ข้าคือหงส์พันปี – บทที่263 ก็ทำให้แม่ทัพใหญ่เจิ้นหนานลิ้มลองรสชาตินี้

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 263 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ผู้คุมมองหน้ากันเลิ่กลั่กไปมา เวลาต่อมาผู้คุมที่นำอาหารมาก็หมุนตัวกลับออกไปจากคุกเพื่อจัดเตรียมอาหารมาใหม่อีกครั้ง

และผู้คุมอีกคนหนึ่งได้ยกอาหารบูดเน่าไปให้จ้าวเทียนฉีที่อยู่ห้องด้านข้าง

จ้าวเทียนฉีเพิ่งจะได้กินไม้แส้ ถึงแม้จะมีชีวิตชีวาสติมากกว่าฉินหรูเหลียง แต่ทั้งตัวนั้นมีรอยเฆี่ยนที่ทำให้ร่างกายอึดอัดไม่สบายตัวด้วย

พอผู้คุมเพิ่งจะเข้ามา เขาแสดงชักสีหน้าหยิ่งยโสแล้วกล่าวขึ้นว่า“ไสหัวออกไปให้หมด!แม่ทัพอย่างข้าไม่กินของเช่นนี้ที่ขนาดสัตว์เดรัจฉานมันยังไม่กินเลย!แม่ทัพอย่างข้าเป็นแม่ทัพใหญ่เจิ้นหนานของต้าฉู่ พวกเจ้ากล้าปฏิบัติอย่างไม่เคารพกับแม่ทัพอย่างข้า!”

ผู้คุ้มสองคนหันเดินไปทางจ้าวเทียนฉีทีละก้าวๆ จ้าวเทียนฉีเงยหน้าขึ้นเห็นเฉินเสียนกับซูเจ๋อยืนนิ่งเฉยอยู่ด้านนอกประตูคุก

จ้าวเทียนฉีกล่าวอย่างไม่พอใจว่า“พวกเจ้าเป็นทูตต้าฉู่ที่มาเจรจาสันติภาพใช่หรือไม่ ยังยืนงงอะไรกันอยู่เล่า หรือว่าจะลืมตามองผู้คุมต่ำต้อยสองคนดูถูกต้าฉู่เช่นนี้?! ”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพเจิ้นหนานไม่ใช่ว่าไม่ต้องใช้ทูตเจรจาสันติภาพหรือ พวกเขาป้อนข้าวท่าน เกี่ยวข้องอะไรกันกับการดูถูกต้าฉู่ ท่านแม่ทัพกรุณาอย่าเจตนาพูดให้ผู้อื่นตกใจเลย”

ได้ฟังเช่นนี้ ผู้คุมทั้งสองคนก็ไม่ได้เกรงกลัวหรือกังวลอะไร จ้าวเทียนฉีไม่ยอมกิน คนหนึ่งใช้นิ้วแยกปากเขาออก อีกคนหนึ่งกำลังจะกรอกเข้าไปด้านใน

จ้าวเทียนฉีเคยได้รับความอัปยศเช่นนี้ที่ไหนกันเล่า กลิ่นอาหารเน่าบูดทำให้เขาแทบจะอาเจียนออกมา ด้วยเหตุนี้โดยส่วนใหญ่ถูกเขาอาเจียนออกมาเปื้อนพื้น

เฉินเสียนกล่าวว่า“เก็บที่อยู่บนพื้นขึ้นมากรอกต่อ จนถึงเขายอมกินทั้งหมดแล้วค่อยหยุด ”

“ท่านคนต่ำช้า!”จ้าวเทียนฉีด่าออกมาทั้งหมดว่า“ท่านอาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัว!”

เฉินเสียนก้มลงปัดปลายกระโปรง ยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวขึ้นว่า“ข้าเป็นเพียงองค์หญิงของราชวงศ์ก่อนหน้า คนต่ำต้อยคำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก จะมีความแค้นกับท่านแม่ทัพได้ที่ไหนกัน”

ไม่นาน ผู้คุมได้ส่งอาหารสดใหม่มา ความอุ่นร้อนยังอยู่

เฉินเสียนยกอาหารแล้วนำเข้าไปในห้องขังของฉินหรูเหลียงด้วยตัวเอง

เธอหน้าไร้ความรู้สึกใช้ช้อนตักอาหาร ยื่นเข้าไปที่ข้างปากของฉินหรูเหลียง ไม่ว่าจะส่งเข้าไปในปากเขาอย่างไร เขาก็ยังกัดฟันแน่นไม่อ้าปากเลย

เฉินเสียนพูดอย่างเรียบเฉยว่า“ท่านไม่กินก็ได้ อยู่แบบหิวตาย ต้าฉู่ใช้คูเมืองมาแลกเปลี่ยนต้องการนำตัวท่านกลับไป ข้าก็ไม่ได้ถือสาที่สุดท้ายจะแลกศพหนึ่งกลับไป”

ฉินหรูเหลียงชะงักงัน ลืมตาขุ่นมัวมองเธอ

เฉินเสียนก้มหน้าแล้ว ตักข้าวขึ้นมาใหม่ วางทิ้งไว้บนขอบชาม แล้วกล่าวอีกว่า“รอหลังจากกลับไปแล้ว ข้าก็จะฆ่าหลิ่วเหมยอู่ทิ้งซะ แล้วนำมาฝังศพร่วมกับท่าน จวนแม่ทัพมีหลายปากหลายท้องทุกระดับชั้น เมื่อตกต่ำลงผู้ใกล้ชิดพากันตีจาก เช่นนี้ท่านมีความสุขแล้วใช่หรือไม่?”

นานมาก จนฉินหรูเหลียงได้เคลื่อนไหวริมฝีปากแห้งนั้น

ตอนที่เฉินเสียนป้อนเขาอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ยอมอ้าปาก ทีละคำๆแล้วกินอาหารนั้นลงไปทั้งหมดเลย

เฉินเสียนสั่งให้ผู้คุมเอาน้ำมา เขาราวกับว่าดื่มเป็นเวลานาน ดื่มน้ำนั่นอย่างกระหาย สำลักชั่วขณะ แล้วไอเสียงทุ้มต่ำออกมา

เวลาต่อมาเขาได้ฟื้นฟูกำลังมาบ้าง พยายามคลานขึ้นมาจากพื้นด้วยตัวเอง นั่งพิงอยู่บริเวณกำแพง หายใจหอบอยู่ชั่วประเดี๋ยวเดียวถึงมีแนวโน้มสงบลงได้

เฉินเสียนมอบชามเปล่าให้ผู้คุม รวบกระโปรงลุกขึ้น เธอไม่เคยมองเขานานเลยแล้วหมุนตัวเดินจากไป

ทันใดนั้นฉินหรูเหลียงกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งว่า“ข้าคิดว่าชาตินี้ของข้า จะไม่ได้เจอท่านอีกแล้ว”

เฉินเสียนกล่าวอย่างเย็นชาว่า“ท่านแม่ทัพพูดน่าขันแล้ว ข้าไม่มีค่าพอที่ท่านแม่ทัพจะเป็นห่วงเพราะคิดถึงหรอก ท่านแม่ทัพยิ่งเป็นห่วงเพราะคิดถึงคือหลิ่วเหมยอู่ แต่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ เป็นหรือตาย ข้าจะทำให้ชาตินี้ท่านได้พบนางอยู่แล้ว”

เวลานี้ผู้คุมนำอาหารทั้งหมดกรอกลงไปในท้องของจ้าวเทียนฉีแล้ว และจ้าวเทียนฉียังด่าไม่หยุดเลย

เฉินเสียนกับซูเจ๋อยืนอยู่ที่ทางเดินด้านนอกห้องขัง เธอได้ยินคำพูดน่ารังเกียจเหล่านั้น แสยะริมฝีปากแล้วพูดกับซูเจ๋อว่า“ดูฉินหรูเหลียงแล้ว ตอนนี้ก็ถึงตาเขาแล้ว”

ซูเจ๋อกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า“ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นท่านที่อยู่ด้านนอกรอแล้ว?”

โชคดีที่เย่เหลียงไม่ได้ห้ำหั่นหัวจ้าวเทียนฉีลงมา ไม่เช่นนั้นจะสนุกอย่างตอนนี้ที่ไหนกันเล่า

เฉินเสียนกล่าวว่า “เรื่องนี้จุดเริ่มต้นครั้งแรกข้าเป็นคนทำ ตอนนี้ควรจะเป็นข้าที่จัดการกับปัญหาด้วย”

“เหมือนว่าท่านพูดนั้นมีเหตุนะ”

ต่อมาเฉินเสียนจึงเดินผ่านเขาไป มุ่งตรงเข้าไปในห้องขังของจ้าวเทียนฉี

จ้าวเทียนฉีถูกโซ่เหล็กพันแขนขาสองข้าง โซ่เหล็กนั้นยื่นลงมาจากผนังด้านบน เขาหลบหนีไม่ได้โดยสิ้นเชิง

พอเห็นเฉินเสียนทำราวกับไม่มีอะไรเดินเข้ามา จ้าวเทียนฉีเกลียดชังอย่างรุนแรง เสียงโซ่เหล็กดังครืดคราด แล้วเขาโผเขาหาทันที

น่าเสียดายที่ยังไม่ได้ประชิดตัวเฉินเสียนเลย เฉินเสียนยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งเหยียบบนแผ่นอกของเขา

กำลังนั้นมากเกินกว่าที่จ้าวเทียนฉีจินตนาการคิดไว้ ไม่คล้ายกับแรงของรอยเท้าที่หญิงคนหนึ่งควรจะมีเลย

ร่างของจ้าวเทียนฉีถูกกระทุ้งอยู่บนฝาผนังทันที เขาราวกับได้ยินเสียงกระดูกซี่โครงของตัวเองถูกถูกเตะจนขาดหัก

ดังนั้นก็ชี้ขาดแล้วหนึ่งเรื่อง

จ้าวเทียนฉีเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างตื่นตกใจว่า “ท่านเป็นผู้ต่ำช้า ที่แท้คาดไม่ถึงเลยว่าจะทำศิลปะการต่อสู้กังฟูได้…..”

เฉินเสียนกล่าวราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นว่า“ยังไง กำลังนี้ทำให้ท่านไม่สงบสุขใช่หรือไม่?”

เธอหัวเราะ แล้วกล่าวขึ้นว่า“เดิมทีข้าอยู่ที่เมืองเสวียนรอท่านได้รับชัยชนะกลับมา แต่ทว่าตอนสุดท้ายคิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอกันที่นี่ แม่ทัพจ้าว เป็นเชลยศึกของเมืองศัตรูรสชาติเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”

เธอกล่าวถามว่า“ท่านไม่ใช่พูดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าฉินหรูเหลียงหรือ? ท่านไม่มีทางถูกเย่เหลียงจับได้ และยิ่งไม่มีทางเป็นเชลยศึกของเย่เหลียง”

จ้าวเทียนฉีกล่าวอย่างเกลียดชังว่า “แม่ทัพอย่างข้าหากไม่ใช่ว่าถูกเย่เหลียงดักซุ่มโจมตี จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน !สรุปว่าผู้ใดแพร่งพรายข่าว กลับไปแม่ทัพอย่างข้าจะต้องตรวจสอบจนความจริงปรากฏ !”

เฉินเสียนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า“รองแม่ทัพเหล่านั้นของท่านถูกตัดศีรษะแล้ว แขวนอยู่ที่กำแพงเมือง ตอนที่ข้าเดินผ่านทางเดินล่างนับๆดูแล้ว ไม่มากและก็ไม่น้อยนะ”

ดวงตาของจ้าวเทียนฉีแดงก่ำ

เฉินเสียนกล่าวอีกว่า“แต่เย่เหลียงไว้ชีวิตท่าน ท่านก็ควรจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เย่เหลียงจับท่านแม่ทัพของต้าฉู่สองท่านไว้ ตอนที่เจรจาสันติภาพจะยิ่งเพิ่มความมั่นใจ เพราะว่ามีท่านเป็นแต้มต่อ ตอนนี้พวกเขาต้องการเจ็ดคูเมืองของต้าฉู่เลยนะ”

“ความคิดเพ้อฝันที่ไม่เป็นจริงหรอกนะ!”

เฉินเสียนถามว่า “เช่นนั้นตามที่แม่ทัพจ้าวมอง เรื่องนี้ควรจะทำอย่างไร?”

“แล้วควรจะทำอย่างไร?”จ้าวเทียนฉีกล่าวด้วยท่าทางวางมาดว่า“พวกเจ้าเป็นทูตเจรจาสันติภาพ ไม่ว่าเงื่อนไขใด นั่นล้วนเป็นสิ่งที่พวกเจ้าควรทำ!ข้าคือแม่ทัพใหญ่เจิ้นหนาน หรือว่ายังไม่คุ้มราคาสองเมืองนั้นหรือ?!”

เวลาเร่งด่วน คือต้องแลกเขาคืนกลับไป เขาไม่สนใจว่าเย่เหลียงจะพูดเงื่อนไขอะไรเลย

รอหลังจากที่เขากลับไป คงจะต้องนำกองทัพใหญ่เหยียบเย่เหลียงให้ราบแล้ว แก้แค้นที่ดูถูกเขาในวันนี้!

เฉินเสียนกล่าวเสียงเบาว่า“แต่ก่อนหน้านี้แม่ทัพจ้าวพูดว่า โยนศีรษะของเหล่าทหารกล้าเลือดสาดกระเด็นเป็นการนำมาใช้ปกบ้านป้องเมือง แต่หากแม่ทัพจ้าวมีสำนึกว่ามีฐานะเป็นทหาร ก็ควรที่จะตัดด้วยความสมัครใจเอง และไม่ใช่ให้ต้าฉู่ทำเพื่อแม่ทัพจิ๊บจ๊อยและแบ่งคูเมืองให้”

จ้าวเทียนฉีถลนลูกตาออกมา จ้องเขม็งใส่เฉินเสียน“ข้าเป็นท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้นหนานของต้าฉู่!”

เฉินเสียนกล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า“แต่ไหนแต่ไรต้าฉู่ไม่ขาดแม่ทัพเลยนะ”

จ้าวเทียนฉีคิดไม่ถึงสมัยนั้นเขาพูดคำพูดเหล่านั้นไม่นานก็เป็นความจริงอยู่บนตัวเขาแล้ว

จ้าวเทียนฉีกล่าวพูดอย่างไม่คิดว่า“หญิงน่ารังเกียจ ท่านจงใจกระตุ้นข้า เย็นวันนั้นเป็นท่านที่จงใจกระตุ้นข้า!”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด