นครแห่งบาป City of Sin – ตอนที่ 0.3 COS – ปฐมบท (Part 3)

อ่านนิยายจีนเรื่อง นครแห่งบาป City of Sin ตอนที่ 0.3 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ในตอนนี้บนเนินเขาแห่งหนึ่ง ข้างถนนสายหลักที่ไกลออกมาจากนัววูดอร์ราวๆ 20 กิโลเมตรมีสภาพราวกับกลายเป็นกองเลือดขนาดใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว ศพของม้าและมนุษย์ที่อาบย้อมไปด้วยเลือดกองซ้อนกัน แม้กระนั้นเสียงของกีบเท้าม้าที่กระทบกับพื้นก็ยังดังขึ้นไม่หยุด เหล่าทหารม้าต่อสู้อย่างดุเดือดที่ตีนของเนินเขา ขณะเดียวกันพวกเขาก็เตรียมจะรุกเข้าไปอีกครั้ง

เเนวป้องกันของเหล่าผู้คุ้มกันและคนอื่นๆในคาราวานขนสินค้ายังไม่ถูกทำลายง่ายๆ แม้ว่าพวกเขาจะสูญเสียพวกพ้องไปแล้วถึง 9 คน แต่ก็ยังเหลืออีก 41 คน อย่างไรก็ตามการต่อสู้ก็ดูจะทวีความรุนแรงและน่ากลัวยิ่งขึ้น การรุกครั้งแรกสร้างความเสียหายให้กับเเนวป้องกันที่เนินเขา  แต่กระนั้นธนูของผู้คุ้มกันก็ไม่ธรรมดา ธนูเพียงดอกเดียวก็สามารถเจาะทะลวงชุดเกราะและทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงได้ ทหารเกราะเบากว่า 20 คนของศัตรูถูกยิงร่วงลงไป ชุดเกราะเบาแทบจะไร้ความหมายเมื่อเจอกับลูกธนูที่คมกริบในระดับนี้

 

ซุหอบหายใจอย่างหนัก มือทั้งสองข้างจับดาบไว้แน่น ขณะที่ใช้มันชี้ไปข้างหน้า ตัวของนางโอนเอนเล็กน้อย นางพยายามตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะรับมือตลอดเวลา สายตาของนางจับจ้องไปที่เมจของอีกฝ่ายที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรอย่างมั่นคง

 

ดาบยาวของซุเรืองเเสงออกมา ปลดปล่อยพลังเวทย์ที่เข้มข้น เห็นได้ชัดว่าดาบนี้คือดาบเวทมนตร์ที่ทรงพลัง แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมาก แต่เด็กสาวผู้นี้ก็เป็นนักดาบที่มีพรสวรรค์ นางสามารถโจมตีได้อย่างรุนแรง เเม้เเต่ทหารม้าก็อาจจะถูกฟันจนขาดเป็นสองท่อนได้ในทันที ถ้าถูกฟันลงไปตรงๆ และความเสียหายของฝ่ายศัตรูกว่าครึ่งหนึ่งก็เกิดจากนางเพียงคนเดียว

 

ไฟ สายฟ้า พายุและการระเบิดกระจัดกระจายไปทั่วสนามรบ เอเลน่าอยู่ระหว่างต่อสู้อย่างเข้มข้นกับเกรทเมจ นางพยายามจะใช้เวทย์ป้องกันพลังของฝ่ายตรงข้ามที่ใช้การโจมตีเพียงเเค่ระดับ 6 โจมตีมา แต่ถึงอย่างนั้น เอเลน่าก็ยังพบว่าพลังของนางมีความแตกต่างจากพลังของศัตรูอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของนางซีดลงทันที หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

 

คาราวานสินค้านี้ถือว่าแปลกประหลาด และไม่ธรรมดา พวกเขามีระดับที่ต่ำกว่าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน แต่อาวุธของพวกเขาและทักษะการต่อสู้กลับเหนือกว่าทหารของอีกฝ่าย ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาสามารถต้านทานการโจมตีที่เเข็งเเกร่งของศัตรูได้นานเป็นเวลานาน

 

ซุพยายามจะเก็บพลังงานของนางไว้ ในดวงตาสดใสในตอนนี้สาดรังสีรุนแรงของจิตสังหารและเจตนาที่จะโจมตีชัดเจน เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ทหารคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเกรทเมจ ตามหลักแล้วนางไม่น่าจะสามารถทำร้ายเขาได้ เนื่องจากทหารม้ากว่า 40 คนคอยขัดขวางอยู่และระยะห่างที่ไกลถึง 100 เมตร แต่ทว่าเกรทเมจ ก็ยังรู้สึกถึงความน่าหวาดหวั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอันตรายที่นางส่งออกมา

 

เขารีบหันไปมองในทันที และก็พบว่าในหมู่นักรบระยะใกล้หลายคนมีเด็กสาวคนหนึ่ง กำลังง้างธนูงดงามที่ถูกสร้างอย่างดีขึ้น มันเป็นธนูสั้นมีขนาดเล็ก ไม่ต่างจากของเล่นของเด็ก เเต่มันกลับปลดปล่อยออร่าที่ดูอันตรายออกมา

 

นักเวทย์คนนั้นยิ้มให้ซุ รอยยิ้มของเขาทำให้นางถึงกับตัวสั่น แต่มือของนางก็ยังจับธนูอย่างมั่นคง นางกำลังจะใช้สกิลและทำการเล็งอย่างแม่นยำ ลูกธนูที่มีความซับซ้อนถูกยิงออกไปราวกับสายฟ้าพุ่งตรงไปที่หน้าผากของเมจ เส้นทางการเคลื่อนที่ของลูกธนูเป็นธรรมชาติ แต่รวดเร็วไร้ซึ่งร่องรอยราวกับว่ามันสามารถข้ามมิติได้ก่อนที่จะไปถึงเป้าหมาย โล่ป้องกันบนตัวเมจค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ

 

นี่คือหนึ่งในสกิลที่ทรงพลังที่สุดของอาเชอร์ —- เมจิคเบรค!

*อาเชอร์ = นักธนู

 

แต่ขณะที่ลูกธนูพุ่งออกไป ซุก็ผ่อนลมหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่นั่นเป็นฉากสุดท้ายของความโล่งใจ ก่อนที่นางจะเบิกตากว้างตัวเเข็งทื่อ

 

เมจคนนั้นยังคงส่งรอยยิ้มเเปลกๆออกมา เกิดควันจากการระเบิดของเวทมนตร์รวมตัวขึ้นที่ด้านหลังเขา กลายเป็นเงาเลือนลางในกลุ่มควันที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ เงานั้นชักดาบออกมา แล้วโผล่ร่างอยู่ข้างหน้าเมจคนนั้นในทันที ลูกธนูพุ่งเข้าปะทะกับดาบของเงานั้นและเด้งออกไปเหมือนเป็นเพียงของเล่น แล้วควันก็เริ่มสลายไปเผยให้เห็นไนท์*ที่สวมชุดเกราะหนัก

*ไนท์ = วอริเออร์(นักรบ) ที่ติดอาวุธและเกราะหนักเต็มยศ และส่วนมากจะมีม้าศึกเป็นของตัวเอง

 

แสงเจิดจ้าแสบตาที่ไม่อาจต้านทานได้ส่องออกมาจากรอยต่อระหว่างรอยต่อบนชุดเกราะของไนท์ และม้าศึกที่เขานั่งอยู่ก็มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นๆที่เหลือ บนม้าไม่มีชุดเกราะหรือบังเหียน แต่มีรูนที่ซับซ้อนอยู่บนขนของมัน

 

“รูนไนท์!” ซุอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก นี่เป็นครั้งแรงที่นางเผยความหวาดกลัวออกมาเช่นนี้

 

รูนไนท์คือนักรับชั้นเลิศในหมู่นักรบชั้นเลิศ  พลังความเเข็งเเกร่งของรูนไนท์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชุดที่พวกเขาใส่ แต่จะขึ้นอยู่กับรูนที่อยู่บนตัวเขาและม้าศึก การที่ไนท์จะถูกเรียกว่าเป็นรูนไนท์ได้นั้น พวกเขาจะต้องมีอย่างน้อย 5 รูนขึ้นไป

 

ในสนามรบ รูนไนท์เพียงคนเดียวก็สามารถทำลายทั้งกองทัพให้ย่อยยับได้อย่างง่ายดาย พวกเขาสามารถบัญชาการสถานการณ์ในสนามรบให้เป็นไปตามใจของพวกเขาได้ รูนไนท์ถือกำเนิดขึ้นเมื่อศตวรรษก่อนและกลายเป็นฝันร้ายสำหรับเผ่าพันธุ์อื่นๆในนัวแลนด์ นับตั้งแต่นั้นมารูนมาสเตอร์ที่สามารถสลักรูนได้ก็กลายเป็นคลาสที่คนต้องการมากที่สุดในทวีป แต่จำนวนของพวกเขามีเพียงหยิบมือ จะต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงมากถึงจะเป็นรูนมาสเตอร์ได้

*รูนมาสเตอร์ = ผู้ที่สามารถจารึกหรือสร้างรูน

 

ซุเริ่มเสียขวัญจากการปรากฎตัวของรูนไนท์ แต่ก่อนที่จะได้ตอบโต้ ก็ปรากฎใบไม้สีเขียวห่อหุ่มร่างกายของนางไว้ ใบไม้นี้ปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมาขณะที่พันธนาการร่างของซุ และไม่ว่านางจะพยายามขัดขืนอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้

 

“เอเลน่า!” ซุกรีดร้อง ร่างกายของนางก็ค่อยๆโปร่งใสและเลือนหายไป ใบไม้พวกนี้เป็นเครื่องมือเวทย์ที่ทรงพลัง มันใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และเป็นเครื่องมือสำหรับส่งเป้าหมายไปในสถานที่ที่กำหนด และพลังอันแข็งแกร่งนั้นก็ไม่สามารถต้านทานได้เลย ก่อนที่จะหายตัวไปซุทำได้เพียงแค่มองดูมานาจำนวนมากรั่วไหลออกมาจากตัวของเอเลน่า พลังของเอเลน่าถูกดูดออกไปเป็นจำนวนมากจนนางล้มลงไป

*มานา = พลังงานสำหรับใช้เวทมนตร์

 

เอเลน่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงตาของนางพร่ามัว การมองเห็นเลือนลาง ตอนนี้นางมองไม่เห็นผู้คุ้มกันที่เหลืออยู่เลยด้วยซ้ำ พลังเวทย์อันทรงพลังของรูนไนท์ส่งผลต่อพวกเขาเช่นเดียวกัน รูนไนท์เตรียมพร้อมที่จะเข้ามาจู่โจมอีกครั้ง เขาสามารถจัดการกับเหล่าทหารเกราะเบาได้อย่างง่ายดาย การจู่โจมครั้งนี้อาจจะสามารถกวาดล้างเหล่าผู้คุ้มกันได้เลย

 

เอเลน่าปฏิญาณไว้กับตนเองอย่างมั่นคงว่า นางจะไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองตกไปอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู กริชหยกปรากฎขึ้นมาในมือของเอเลน่า นางถือมันไว้ในมืออย่างมั่นคงและเล็งไปที่หัวใจของตัวเอง คมของกริชเป็นประกายระยิบระยับสีเงิน ด้วยรูนที่จารึกลงไปมันสามารถทำลายชีวิตและจิตวิญญาณทั้งหมดของนางให้สูญสลายไปได้ กริชนี้สามารถเปลี่ยนให้เอเลน่ากลายเป็นเถ้าถ่านได้อย่างรวดเร็ว

 

รอบๆตัวของนางยังมีบาเรียสุดท้ายปกป้องอยู่ บาเรียนี้เกิดจากเวทย์ที่ผนึกอยู่ในเครื่องประดับที่นางสวมใส่อยู่ เมื่อรู้ว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว เอเลน่าก็เตรียมจะจบชีวิตของตัวเอง นางจะไม่ยอมให้มนุษย์พวกนั้นได้อะไรไปทั้งนั้น

 

อาวุธของทหารม้าพุ่งเข้าปะทะกับบาเรียอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น แต่ครั้งนี้ เอเลน่ากลับรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่คุ้นเคยกำลังเคลื่อนที่เข้ามา

 

ตอนนี้กาตอนอยู่บริเวณอีกด้านของสนามรบ ร่างกายที่แข็งแกร่งและองอาจของรูนไนท์ทำให้ม่านตาของเขาหดย่อลง และมันทำให้เขาอยากจะหนีออกจากที่แห่งนี้ แต่ในตอนที่เขาเห็นบาเรียของเอเลน่ากำลังถูกทำลาย ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือก ม่านตาของเขาปรากฎแววแห่งการฆ่าฟันขึ้นมาทันที เขาคำรามอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับพุ่งเข้าปะทะกับรูนไนท์

 

‘ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว’ เอเลน่ายังพอจะมีสติอยู่บ้าง นางกำกริชในมือแน่นและใช้มันเเทงลงไปที่ตำแหน่งของหัวใจ—

 

*ตุบ!* ข้อมือของเอเลน่าถูกบางอย่างปะทะอย่างรุนแรง จนทำให้กริชกระเด็นออกไปไกล คมของกริชนั้นเเทงผ่านเสื้อผ้าของนางเข้าไปแล้ว ผิวหนังของนางทะลุลงไปลึกจนเกือบถึงกระดูก มีเลือดไหลออกมาจำนวนหนึ่ง

 

แขนอันทรงพลังพันรอบร่างของเอเลน่า และยกนางขึ้นมา ด้วยสติอันเลือนลางเอเลน่ารู้สึกว่าร่างกายถูกยกขึ้น และขยับเคลื่อนไหวราวกับว่านางกำลังอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า กลิ่นอายที่คุ้นเคยทำให้นางสงบลง และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ตอนนี้การมองเห็นของนางดับมืดไปแล้ว และในที่สุดเอเลน่าก็หมดสติไป สิ่งสุดท้ายที่นางสัมผัสได้ก็คือ ร่างกายของชายที่อยู่ด้านหลังของนาง ถูกไฟเผา! แต่กระนั้นร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งดั่งเหล็ก

 

เอเลน่าไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรก่อนที่นางจะลืมตาตื่นขึ้นมา ส่งแรกที่นางเห็นก็คือแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่เป็นสีดำจากเขม่าและรอยไหม้ มัดกล้ามที่กำยำมีแผลจำนวนมาก แม้เขาจะไม่ได้หันกลับมานางก็รู้ว่าเขาคือกาตอน

 

ในหัวของนางยังคงมึนงงอยู่ และร่างกายของนางก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง นางสงสัยอย่างมากว่าวอริเออร์ระดับ 3 สามารถพานางหนีออกมาจากสนามรบที่มีศัตรูเป็นรูนไนท์ได้อย่างไร เมื่อมองไปรอบๆเอเลน่าก็รับรู้ได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในปราสาท แต่มันคือถ้ำแห่งหนึ่ง

 

เอเลน่าพยายามลุกขึ้นนั่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกสึกถึงความเย็นบริเวณหน้าอก นั่นเองทำให้นางได้ตระหนักว่าชุดของนางถูกทำลายไปหลายส่วน และแม้แต่ชุดที่เป็นซับในก็ยังฉีกขาด และขณะที่ยกตัวขึ้นเสื้อผ้าของนางก็ฉีกขาดเพิ่มมากขึ้นทำให้บริเวณหน้าอกของนางเปิดเปลือยออกมา กาตอนได้ยินเสียงคนขยับจากด้านหลัง จึงรีบหันกลับมาและทันเห็นเอเลน่าในสภาพที่ท่อนบนเปลือยเปล่า

 

“เจ้า!”

 

เอเลน่าตะโกนด้วยความโกรธ นางยกมือขึ้นมา และเตรียมที่จะใช้เวทมนตร์ แต่มานาของนางก็แทบจะไม่มีเหลือแล้ว ในตอนที่นางพยายามจะใช้เวทย์ก็ทำให้การมองเห็นของนางมืดลงไปอีกครั้ง เอเลน่าเกือบจะหมดสติไปอีกรอบ เนื่องจากต้องทนรับความเจ็บปวดบนข้อมือ ร่างกายของนางอ่อนปวกเปียกขณะที่ล้มลงไปบนพื้น

 

กาตอนรีบเข้าไปหาทันที เขาเข้าไปโอบกระชับเพื่อพยุงร่างบางเอาไว้ ขณะที่เอเลน่าก็ยังคงพยายามจะดิ้นหนีอย่างแรง แต่กาตอนก็ไม่ยอมปล่อยนางไป “ข้าเห็นพวกมันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเลิกดิ้นได้หรือยัง?!”

 

เสียงของเขามีพลังอย่างน่าประหลาด และเอเลน่าก็ค่อยๆมีสติกลับมาอย่างช้าๆ นางมองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดของเขา และยังรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ บนหน้าอกด้านซ้ายของกาตอนมีบาดแผลอยู่ ซึ่งอยู่ตรงกับหัวใจของเขาพอดี และการที่นางดิ้นขณะที่เขากอดเอาไว้ก็ทำให้บาดแผลของเขาเริ่มจะฉีกออก เลือดปริมาณมากไหลออกมา

 

เมื่อเห็นเอเลน่าหน้าถอดสี กาตอนก็หัวเราะเบาๆ “รูนไนท์แทงข้า แต่ก็ไม่เป็นอะไรหรอก ข้ายอมรับการโจมตีนั้นเองเพื่อที่จะหนีมาให้ได้ เห็นอย่างนี้ดาร์กมูนของข้าก็เร็วไม่แพ้ใคร”

 

เอเลน่าหยุดดิ้น นางไม่สนใจจะเช็ดเลือดบนใบหน้าของตัวเอง หน้าอกของนางก็ยังคงปรากฎออกมาให้เห็น แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจมันแล้ว เอเลน่าให้ความสนใจกับบาดแผลของกาตอน แม้ว่าจะโชคดีมากแค่ไหนก็ตาม วอริเออร์ระดับ 3 จะต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน สำหรับการหนีจากรูนไนท์ บาดแผลตรงตำแหน่งหัวใจเขา ดูเเล้วเป็นบาดแผลที่ลึกและสาหัสมาก หัวใจของเขาจะต้องถูกแทงทะลุไปแล้วอย่างแน่นอน

 

“นี่เจ้า—” เอเลน่าพูดออกมาแล้วหยุดชะงัก นางมองเขาด้วยแววตาค้นคว้า กาตอนเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่นางพยายามจะพูด เขาจับมือของนางมาวางบนหน้าอกของเขา เอเลน่ารู้สึกได้ถึงความแข็งเเกร่งและชีพจรที่ยังคงมั่นคงหนักแน่นผ่านกล้ามเนื้อหน้าอกนั้น

 

“ข้ามีหัวใจ 2 ดวง และร่างกายข้าก็ยังสามารถฟื้นฟูได้รวดเร็วเหมือนอสูร ข้าคิดว่าข้าน่าจะไม่เป็นอะไร” เขายังคงหัวเราะอย่างสดใส เอเลน่าเริ่มสงบลง ในตอนนี้นางรู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัย เมื่อกาตอนโน้มตัวลงมาจูบ นางก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด

 

เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว กาตอนและเอเลน่านั่งอยู่ข้างกองไฟเล็กๆ กองไฟนั้นช่วยขับไล่ความเย็นออกไปจากถ้ำที่เย็นชื้น กระต่ายป่าถูกย่างทำเป็นบาร์บีคิวอยู่ในกองไฟ เอเลน่ารู้สึกถึงความอยากอาหารเล็กๆ ขณะที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่ นางซบใบหน้าลงกับเข่าสองข้าง ในสถานการณ์แบบนั้น, นางกลับผลักกาตอนออกไป หากเป็นผู้ชายคนอื่นคงจะโกรธนางไปแล้ว แต่เขาก็ยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและหันมาทำอาหารเย็นสำหรับพวกเขาทั้งสองคนแทน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุขและความรักที่ดูซื่อบริสุทธิ์ และนางก็ไม่เห็นสัญญาณของความเกลียดชังหรือไม่พอใจจากเขาเลย

 

“เจ้าชอบข้าเหรอ?”

 

“แน่นอน!”

 

“ทำไม?”

 

“ไม่มีเหตุผล”

 

เอเลน่าพยายามครุ่นคิดก่อนที่จะพูดอีกครั้ง “พวกเรายังไม่ค่อยจะรู้จักกัน เจ้าก็ไม่เข้าใจข้าและข้าก็ไม่รู้อดีตของเจ้าด้วย เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไมพวกข้าถึงถูกเอิร์ลไคล์โจมตี ? เจ้าก็น่าจะเดาได้ว่าพวกข้าต้องมีความลับ”

 

“ไม่เห็นจะเป็นปัญหา ข้าคืออาเครอน เมื่อพวกเราชอบใครก็คือชอบคนนั้น ไม่มีเหตุผล ไม่ต้องมีอะไรทั้งนั้น” กาตอนพูดอย่างไม่ใส่ใจ

 

“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม?”

 

“แน่นอน”

 

“แล้วถ้าข้าอยากให้เจ้าตายล่ะ?”

 

“ได้แน่นอน ถ้าเจ้าต้องการ” กาตอนยิ้ม

 

เอเลน่าไม่พูดอะไรอีก นางเริ่มกลับมาเงียบอีกครั้ง นางไม่เคยเชื่อในคำพูดของผู้ชายอยู่แล้ว พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ไม่เข้าใจกันและกัน จริงๆเเล้วพวกเขาเเทบจะไม่เคยได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ซุก็ยังคุ้นเคยกับเขามากกว่า แต่เขากลับมาบอกว่าสามารถตายเพื่อพิสูจน์ความรักที่มีต่อนางได้?

 

มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะให้สัญญาออกไปอย่างง่ายๆ แต่พวกเขาไม่เคยเตรียมพร้อมที่จะรักษาคำสัญญาเหล่านั้น เวลานี้เอเลน่ายังเห็นเลือดสีเเดงสดไหลออกมาจากบาดเเผลของกาตอนไม่หยุด และนางก็อ่อนล้ามากด้วย

 

ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วขณะ แต่ราวกับว่าใช้เวลาแสนยาวนาน ก่อนที่เอเลน่าจะพูดขึ้นมา “ทุกๆคนในครอบครัวหรือตระกูลของเจ้า พวกเขาดูเหมือนจะ—”

 

“โง่ใช่ไหม?” กาตอนถามพร้อมกับหัวเราะ แล้วพูดต่อ “บางทีอาจจะใช่ พวกเรามันโง่และเซ่อด้วย เป็นมาตั้งเเต่พวกเรายังเล็กๆแล้ว แต่มันก็ดีแล้ว เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพวกเราไม่รู้ว่าจะทุ่มเททำเรื่องโง่ๆไปเพื่อใครต่างหาก”

 

“คำพูดของเจ้า ข้าไม่คิดว่ามันถูกต้อง แต่นามสกุลของเจ้า อาเครอน ค่อนข้างแปลกอยู่ เจ้าบอกชื่อเต็มให้ข้าฟังได้ไหม?”

 

“กาตอน ไอเซห์ ซาทานิสโตเรีย อาเครอน”  

 

เอเลน่าเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ

 

ดวงตาของกาตอนยังคงเป็นเหมือนกับอัญมณีที่บริสทุธิ์และงดงามสมบูรณ์แบบเหมือนเมื่อครั้งแรกที่เจอกันในบาร์เหล้า แต่ตอนนี้ สิ่งที่แตกต่างออกไปคือหัวใจของเอเลน่าไม่ได้สงบอีกต่อไปแล้ว ชื่อของเขายาวและค่อนข้างจะออกเสียงได้ยาก แต่นางก็จำได้ดีว่าชื่อแบบนี้เป็นธรรมเนียมของพวกเดม่อน ‘หรือว่าชายผู้นี้มีสายเลือดของเดม่อนอยู่ในตัว ? ‘ แค่ชื่อของเขาอย่างเดียวก็พอจะทำให้มั่นใจได้แล้ว แม้พลังของเขาที่สัมผัสได้ดูจะไม่ได้สมชื่อ แต่ดูเเล้วก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่

 

เอเลน่าเงียบไปสักพัก และในที่สุดก็พูดขึ้น “ครอบครัวของเจ้า เคยบอกไหมว่าไม่ให้พูดชื่อออกไปแบบนั้น?”

 

“เจ้าหมายถึงชื่อจริงของข้าใช่ไหม?” กาตอนเอามือจับที่คางอย่างครุ่นคิด “แม่ของข้าเคยบอกว่าถ้าข้าโตเป็นผู้ใหญ่อย่าบอกชื่อจริงกับใคร ถ้าต้องบอกจริงๆ ให้บอกกับคนคนเดียวเท่านั้น คนที่จะมอบชีวิตให้”

 

‘อย่างนั้นแสดงว่าเขารู้เรื่องทั้งหมด’ เอเลน่านิ่งเงียบ รู้สึกอับจนในคำพูด แม้ชายคนนี้่หรือทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเขาจะดูบ้าบอไร้สาระ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเขา มันก็เหมือนที่กาตอนพูด คำพูดของเขาถือเป็นสัญญาที่เหมือนกับมอบชีวิตให้นาง การที่บอกชื่อจริงกับนางก็เท่ากับว่ามอบชีวิตตัวเองมาอยู่ในมือของนาง … ‘จริงๆแล้วคนคนนี้โง่ขนาดนั้นกันแน่?’

 

“แล้วต่อจากนี้ เจ้าจะทำยังไงต่อไป? ยังจะผจญภัยอยู่ไหม? “

 

“แน่นอนว่าไม่! ข้าจะสร้างกองทัพของตัวเองและสู้รบกับเผ่าอื่นๆขยายดินเเดนออกไปและสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา! ” กาตอนพูดอย่างยิ่งใหญ่ ราวกับว่าเขาคือแม่ทัพที่มีทหารอยู่ในมือนับพันนับหมื่นแล้ว

 

เอเลน่านั่งอยู่เงียบๆและยังมองดูกองไฟต่อไป สีหน้าที่ดูมืดมนช่างตรงกันข้ามกับความสว่างไสวของเปลวไฟ และนั่นก็ยิ่งขับให้ใบหน้าอมทุกข์ของนางมองเห็นได้อย่างชัดเจน ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ลมที่พัดลอยมาจากอีกด้านของท้องฟ้า หอบเอาเมฆลอยมาปิดบังดวงจันทร์ทั้งสามไปอย่างเงียบๆ

 

เอเลน่าลุกขึ้นมา “ข้าจะไปแล้ว”

 

กาตอนประหลาดใจ “ไป? ไปไหน?”

 

“ที่ที่ข้าควรจะไป” เอเลน่าออกวิ่งเต็มฝีเท้า นางมุ่งหน้าออกไปจากถ้ำ และนางไม่ได้ชะลอฝีเท้าลง หยุด หรือหันหลังกลับมามองอีกเลย

 

“ครั้งหน้าพวกเรา—”

 

“จะไม่มี ‘ครั้งหน้า’!” เอเลน่าตะโกนขณะที่ร่างบางลับหายไปในยามค่ำคืน แต่เสียงของนางก็ยังคงสะท้อนก้องอยู่ในถ้ำ

 

กาตอนได้แต่ยืนอึ้งและไม่ได้ไล่ตามนางไป เขาเพิ่งจะอกหัก และไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีพลังมากพอที่จะไล่ตามเมจระดับ 6  อยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นผู้หญิงคนนี้ก็มีพลังลึกลับที่เมจธรรมดาๆไม่มี

 

กาตอนทรุดนั่งลงไปราวกับยอมรับต่อความพ่ายแพ่ เขาดึงผมของตัวเอง นิ่งเงียบอยู่นานก่อนที่จะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ก็ได้ ยังไงอาเครอน ก็เป็นพวกบ้าดีเดือดอยู่แล้ว ‘ลุยอย่างบ้าระห่ำหรือไม่ก็ตายอย่าเงียบๆ…’ เคยมีไอ้บ้าคนไหนพูดประโยคนี้นะ?”

 

เสียงหัวเราะของเขาดังสะท้อนไปไกลในยามค่ำคืนอันเงียบสงบ กองไฟยังคงลุกโชนสว่างไสวอยู่ กระต่ายป่าถูกย่างนานไปจนไหม้เกรียมไปหมด

 

 

เวลาไม่เคยหยุดเดินและไม่เคยถอยหลังกลับ และแล้ว 5 ปีก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ป่าเอฟเวอร์ไนท์ สูญเสียความสงบในฤดูใบไม้ผลิที่ 6 ขณะที่มนุษย์นำกองทัพบุกลึกเข้าไปทุกตารางนิ้วของป่า ความสวยงามและความสงบเงียบของผืนป่าถูกทำลายด้วยพลังที่ป่าเถื่อนและเวทมนตร์ที่โหดร้าย เปลวไฟกลืนกินไปทุกหย่อมหญ้า และต้นไม้จำนวนมากก็ถูกเผา ตัดโค่น จนเสมือนเหลือแต่ดินที่แห้งแล้ง สัตว์มายาทั้งหมดถูกไล่ให้ย้ายถิ่นฐานไป แม้แต่เผ่าพันธุ์สัตว์มายาที่แข็งเเกร่งที่สุดก็ยังไม่สามารถรับมือกับมนุษย์พวกนี้ได้

 

ป่าเอฟเวอร์ไนท์ เป็นดินแดนที่เป็นถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมของเหล่าเอลฟ์ซิลเวอร์มูน ราชวงศ์แห่งเอลฟ์ปกป้องผืนป่าแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกเขาเรียกว่าบ้านมารุ่นสู่รุ่น และพวกเขาจะทำทุกวิถีทางที่จะสามารถปกป้องถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเอง ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอลฟ์ก็คือมนุษย์ มนุษย์โจมตีพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเพียงเพื่อตอบสนองความโลภของตัวเอง

 

แต่การบุกมาในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆในอดีต  ผู้บัญชาการแห่งกองทัพมนุษย์คราวนี้ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่สุดในประวัติศาสตร์ เขานำกองกำลังที่ประกอบไปด้วยรูนไนท์ 50 คนที่สามารถทำลายข้อได้เปรียบของพวกอาเชอร์ที่มีประสบการณ์สูงของเหล่าเอลฟ์ได้ ความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ทั้งสองฝ่ายต่างต้องสูญเสียกองทัพที่แข็งเเกร่งที่สุดไปกองเเล้วกองเล่า มีราชาของเอลฟ์มากกว่า 12 พระองค์ที่ตายในสนามรบ และแม้ว่าจะยอมสละชีวิตของทหารจำนวนมากก็ไม่สามารถป้องกันการรุกรานในครั้งนี้ได้ อาวุธปะทะกันขณะที่ไฟลุกไหม้ ความรุนแรงกระจายอยู่ทั่วผืนป่าเอฟเวอร์ไนท์  ในครั้งนี้มนุษย์สามารถบุกเข้าถึงปราสาทซิลเวอร์มูนได้สำเร็จ

 

ไม่มีทางแก้ไขใดใดอีกแล้วสำหรับปัญหานี้ กลุ่มต่างๆของเอลฟ์ซิลเวอร์มูน เข้าร่วมกองทัพและสู้ตายสุดชีวิต แต่อนิจจาเผ่าพันธุ์เอลฟ์ก็ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ หลังจากสืบทอดบังลังก์ติดต่อกันมายาวนานถึง 1,300 ปี ในที่สุดเผ่าพันธุ์เอลฟ์แห่งป่าเอฟเวอร์ไนท์ก็ล่มสลาย

 

ในขณะนี้เหลือเพียงเอลฟ์กลุ่มเล็กๆที่หลบหนีซ่อนตัวอยู่ในป่าเอฟเวอร์ไนท์  พวกเขาสามารถแฝงตัวกับต้นไม้ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเขาวิ่งได้รวดเร็วหลงเหลือไว้เพียงเงาให้เห็นเท่านั้น แม้จนถึงขณะนี้เสียงม้าศึกและเสียงร้องจากการเข่นฆ่าในสงครามก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เปลวไฟถูกจุดเผาต้นไม้โบราณเพื่อสร้างเส้นทางหลบหนีสำหรับแนวหน้าของพวกเขา เอลฟ์ทุกตนต่างมีใบหน้าที่หวาดกลัว สภาพป่าในตอนนี้ไม่ใช่ป่าที่พวกเขาคุ้นเคยอีกแล้ว กลุ่มไนท์กระโดดออกมาเพื่อสกัดกั้นพวกเขาเป็นครั้งคราว แต่เหล่าเอลฟ์ก็ยังมุ่งหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ

 

ต้นไม้โลกที่อยู่ในระยะไกลถูกเผาไหม้ในเปลวเพลิงนรก ปลายยอดของเปลวไฟแห่งความตายลามเลียไปทั่วแผ่นดิน และแสงจากเพลิงก็ย้อมท้องฟ้าจนเป็นสีแดงไปครึ่งหนึ่ง เอลฟ์หลายตนยืนล้อมเพื่อปกป้องชาแมนของพวกเขาสุดชีวิต พวกเขาจะเปลี่ยนรูปแบบการยืนป้องกันก็ต่อเมื่อศัตรูบุกเข้ามาโจมตี  พวกเขายอมสละชีวิตเพื่อปกป้องนายหญิงของพวกเขา เอลฟ์วอริเออร์ที่ทรงพลังล้มตายไปคนแล้วคนเล่า ขณะที่รูนไนท์ก็ยังคงโจมตีต่อไป

*ชาแมน = ผู้สื่อสารกับเทพเจ้าหรือดวงวิญญาณ มักจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชนเผ่าต่างๆ

 

ชาแมนสาวกอดหนังสือสีทองของนางไว้แน่น นี่คือ ‘หนังสือโบราณแห่งอลูเซีย’ ไอเท็มที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเอลฟ์ซิลเวอร์มูน ในขณะที่วิ่งหนีนางวิ่งได้เร็วไม่ต่างจากพวกทหาร  ดังนั้นแค่เห็นเพียงแวบเดียวก็พอจะบอกได้แล้วว่านางคือเมจ หลังจากถูกรุกไล่มาเรื่อยๆ ในที่สุดนางก็เหลือวอริเออร์คอยคุ้มครองอยู่ข้างกายนางเพียงแค่ 2 คน

 

และในที่สุดเส้นทางเดินข้างหน้าของพวกเขาก็เปิดออก ทะเลสาบที่แสนสงบปรากฎออกมาให้เห็น  ที่นี่เปรียบดั่งไข่มุกแห่งป่าป่าเอฟเวอร์ไนท์ — ทะเลสาบเครสเคนท์ ทว่าพวกเขาก็พบกับไนท์ผู้หนึ่ง กำลังนั่งบนหลังม้าเงียบๆอยู่ข้างทะเลสาบ ไนท์ผู้นั้นกำลังอยู่ในตำแหน่งที่ขวางทางพวกเขาอยู่!

 

ออร่าที่หนักแน่นปกคลุมอยู่ทั่วในบรรยากาศ รบกวนความสันติสุขและความเงียบสงบของป่า หากมองลงไปในน้ำ จะเห็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดใต้ผืนน้ำนั้นหยุดกิจกรรมต่างๆของพวกมัน และรีบซ่อนตัวอยู่ที่ก้นทะเลสาบ

 

แม้จะมีไนท์เพียงแค่คนเดียวที่ขวางพวกเขาอยู่ แต่ความสูงและรูปร่างอันกำยำของเขาก็ทำให้เขาดูราวกับภูเขาที่ยิ่งใหญ่ขวางอยู่ตรงหน้า แม้แต่ม้าศึกสีดำที่เขาขี่ก็ดูมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ชุดเกราะนั้นดูหนาและหนัก เพียงแค่รูปลักษณ์ที่ปรากฎก็สามารถข่มขวัญคนทั่วไปให้หวาดกลัวจนตัวสั่นได้อย่างง่ายดาย เขานั่งนิ่งเฉย ดูราวกับไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด เขาถือดาบไว้ในมือข้างหนึ่งซึ่งมีขนาดยาวกว่าเมตร และมันยังคงเปื้อนไปด้วยเลือดสดๆของ—เหล่าเอลฟ์ซิลเวอร์มูน

 

ชาแมนหญิงหยุดนิ่ง ขณะที่วอริเออร์ทั้งสองของนางพุ่งเข้าไปโจมตีไนท์ที่นั่งอยู่บนหลังม้าสีดำ แม้จะรู้ดีว่าการต่อสู้นี้ ทางข้างหน้ามีเพียงหุบเหวแห่งความตายรออยู่ แต่พวกเขาก็ไม่หยุด ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำก็คือเอาดาบเเทงเข้าไปที่หน้าอกของไนท์ให้ได้ เอล์ฟผู้เป็นวอริเออร์ทั้งสองเพิกเฉยต่อทุกสิ่งพุ่งตัวไปยังเป้าหมายที่อยู่ข้างหน้า แต่ทว่าก็มีเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายดังออกมาจากภายในหมวกเหล็กของไนท์ ขณะที่เขาตวัดดาบอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

 

ไนท์ลงจากหลังม้า เลือดสดๆหยดลงมาจากปลายดาบของเขา เขาเดินตรงไปที่ชาแมนและหัวเราะ “ชาแมนแสนสวยและสง่างามแห่งดวงจันทร์ เจ้าคือบุคคลสำคัญของราชวงศ์เอลฟ์ เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้ากับหนังสือศักดิ์สิทธิ์หนีไปได้ง่ายๆเหรอ? รางวัลของข้าจะถูกหักไปครึ่งหนึ่งถ้าหากข้าทำแบบนั้น! นี่เป็นครั้งแรกของข้าที่ได้บัญชาการกองทัพที่ใหญ่และทรงพลังขนาดนี้ ข้าเลยต้องพยายามไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น!”

 

ขณะที่เขาพูด ร่างที่ไร้วิญญาณของเอลฟ์ทั้งสองก็ล้มลงไปบนพื้น แม้แต่ผู้คุ้มกันระดับสูงของราชวงศ์ซิลเวอร์มูนก็ยังไม่สามารถหลบดาบของไนท์ผู้นี้ได้ แต่ทว่า ชาแมนสาวผู้นั้นตัวสั่นเล็กน้อย นางแผดเสียงออกไปด้วยความโกรธเคือง เพียงคำพูดเดียวแต่เสมือนเจือไปด้วยคำถาม

 

“กาตอน?!”

 

ร่างกายของไนท์แข็งทื่อราวกับรูปปั้นหิน เขาถอดหมวกของเขาออกเพื่อเปิดเผยใบหน้าของตัวเอง เขาคือกาตอนจริงๆ 5 ปีผ่านไปใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก ดูเป็นผู้ใหญ่และดูเด็ดเดี่ยวมากขึ้น ในตอนนั้นเขาคือนักผจญภัยที่อยากจะเป็นแม่ทัพของกองทัพทีมีทหารนับพันชีวิต ในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จ เขาประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และตอนนี้สิ่งที่ยังคงเหมือนเดิมคงจะมีเพียงดวงตาทั้งสองข้างของเขาที่ดูใสและบริสุทธิ์เหมือนกับเมื่อ 5 ปีก่อนไม่มีผิด

 

กาตอนจ้องมองไปที่ชาแมนหญิง แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที พร้อมกับอุทานออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ “เอเลน่า!”

 

ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้ากาตอนคือชาแมนแสนสวยแห่งเทพธิดาจันทรา ไม่ใช่คนทื่ดูเหมือนกับเมจของมนุษย์เมื่อหลายปีก่อนอีกแล้ว แต่กาตอนก็ยังจำดวงตาของนางได้ ผู้ที่เคยเป็นเพียงวอริเออร์ระดับ 3 อย่างเขา รู้จักเวทย์แปลงกายลับของเอลฟ์ซิลเวอร์มูนดี

 

ความดีใจของกาตอนค่อยๆจางหายไปและเปลี่ยนเป็นความขมขื่น ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นมาอย่างช้าๆ “งั้นเจ้าก็เป็นเอลฟ์ซิลเวอร์มูนและเป็นชาแมนแห่งจันทรา เจ้าต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ไม่ผิดแน่ ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเวทมนตร์ของเจ้าเมื่อหลายปีก่อนถึงได้ทรงพลังนัก”

 

เขาจ้องมองเอเลน่าอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะยิ้มด้วยความดีใจ “เฮ้ คนสวย! เจ้างดงามยิ่งกว่าผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบในจินตนาการของข้าซะอีก แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังชอบเจ้าในตอนที่เป็นเมจของมนุษย์มากกว่า”

 

รอบยิ้มที่คุ้นเคย …ทำให้เอเลน่ารู้สึกเหมือนกับวันเวลาเมื่อ 5 ปีก่อนย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง แต่หนังสือที่หนาและเย็นในมือของนางก็ปลุกให้นางตื่นขึ้นจากภวังค์ ชาแมนแห่งอลูเซียจะต้องบริสุทธิ์และไร้จุดด่างพร้อย

 

เอเลน่ากอดหนังสือศักดิ์สิทธิ์แห่งอลูเซีย นางพูดอย่างเย็นชา “กาตอน มือของเจ้าเปื้อนเลือดของเอลฟ์ซิลเวอร์มูนมากเกินไป วันนี้จะมีเพียงแค่หนึ่งเดียว หากไม่ใช่เจ้าก็เป็นข้าที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป “

 

กาตอนลูบจมูกของตัวเองเบาๆและยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้า…ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า—”  เขายังไม่ทันพูดจบ เอเลน่าก็พุ่งตรงมาหาด้วยความเร็วระดับเอฟล์วอริเออร์ หนังสือส่องเเสงสว่างเรืองรองออกมาขณะที่หน้าหนังสือถือเปิดออก

 

กาตอนหมุนดาบใหญ่ในมือของเขา ขณะที่เขามองดูเอลฟ์สาวแสนสวยกำลังพุ่งตัวเข้ามา การโจมตีที่รวดเร็วของเขาสามารถฆ่าได้แม้แต่ปีศาจ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่บอบบางอย่างเอลฟ์

 

ความตายกำลังจะมาเยือนนาง! แม้จะรู้เรื่องนี้ดี แต่เอเลน่าก็ไม่สนใจ ในขณะที่นางพุ่งเข้าหาเขา สิ่งเดียวที่จะอยู่ในความคิดของนางคือฉากของการเผชิญหน้ากับกาตอน

 

‘แล้วถ้าข้าต้องการให้เจ้าตายล่ะ?’ นางเคยถามคำถามนี้กับเขาต่อหน้ากองไฟ

 

‘ได้แน่นอน ถ้าเจ้าต้องการ’

 

5 ปีผ่านไป เขาก็ไม่เปลี่ยนไปสักนิด เขาสามารถกลายเป็นแม่ทัพบัญชาการทหารนับพันได้จริงๆ แต่เหตุใดกองทัพของเขาถึงต้องเลือกมาบุกป่าเอฟเวอร์ไนท์ อันเป็นที่รักของนางด้วย….

 

มุมปากของเอเลน่ายกขึ้นในทันที ปลายดาบของกาตอนเข้าใกล้ดวงตาของนางมากเรื่อยๆ แต่นางก็ไม่หลบ ดาบสั้นเล่มหนึ่งปรากฎออกมาจากหนังสือแห่งอลูเซีย นางใช้ดาบสั้นเล็งไปที่หน้าอกของกาตอน นางยังจำได้ ในคืนนั้นนางสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจเขาด้วยมือของนางเอง และนางก็รู้ตำเเหน่งของหัวใจดวงที่ 2 ดี

 

เอเลน่ารู้ว่ากาตอนจะไม่หลบการโจมตีนี้แน่ นี่คือสกิลที่ทรงพลังที่สุดของเอลฟ์ซิลเวอร์มูน สกิลดาบลับ —— มูนไลท์ ในฐานะชาแมนแห่งจันทรา สกิลดาบของนางนั้น แท้จริงแล้วแข็งเเกร่งยิ่งกว่าเวทมนตร์และคาถาศักดิ์สิทธิ์ของนางเสียอีก ไม่มีชุดเกราะใดที่จะหยุดดาบที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับพรจากอลูเซียนี้ได้ และแม้แต่ผู้ที่มีพลังเหนือมนุษย์อย่างรูนไนท์ก็ยังยากที่จะรอดชีวิต ดาบสั้นที่เฉียบคมนี้ไร้ความปราณี

 

ภาพของบาดแผลลึกบนหน้าอกของกาตอนปรากฎขึ้นในม่านดวงตาของเอเลน่า 5 ปีก่อน เขายอมเสียหัวใจหนึ่งดวงเพื่อช่วยชีวิตนาง ตอนนี้ดาบสั้นในมือนางกำลังจะเเทงไปที่หัวใจดวงที่ 2 ของเขา

 

และเอเลน่าเองก็ตั้งใจที่จะไม่หลบดาบของกาตอน นางเลือกที่จะแทงสวนไปที่หัวใจของกาตอนให้ได้ก่อนที่ดาบของเขาจะฟันเข้ามาถึงตัว นางต้องแก้แค้นให้กับเหล่าเอลฟ์ซิลเวอร์มูนจำนวนมากที่ล้มตายในกองไฟแห่งสงครามอันโหดร้าย

 

‘ให้เรา…ให้พวกเราอยู่เคียงคู่กัน อยู่เคียงคู่กันในป่าแห่งนี้…’ นี่คือสิ่งที่เอเลน่าคิด

 

มูนไลท์ฟันผ่านชุดเกราะของกาตอนอย่างรุนแรง ทะลุเข้าไปในหน้าอกของเขาและเเทงเข้าไปที่หัวใจของเขา พลังที่เกี้ยวกราดที่อยู่ภายในดาบสั้นนั้นทำลายหัวใจของเขา

 

ดาบใหญ่ของกาตอนหยุดทันที มันสัมผัสกับผิวหนังของเอเลน่าเล็กน้อยเเต่ก็ไม่ได้ไปไกลกว่านั้น มือที่จับมันอยู่ยังคงหนักแน่นดั่งขุนเขา

 

กาตอนมองเอเลน่าเหมือนกับว่าเขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับนาง แต่เขาไม่สามารถส่งเสียงได้ อย่างไรก็ตามเขาก็กำลังยิ้มในขณะที่เขาล้มลงไปบนพื้นพร้อมกับอาวุธของเขา –ในอ้อมกอดของเอเลน่า เลือดของกาตอนเปื้อนตัวของนางไปครึ่งหนึ่ง — เหมือนกับเมื่อ 5 ปีก่อน

 

“กาตอน—” เอเลน่าหมดสิ้นคำพูด โลกในสายตาของนางก่อนหน้านี้พร่ามัว ความแค้นและเลือดเดือดอยู่ในกายของนางจนไม่สามารถควบคุมได้

 

‘พวกเรามันโง่และเซ่อด้วย เป็นมาตั้งเเต่พวกเรายังเล็กๆแล้ว แต่มันก็ดีแล้ว เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพวกเราไม่รู้ว่าจะทุ่มเททำเรื่องโง่ๆไปเพื่อใครต่างหาก ‘ คำพูดของชายคนนี้ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดไว้ ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเอเลน่า มันคำพูดที่เขาพูดออกมาหลังจากที่เขาบอกชื่อจริงแก่นางโดยไม่มีความลังเล

 

หนังสือตกลงไปบนพื้น เอเลน่ากอดกาตอนไว้แน่น อุณหภูมิร่างกายของเขาค่อยๆลดลงในอ้อมแขนของนาง

 

“ไม่!” นางกอดเขา และกระซิบใกล้ๆ “เจ้าจะไม่ตาย!”

 

 

กาตอนใช้ชีวิตทั้ง 7 วันต่อมาอยู่กับความจริงและความฝันอันหอมหวาน และในวันที่ 8 เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้น เขาก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง

 

แม้เขาจะไม่รู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ แต่ทว่าเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ เขาหันมองไปรอบๆ ก็เห็นเสื้อคลุมของชาแมนที่เต็มไปด้วยเเลือดแห้งเกอะกรัง คราบเลือดยังส่งกลิ่นคาวออกมา แต่มันก็ไม่ได้ทรงพลังเท่ากับกลิ่นของผู้หญิงที่เขารัก แม้จะเบาบางแต่ก็เป็นกลิ่นที่หอมหวานสำหรับเขา

 

แม้กลิ่นจะยังอยู่ แต่เขาก็ไม่เห็นร่างที่งดงามของเอเลน่ามา 2-3 วันแล้ว ช่วงเวลาแห่งความอ่อนโยนในฤดูใบไม้ผลิและความใกล้ชิดของพวกเขาเสมือนเป็นเพียงภาพลวงตา นางจากไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้อีกแล้ว

 

และครั้งนี้ คงจะไม่มีคำว่า ‘ครั้งหน้า’ แล้วจริงๆ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด