ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 465 เฉินเสียน เจ้ากำลังทำอะไร
ดังนั้นขณะที่คณะของสมเด็จพระราชชนนียังเสด็จมาไม่ถึงพระตำหนักไท่เหอ ขันทีผู้เฝ้าต้นทางก็รีบกลับมาหาเฉินเสียนและกล่าวอย่างตื่นตระหนกว่า “องค์หญิงจิ้งเสียน ตอนนี้จะทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ สมเด็จพระราชชนนีกับพระสนมฉี ทั้งสองพระองค์กำลังเสด็จมาที่นี่! องค์หญิงยอมรับผิดกับสมเด็จพระราชชนนีดีไหมพ่ะย่ะค่ะ บางทีพระองค์อาจจะลดโทษให้บ้าง…”
แม่นมซุยกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เป็นหน้าที่ที่เจ้าจะมาสอนองค์หญิงหรือว่าควรทำเช่นไร มีอะไรต้องทำก็ไปทำซะ”
ขันทีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอย
แม่นมซุยค่อนข้างใจเย็น ในขณะที่อวี้เยี่ยนและเสี่ยวเฮอซึ่งอยู่ข้างๆ วิตกกังวลเป็นอย่างมาก
ส่วนเฉินเสียนกับเจ้าน่องน้อยไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย
เฉินเสียนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไปเอาขวานที่ใช้ผ่าฟืนในครัวมาให้ข้า”
เสี่ยวเฮอได้ยินแล้วแทบจะคุกเข่าทันที นางกล่าวว่า “องค์… องค์หญิง พระองค์จะนำไปฟันสมเด็จพระราชชนนีหรือเพคะ ไม่ได้นะเพคะ องค์หญิงต้องทรงใจเย็นๆ!”
เฉินเสียนเหลือบมองนางและกล่าวอย่างขบขัน “ถ้าข้าฟันสมเด็จพระราชชนนีจริงๆ ไม่ว่าใครก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อ ข้าจะคิดไปถึงขึ้นนั้นเลยหรือไร”
อวี้เยี่ยนรีบไปหยิบขวานผ่าฟืนมาให้อย่างกระตือรือร้นและกล่าวว่า “ถ้าไม่ฟันสมเด็จพระราชชนนี เช่นนั้นฟันพระสนมฉีก็ยังดีเพคะ ผู้หญิงชั่วร้ายเช่นนั้นต้องเอาขวานผ่าครึ่ง!”
เฉินเสียนควงขวานแล้วเดินออกไป
เธอยืนอยู่บนสะพานไม้และหรี่ตามองกลุ่มคนซึ่งมีท่าทีโหดร้ายที่เดินมาจากฝั่งตรงข้าม สตรีสองคนผู้เป็นนายเดินประคองกันมา คนที่แก่กว่าคือสมเด็จพระราชชนนี ส่วนคนที่อ่อนเยาว์กว่าก็น่าจะเป็นพระสนมฉี
เฉินเสียนกระตุกยิ้ม เมื่อคนกลุ่มนั้นกำลังจะเดินมาถึงฝั่งตรงข้าม เฉินเสียนก็เริ่มออกแรงยกขวานและจามเข้าที่สะพาน
พฤติกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งที่สมเด็จพระราชชนนีและพระสนมฉีไม่คาดคิดว่าจะเห็น ในสายตาของทุกคน พฤติกรรมของเฉินเสียนเป็นสิ่งที่บ้าเกินไป บ้าจนดูเหมือนคนบ้าคนหนึ่ง
ขวานนั้นอันตราย ยิ่งเมื่อจามลงบนสะพานไม้เล็กๆ บางๆ ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น จระเข้ที่อยู่ในน้ำได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวและว่ายน้ำมาเป็นฝูง จากนั้นจึงเฝ้ามองอย่างกระตือรือร้น
ทุกคนตกใจจนต้องถอยหนีและไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้สะพาน
มิเช่นนั้นหากเฉินเสียนฟันสะพานจนขาดและตกลงไปในทะเลสาบโดยไม่ทันระวัง ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวก็คือจะต้องกลายเป็นอาหารของจระเข้
สมเด็จพระราชชนนีชี้นิ้วไปที่เฉินเสียนและคำรามอย่างกริ้วโกรธว่า “เฉินเสียน! เจ้ากำลังทำอะไร!”
เฉินเสียนไม่ตอบและยังคงออกแรงต่อไป ทันใดนั้นเสียงแตกหักของสะพานไม้ก็ดังขึ้นเบาๆ ยิ่งฟันลงไปเธอก็รู้สึกกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดก็เกิดเสียง “ตู้ม” เฉินเสียนใช้ขวานแยกสะพานออกเป็นสองฝั่ง ท่อนไม้บางส่วนที่วางเรียงๆ กันไว้เป็นสะพานคลายออกและตกลงไปในน้ำ และไม้ที่แตกลงไปนั้นก็ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นมา
สะพานไม้ทั้งแผงกำลังจะพังทลายลงมา
เฉินเสียนยืนอยู่ตรงนั้น เธอกระทุ้งขวานในมือลงกับพื้น ส่วนมืออีกข้างก็เท้าสะเอวไว้และถอนหายใจออกมา หลังจากนั้นเธอจึงเงยหน้ามองสมเด็จพระราชชนนีและพระสนมฉีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าของสตรีทั้งสองแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
เฉินเสียนจึงถือโอกาสเอ่ยออกไปอย่างดุดันและฉุนเฉียวว่า “มีข้าอยู่ ใครก็ห้ามรังแกลูกชายของข้าทั้งนั้น! ไปที่ https://th.readeraz.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! เธอต้องการจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่เธอทำไปทั้งหมดนั้นก็เพียงเพื่อปกป้องลูกชาย เห็นได้ชัดว่าเธอดูหวาดกลัวและไม่ได้ตั้งใจจะขัดพระประสงค์ แต่ด้วยความสิ้นหวัง เพื่อปกป้องลูกชาย เธอจึงต้องทำเรื่องบ้าๆ เช่นนี้
ถึงแม้วิธีนี้จะดูน่ากลัว แต่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เข้าใจได้
เฉินเสียนเองก็ชี้ไปที่พระสนมฉีและกล่าวว่า “เป็นพระองค์ที่พาองค์ชายห้ามาที่พระตำหนักไท่เหอและต้องการให้องค์ชายห้าผลักลูกชายของข้าลงไปในทะเลสาบ! เป็นอสรพิษใจดำอำมหิต ต้องการให้องค์ชายห้าจัดการกับลูกของข้าตามลำพัง ไม่ยอมให้ขันทีและนางกำนัลเข้าใกล้! ลูกชายของพระนางหกล้มเอง แต่ลูกชายของข้ากลับถูกตำหนิ! ข้าจะบอกให้ วันนี้ข้าอยู่ที่นี่ พระองค์อย่าได้คิดเพ้อเจ้อ!”
สีหน้าของพระสนมฉีเปลี่ยนไป นางตะโกนไปว่า “นังสารเลว! หยุดเอาเลือดในปากมาสาดคนอื่นได้แล้ว!”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เอาเลือดในปากไปสาดใคร ขันทีและนางกำนัลทุกคนที่นี่เห็นกับตา ยังจะมาอ้างว่าพระองค์ถูกใส่ร้ายอีกหรือ!”
พระสนมฉีประคองสมเด็จพระราชชนนีและร้องห่มร้องไห้ “สมเด็จพระราชชนนีเพคะ องค์ชายห้าเป็นถึงขนาดนั้น นางสารเลวผู้นี้ยังมาใส่ร้ายป้ายสีหม่อมฉัน สมเด็จพระราชชนนีทรงทวงความยุติธรรมให้หม่อมฉันด้วยเพคะ!”
สมเด็จพระราชชนนีทรงพิโรธอย่างหนัก ทรงเอ่ยกับเฉินเสียนอย่างฉุนจัดว่า “ลูกชายของเจ้ามีอะไรดีจึงกล้ามาเทียบชั้นกับองค์ชาย! ถึงองค์ชายห้าจะเป็นคนผลักลูกชายของเจ้าตกลงไปในทะเลสาบ นั่นมันก็เรื่องของเขา! เฉินเสียน เจ้าช่างบังอาจนัก คิดว่าองค์จักรพรรดิจะไม่กล้าฆ้าเจ้าจริงๆ งั้นรึ!”
เฉินเสียนถลันไปที่ฝั่งตรงข้ามและตะโกนลั่น “ถ้ามีฝีมือนักก็มาสิ!”
สะพานไม้เพียงแห่งเดียวที่จะนำไปสู่พระตำหนักไท่เหอถูกทำลายแล้ว สมเด็จพระราชชนนีกับพระสนมฉีจะผ่านไปได้อย่างไร ทั้งสองทำได้แต่เพียงจ้องมองไปยังฝั่งตรงข้ามเท่านั้น
เฉินเสียนยกขวานขึ้นมาและหันหลังกลับไปที่พระตำหนักไท่เหอ
เหล่านางกำนัลและขันทีที่พระตำหนักไท่เหอเห็นดังนั้นต่างก็รู้สึกงงเป็นไก่ตาแตก รู้สึกได้รางๆ ว่าสิ่งต่างๆ จะยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ
แต่เฉินเสียนกลับไม่กังวลเลยแม้แต่น้อยและไม่ได้เห็นว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ หลังจากก่อเรื่องจนใหญ่โตแล้วก็ทำได้แค่ต้องพูดออกไปให้ชัดๆ แบบนี้ยังดีกว่าต้องตายอย่างค้างคาใจ
สมเด็จพระราชชนนีทรงโกรธเคืองฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างยิ่ง วันนี้พระนางจะปล่อยไว้แบบนี้อีกไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงรับสั่งให้องครักษ์หลวงซึ่งมีทักษะการต่อสู้ดีเยี่ยมมาทันที พระองค์จะต้องจับจิ้งเสียนและลูกมาลงโทษต่อหน้าพระองค์ให้ได้
แต่การเรียกองครักษ์หลวงมาย่อมจะรบกวนองค์จักรพรรดิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พระสนมฉีรีบเกลี้ยกล่อมพระองค์ทันที “สมเด็จพระราชชนนีเพคะ องครักษ์หลวงต่างก็กำลังปกป้ององค์จักรพรรดิอยู่ หากถูกเรียกมาที่นี่จะต้องเป็นการรบกวนพระองค์แน่ๆ เพคะ ช่วงนี้องค์จักรพรรดิทรงมีพระราชกิจในราชสำนักที่ต้องสะสางมากพออยู่แล้ว เรื่องของวังหลัง เราอย่ารบกวนพระองค์เลยดีกว่าเพคะ”
สมเด็จพระราชชนนีได้ยินดังนั้นก็ทรงรับรู้และตรัสว่า “เจ้านี่ช่างเอาใจใส่จริงๆ แล้วเช่นนี้เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรจึงจะเอาหญิงบ้ากับลูกชายเลวๆ ของนางออกไปให้พ้นได้ ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้ระบายความโกรธ ข้าจะต้องโกรธจนพาลป่วยเป็นแน่”
พระสนมฉีกล่าวว่า “เพียงแค่ให้องครักษ์ธรรมดาๆ ไปนำบันไดยาวๆ มา รับสั่งให้พวกนั้นปีนไปที่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นค่อยใช้เชือกมัดสองแม่ลูกนำมาส่งให้สมเด็จพระราชชนนี แบบนี้เป็นเช่นไรเพคะ”
วิธีนี้ดูน่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นสมเด็จพระราชชนนีจึงรับสั่งให้องครักษ์ไปหาบันไดยาวๆ มา
ผู้คนมากมายพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่พระตำหนักไท่เหอ และแน่นอนว่าจะต้องมีคนนำเรื่องไปทูลถึงพระกรรณขององค์จักรพรรดินีทันที
นางกำนัลข้างกายกระซิบกระซาบว่า “จักรพรรดินีเพคะ พระสนมฉีมิกล้าพูดเรื่องนี้ให้องค์จักรพรรดิทรงทราบ เพราะเกรงว่าจะดูไม่มีเหตุผลเพคะ”
องค์จักรพรรดินีหัวเราะและตรัสว่า “เจ้าดูสิว่านางมีเหตุผลเสียที่ไหน ตัวเองทำผิด ประจบสอพลอเมื่ออยู่ต่อหน้าสมเด็จพระราชชนนีเพื่อให้เรื่องผ่านๆ ไป คราวนี้นางคงคาดไม่ถึงว่าองค์หญิงจิ้งเสียนจะยอมต่อสู้จนตัวตายเพื่อปกป้องโอรส”
จักรพรรดินีไม่ค่อยมีความสำคัญนักในวังหลัง ความสนใจทั้งหมดถูกพระสนมฉีแย่งชิงไป พระองค์จึงได้แต่เฝ้าเลี้ยงดูองค์ชายอย่างสงบในส่วนของพระองค์
แต่องค์ชายห้าของพระสนมฉีมักจะแสดงความฉลาดและดูน่าเอ็นดูเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เขามักจะทำให้องค์จักรพรรดิและสมเด็จพระราชชนนีพอพระทัย ซึ่งนี่เป็นหนามยอกอกขององค์จักรพรรดินีมาโดยตลอด
ดีแล้วที่ตอนนี้องค์หญิงจิ้งเสียนมาประทับอยู่ในวัง องค์ชายห้าจึงกลายเป็นคนขี้ขลาดราวกับหนูผีอย่างที่องค์จักรพรรดินีทรงปรารถนา
นางกำนัลถามว่า “เช่นนั้นเวลานี้ควรทำอย่างไรดีเพคะองค์จักรพรรดินี บ่าวได้ยินมาว่าสมเด็จพระราชชนนีทรงรับสั่งให้องครักษ์ไปนำบันไดมา ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไรก็จะทรงจัดการองค์หญิงจิ้งเสียนและโอรสของพระองค์ให้ได้อยู่ดี”
องค์จักรพรรดินีตรัสว่า “จิ้งเสียนผู้นั้น เพราะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเป่ยเซี่ย องค์จักรพรรดิจึงทำอะไรเพื่อทำลายนางไม่ได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงถูกกักตัวไว้ในพระตำหนักไท่เหอ เวลานี้ทูตของเป่ยเซี่ยใกล้จะมาถึงแล้ว พระสนมฉีไม่อยากให้องค์จักรพรรดิทรงทราบ แต่ข้าจะต้องทำให้พระองค์ทรงทราบ”
คอมเม้นต์