ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 298 หัวใจของผู้คน

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 298 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เฉินเสียนเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “สวัสดิการของข้าพิเศษเกินไปแล้ว”

ซูเจ๋อนำอาหารเข้าไปให้เฉินเสียนในห้องและกล่าวว่า “ท่านคือองค์หญิง เดิมทีควรได้รับการดูแลอยู่ท่ามกลางความหรูหราและมีเกียรติ แต่ตอนนี้ท่านมีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับทหารและประชาชน ต้องลำบากและอดทน เสวยผักป่านิดหน่อยก็ไม่ได้นับว่าพิเศษอะไร”

เฉินเสียนนั่งลงที่โต๊ะ เมื่อช่วงกลางวันเธอไม่ได้สนใจกินอะไรเลย ตอนนี้เมื่อเห็นอาหารอยู่ตรงหน้าจึงเริ่มหิวขึ้นมานิดหน่อย

ซูเจ๋อยื่นตะเกียบให้เธอ เธออยากจะลองชิมเต็มที พอชิมแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาและถามว่า “ใครทำผักป่านี่หรือ”

“เฮ่อโยวเป็นคนล้างผัก แม่ทัพฉินก่อไฟ ส่วนการทำอาหาร” ซูเจ๋อถามกลับเบาๆ ว่า “ข้าทำไม่อร่อยหรือ”

เฉินเสียนประหลาดใจมาก “ท่านหมายความว่าพวกเขาช่วยเป็นลูกมือให้ท่าน และท่านเป็นคนทำอาหารจานนี้งั้นหรือ”

ซูเจ๋อยิ้ม “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าทำอาหาร ข้าไม่มีประสบการณ์ ถ้าไม่อร่อยก็โปรดอภัยด้วย”

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเจ๋อทำอาหารให้เธองั้นหรือ

เฉินเสียนมองผักป่าในจานและพยักหน้า กล่าวว่า “อร่อย อร่อยมาก”

ไม่ใช่แค่ว่าเป็นการทำอาหารครั้งแรกของซูเจ๋อ คิดๆ ไปแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฮ่อโยวออกไปขุดผักป่าและนำมาล้าง และก็น่าจะเป็นครั้งแรกที่ฉินหรูเหลียงนั่งอยู่หน้าเตาเพื่อก่อไฟทำอาหาร

เธอจะยอมละทิ้งน้ำใจเหล่านี้ไปเฉยๆ ได้อย่างไร

เฉินเสียนกินด้วยความเอร็ดอร่อย เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าซูเจ๋อกำลังมองเธออยู่ เธอจึงเอ่ยช้าๆ ว่า “ข้ากินอยู่คนเดียวเลย ท่านอยากลองชิมไหม”

ซูเจ๋อถามว่า “ข้าทำอร่อยมากเลยหรือ”

เฉินเสียนพยักหน้า “อร่อยมาก”

ซูเจ๋อไม่ค่อยเชื่อ ดังนั้นจึงหยิบตะเกียบจากมือเธอแล้วชิมหนึ่งคำ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “ไม่มีรสชาติ ข้าคงเติมเกลือน้อยไป”

เฉินเสียนหรี่ตาและยิ้ม จากนั้นจึงพูดว่า “รสชาติอ่อนลงหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้ลิ้มรสความสดดั้งเดิม ข้าไม่คิดเลยว่าพวกท่านจะแบ่งงานทำอาหารกันได้ชัดเจนแบบนี้”

“ช่วงนี้ท่านลำบากมาก พวกเขาทุกคนคอยเฝ้ามองอยู่” ซูเจ๋อยกมือขึ้นลูบเส้นผมที่ข้างหูของเธออย่างแผ่วเบา

ท่าทีที่อ่อนโยนของเขาทำให้เฉินเสียนตกหลุมลงไปอีกครั้งและยากที่จะปีนขึ้นมา

เฉินเสียนกล่าวว่า “ทุกคนต่างก็ลำบาก”

“แต่ท่านไม่เหมือนกัน ท่านเป็นสตรี ท่านเป็นองค์หญิง เดิมทีแล้วทุกคนควรปกป้องท่าน” ซูเจ๋อกล่าว “แต่มีบางสิ่งที่เราทำแทนท่านไม่ได้ ท่านต้องทำด้วยตัวเอง และตอนนี้ท่านก็ทำได้ดีมาก ภายในใจของทหาร ประชาชน และผู้อพยพเหล่านั้น อำนาจบารมีของท่านตอนนี้มีมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “นอกจากกองกำลังทหาร บนโลกนี้ยังมีอาวุธที่ทรงพลังอีกอย่างหนึ่งซึ่งก็คือหัวใจของผู้คน ยิ่งรวบรวมหัวใจของผู้คนได้มากเท่าใด ในอนาคตท่านก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น”

ทีแรกเฉินเสียนไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ซูเจ๋อคิดไว้เพื่อเธอ

เธอเพียงแต่รู้ว่ามีไข้รากสาดน้อยลุกลามในหมู่ทหารและประชาชนที่เหลืออยู่ในเมือง มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องยา ถ้าเธอไม่ออกไปหายาแล้วใครจะออกไป

ยิ่งมีความชื้นและความหนาวเย็นจากสายฝนที่ตกลงมา เธอยิ่งต้องออกไปหาอาหารมาให้มากที่สุด เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องอดตายในเมืองที่ว่างเปล่าแห่งนี้

ในฐานะองค์หญิงจิ้งเสียน แม่ทัพโฮ้วกับทหารเหล่านี้อยู่รักษาการณ์ที่เมืองเสวียนมาตลอด เพื่อรอให้พวกเขากลับมาจากเย่เหลียงอย่างปลอดภัยก่อนจะถอยทัพออกมา

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เธอจะงอมืองอเท้ารอขอให้ผู้อื่นมาปรนนิบัติอยู่ได้อย่างไร เธอจำเป็นจะต้องทำตนเป็นแบบอย่างจึงจะกระตุ้นให้ทุกคนกระตือรือร้นขึ้นมาได้

ทหารที่ติดเชื้อไข้รากสาดน้อยอุตส่าห์รอดชีวิตจากสงครามและฟื้นคืนชีวิตจากสมรภูมิแห่งความเป็นความตายมาได้ หากสุดท้ายต้องมาเจ็บป่วยและล้มตายในต่างถิ่นเช่นนี้ คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า

เฉินเสียนจะไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ดังนั้นเธอจึงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาทหารทุกคนที่ป่วยเป็นไข้รากสาดน้อย นอกจากนี้เธอจะไม่ทิ้งประชาชนคนใดไว้ข้างหลัง

หลังจากกินอาหารมื้อค่ำเสร็จแล้ว ซูเจ๋อซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เฉินเสียนก็หยิบยาขี้ผึ้งออกมาและทาลงบนมือทั้งสองข้างของเธออย่างพิถีพิถัน

ยาขี้ผึ้งยังคงเป็นกลิ่นหอมของยาที่คุ้นเคย เป็นยาที่เขาปรุงขึ้นมาที่ราชนิเวศน์ยามเมื่อมีเวลาว่าง

ยาขี้ผึ้งชนิดนี้ได้ผลดีมาก แม้ว่าเฉินเสียนจะมีบาดแผลที่มือเพราะขาดความระมัดระวัง แต่เมื่อทายาขี้ผึ้งนี้แล้วก็จะไม่หลงเหลือรอยแผลหรือรอยด้านไว้เลย

เฉินเสียนทามือของเธอด้วยปลายนิ้วอันอบอุ่นของเขา เธอฟังซูเจ๋อเอ่ยขึ้นมาว่า “คราวนี้ฝนตกนานเกินไป เกรงว่าอีกไม่นานจะกลับไปเมืองหลวงไม่ได้”

เมื่อพูดถึงเมืองหลวง เฉินเสียนก็รู้สึกต่อต้านขึ้นมา

ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าน่องน้อยยังอยู่ในเมืองหลวงเธอคงไม่คิดจะกลับไปที่นั่นอีก เธอกับซูเจ๋อคงจะพากันบินหนีไปได้ไกลแสนไกล ถึงแม้มันจะเป็นความคิดที่ดูเพ้อฝันก็ตาม

เฉินเสียนเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าเองก็ไม่ได้มีความคิดอยากจะกลับไปเร็วขนาดนั้น”

“หากหลีกเลี่ยงจากน้ำหลากในช่วงสารทฤดูไม่ได้จริงๆ หนทางจากที่นี่ไปเมืองหลวงก็ยังอีกยาวไกล ระหว่างทางอาจพบเจอผู้ประสบภัยมากขึ้น ทั้งภัยธรรมชาติและภัยที่มนุษย์ก่อขึ้น ผู้ที่ลำบากคือประชาชน ตลอดทางหลังจากนี้อาเสียนจะต้องรวบรวมหัวใจของผู้คนเอาไว้”

เฉินเสียนตั้งใจฟัง ทว่าไม่ได้พูดอะไร

ซูเจ๋อกล่าวอีกว่า “เดิมทีที่พรมแดนทางใต้มีแม่ทัพโฮ้ว และเมื่อบรรลุข้อตกลงกับเย่เหลียง ทางเป่ยเซี่ยจะไม่ขัดขวางการชิงราชบัลลังก์กลับคืนของท่าน ดังนั้นจะบัญชาการทหารให้ไปทางเหนือในเวลานี้ก็ไม่เป็นไร”

เขาพูดอย่างสบายๆ ราวกับว่าการโค่นล้มการปกครองเป็นแค่เรื่องธรรมดา

เฉินเสียนขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ถ้าเกิดน้ำท่วมขึ้นจริงๆ ประชาชนจะพลัดถิ่นและไร้ที่อยู่อาศัย ถึงเวลานั้นจะมีใจไปทำสงครามได้อย่างไร เลือดจะหลั่งไหลลงสู่แม่น้ำและสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เหลือไว้แต่เพียงบาดแผลและความรกร้างว่างเปล่า”

ตลอดทางที่ผ่านมาทหารของต้าฉู่ถูกฆ่าตายและได้รับบาดเจ็บนับไม่ถ้วน เธอเห็นความอ่อนแอและความเหนื่อยล้าของทหารเหล่านั้น นอกจากนี้ยังเห็นผู้ลี้ภัยที่ต้องสูญเสียครอบครัวตั้งมากมาย

เธอจะสบายใจได้อย่างไร ถ้าหากว่าท้ายที่สุดต้องให้คนเหล่านี้มาทำเพื่อเธอโดยที่พวกเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

เฉินเสียนไม่ใช่นักปราชญ์ผู้อุทิศชีวิตเพื่อโลก แต่เธอก็ไม่ได้โหดร้ายถึงขนาดไม่คำนึงถึงราคาที่ต้องแลกกับชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนเหล่านี้

“อาเสียนพูดถูก ตอนนี้ต้าฉู่ไม่อาจรับมือกับสงครามอันโกลาหลได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้ได้มา มันก็จะมีเพียงความวุ่นวาย” ซูเจ๋อเงยหน้ามองเธอ เขายิ้มและกล่าวอีกว่า

“บัญชาการให้ขึ้นเหนือ ยอมให้ประชาชนทนทุกข์กับความลำบากจากสงครามอีกครั้งเพื่อแผนต่อๆ ไป การชนะโดยไม่ต้องต่อสู้คือแผนที่ดีสุด

ข้าจึงอยากให้อาเสียนรวบรวมจิตใจของผู้คนตลอดทางตั้งแต่ทางใต้ไปขึ้นเหนือไปสู่เมืองหลวง ถึงแม้กองทัพใหญ่จากทางใต้จะขึ้นเหนือ ก็จะมีผู้คนที่ยินดีเปิดเมืองต้อนรับกองทัพเพื่อองค์หญิง และทำให้องค์หญิงชนะโดยที่ไม่ต้องสู้”

เฉินเสียนเอ่ยอย่างตกใจว่า “แต่จะต้องมีอำนาจชื่อเสียงมากจึงจะทำเช่นนี้ได้”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “ตอนนี้แม้แต่เทพพระเจ้าก็ยังช่วยองค์หญิง ตราบใดที่องค์หญิงช่วยผู้คนจากความอดอยากและน้ำท่วมได้ อำนาจและชื่อเสียงย่อมต้องเพิ่มขึ้น”

เฉินเสียนทายาจนครบสิบนิ้ว เธอนอนอยู่บนเตียงและฟังเสียงเสียงดังเปาะแปะของสายฝนด้านนอก เธอไม่ง่วงเลยจนนิดเดียว

ซูเจ๋อเก็บจานชามและตะเกียบออกไปแล้ว

ขณะนั้นเขายืนอยู่นอกประตู แสงไฟสลัวบนทางเดินหวิวไหวตามแรงลม ทำให้เงาของเขายิ่งดูเยียบเย็นและมืดมน

เขาเดินเลียบไปตามม่านน้ำที่หยดลงมาจากชายคา เงยหน้ามองความมืดมิดยามค่ำคืนด้วยดวงตาที่ดำขลับไม่ต่างจากสีของท้องฟ้า

ตกลงมาเถอะ ฝนยิ่งตกต่อเนื่องไปแบบนี้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ได้แต่หวังว่าภัยธรรมชาตินี้จะทำให้เธอมีชื่อเสียงไปอีกนับพันๆ ปี

เมื่ออาการของทหารและประชาชนดีขึ้นบ้างแล้วก็ไม่ควรล่าช้าอยู่อีก แม่ทัพโฮ้วพากองกำลังและประชาชนเดินหน้าไปยังเมืองถัดไปอีกครั้งรวมกำลังพล

เมืองถัดไปคือเมืองอวิ๋น หลังจากที่ต้าฉู่แพ้สงครามและต้องเสียคูเมืองไปสามเมือง ต่อจากนี้เมืองอวิ๋นจะกลายเป็นเส้นแบ่งพรมแดนแห่งใหม่ระหว่างต้าฉู่กับเย่เหลียง

ตอนนี้กองกำลังของต้าฉู่ตั้งมั่นอยู่ที่เมืองอวิ๋นและจัดวางกองกำลังป้องกันอย่างแน่นหนา

เดิมทีคิดว่าเมื่อมารวมตัวกับกองทัพใหญ่ก็จะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก

แต่เนื่องจากผู้ประสบภัยที่อยู่บริเวณใกล้เคียงมีมากขึ้นเรื่อยๆ ฤดูน้ำหลากคราวนี้จึงมีโอกาสที่จะสั่งสมจนกลายเป็นหายนะ ไม่มีใครกล้าประมาทเลยสักคน

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด