายท่านมาปรึกษาหารือที่ห้องตำรา

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ให้ดูแลอำนาจการบริหารราชสำนักล้วนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่เก่าแก่ของราชวงศ์ก่อนหน้า รากฐานมั่นคง

องค์จักรพรรดิใช้พวกเขาได้ตลอดเวลา กลับหวาดกลัวว่าพวกเขาจะไม่มีจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ช่วงปีที่ผ่านมา องค์จักรพรรดิไม่เคยคว้าจับความผิดไม่ว่าสิ่งใดก็ตามมากดพวกเขาเลย

ฐานะเดิมขององค์จักรพรรดิคือนายทหาร ตั้งแต่บริหารปกครองบ้านเมืองมาจนใช้กลอุบายเขยิบเข้าใกล้ตระกูลขุนนางปัญญาชนที่มีความสามารถ จำเป็นต้องใช้การช่วยเหลือของขุนนางเก่า เพราะว่าพระองค์ทำได้เพียงอยู่ตรงกลางเหล่าขุนนางเก่าสอดแทรกหาคนที่สนิทสนมไว้วางใจได้ เฝ้าสถานการณ์ที่ซับซ้อนภายในราชสำนัก

สำหรับทูตที่จะเดินทางไปเย่เหลียง ในใจขององค์จักรพรรดิมีผู้เหมาะสมที่เลือกไว้ในใจแล้ว

เพียงแค่ถามในห้องตำราอีกครั้ง ก็นับว่ามีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยืนขึ้นมาตอบสนองความต้องการเลือกแนะนำซูเจ๋อ

องค์จักรพรรดิกล่าวถามขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านอื่นว่า“พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยืนขึ้นประสานมือคารวะแล้วกล่าวขึ้นว่า“กราบทูลองค์จักรพรรดิ ใต้เท้าซูมีความสามารถพิเศษทางการประพันธ์สติปัญญาพรั่งพรูมีพรสวรรค์ เก่งด้านการเจรจา หากว่าแต่งตั้งใต้เท้าซูไปเจราจาสันติภาพกับเย่เหลียงแล้วนั้น เหมาะสมเป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ ด้านการเอาจริงเอาจังกับการตีความนี้ เย่เหลียงเรียกร้องผลประโยชน์เล็กน้อยใดๆไม่ได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ”

นี่เพียงแค่หนึ่งในนั้น

ผู้แรกที่องค์จักรพรรดินึกถึงคือซูเจ๋อ ไม่เพียงเพราะว่าเขามีความสามารถ

องค์จักรพรรดิกล่าวอย่างทรงเกียรติว่า“ใต้เท้าซูมีความสามารถ นี่เป็นสิ่งที่ขุนนางแต่ละฝ่ายในราชสำนักเห็นกันหมดอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้นเขาเป็นขุนนางที่โปรดปรานของราชวงศ์ก่อน ตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนจนถึงวันนี้ รู้จักหลักปฏิบัติตัวในสังคมเป็นอย่างดี จัดการเรื่องบ้านเมืองกับเย่เหลียงนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ต้องกล่าวถึงเลย”

จุดเล็กน้อยที่สำคัญคือ เพราะซูเจ๋อเคยอยู่ข้างกายเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิราชวงศ์ก่อน ไม่รู้ว่าในราชสำนักมีขุนนางเก่าๆอยู่เท่าไหร่รอดูทิศทางการเปลี่ยนแปลงของเขา

แต่ช่วงปีที่ผ่านมา ซูเจ๋อไร้การเคลื่อนไหวมาโดยตลอด

ซูเจ๋อเป็นที่อวดอ้างของเหล่าขุนนางเก่าแก่ องค์จักรพรรดิไม่สามารถสังหารเขาอย่างเปิดเผย ยิ่งกว่านั้นแล้วเขามีจิตใจที่คอยระแวดระวังและมีความรับผิดชอบสูงมาโดยตลอด องค์จักรพรรดิก็ไม่สามารถหาเหตุผลอันใดไปลงมือกับเขาได้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา

แต่คนเช่นนี้ ในเมื่อไม่สามารถดึงมาเป็นพวกได้ ก็ไม่สามารถที่จะปล่อยใจกล้าใช้ตามอำเภอใจ เขาเป็นหนามทิ่มแทงใจองค์จักรพรรดิตลอดมา

ครั้งนี้แต่งตั้งซูเจ๋อไปเย่เหลียง หากเขาสามารถบรรลุภารกิจที่หนักอึ้งนี้ก็ดี หากไม่สามารถบรรลุภารกิจที่หนักอึ้งนี้ได้ นั่นก็มีเหตุผลเหมาะเจาะลงโทษเขาได้

หรือว่าระหว่างการเดินทางเกิดเหตุอันใดขึ้น นั่นก็เป็นชะตาที่สวรรค์ลิขิตแล้ว

เรื่องราวก็กำหนดไว้ประมาณนี้แล้ว

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆต่างพากันถอยออกจากตรงนั้น องค์จักรพรรดิเหลือไว้เพียงเฮ่อฟั่ง

เฮ่อฟั่งเป็นบุตรชายคนโตของเฮ่อเซียง มีตำแหน่งขุนนางในราชสำนัก เป็นผู้ที่องค์จักรพรรดิสนับสนุนให้เลื่อนขั้นสูง ก็นับว่าเขาเป็นที่โปรดปรานเป็นที่เชื่อใจขององค์จักรพรรดิ

ถึงแม้ว่าเฮ่อเซียงจะเป็นขุนนางเก่าของราชวงศ์ก่อน แต่เขาเพียงอยากรักตนเอง ปกป้องตนเอง ไม่อยากคลุกคลีอยู่ในนั้น และบุตรชายของเขาเฮ่อฟั่งก็มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ทุ่มเทอย่างมากที่จะร่วมมือกันกดขุนนางเก่า

เฮ่อฟั่งกราบทูลว่า“องค์จักรพรรดิจัดเตรียมล่วงหน้าวางใจแต่งตั้งให้บัณฑิตเดินทางไปเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ? องค์หญิงจิ้งเสียนออกจากเมืองหลวงไปหลายวันแล้ว แต่ครั้งนี้มีวิธีที่แตกต่างแต่เป้าหมายเดียวกันกับบัณฑิต ดังนั้นกระหม่อมเลยมีความกังวลใจว่าบัณฑิตจะช่วยองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิกล่าวขึ้นว่า“วิธีที่แตกต่างแต่เป้าหมายเดียวกันนั้นดี เส้นทางที่ไป ไม่แน่ว่าจะสามารถกลับมาได้ ”หยุดไปครู่หนึ่งแล้ววางสาส์นกราบทูลข้อราชการของขุนนางที่อยู่ในมือลง แล้วกล่าวต่ออีกว่า“เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด จำเป็นจะต้องหาผู้มาจับตาดูด้วย”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด