จักรพรรดิเทพสายฟ้า – ตอนที่37 ผู้อาวุโส

อ่านนิยายจีนเรื่อง จักรพรรดิเทพสายฟ้า ตอนที่ 37 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่37 ผู้อาวุโส

หนึ่งเสียงอึดใจก่อนหน้าพวกเขายังคงอยู่ในถ้ำป่าทึบ ทว่าเสี้ยวอึดใจถัดมากลับยืนตระหง่านบนขอบหน้าผาแล้ว กวาดสายตามองท้องนภาสุดขอบฟ้าไกล กวาดสายตามองหุบเขา ปรากฏเป็นภาพฉากทุ่งหญ้าเลือนรางจากระยะไกลอยู่สองสามแห่ง พืชพันธุ์เขียวขจีอยู่ทั่วเต็มไปหมด ก่อตัวกลายเป็นมหาสสมุทรสีเขียวพฤกษาสวยงาม หากเป็นภาพวาดคงเป็นดั่งภาพวาดที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา

เมื่อกวาดสายตามองสุดฟ้าไกล จะเห็นได้อย่างชัดแจ้งถึงกำแพงเมืองขอบเขตอันกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งนี้ยังมีตัวอาหารสิ่งปลูกสร้างเรียงรายอย่างแน่นหนา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหอคอยสูงตระหง่านสูงเสียดฟ้าอีกด้วย

“นั้นคือทวีปตะวันออก”

เย่เจวี๋ยคลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีอกดีใจอย่างยิ่ง ถ้ำที่พวกเขาเดินทางผ่านเข้ามาหาใช่ถ้ำธรรมดาทั่วไปจริงๆ มันคือทางลัดที่นำไปสู่ทวีปตะวันออกโดยผ่านค่ายกลห้วงอวกาศอะไรสักแขนงแน่นอน

“แค่ก! แค่ก!”

เจ้ากุ้งแห้งตื่นเต้นอย่างยิ่งจนกระอักไอออกมาชุดใหญ่ เพียงสายลมพัดผ่านดั่งโชคชะตาชักนำพา เพียงเสี้ยวพริบตาพวกเขาก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าทวีปตะวันออกแล้ว นี่ช่างน่าตื่นเต้นเสียกระไรเยี่ยงนี้

สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานรู้สึกดีใจไม่ต่างกัน แต่จะอย่างไร ที่เห็นมันอยู่สุดขอบฟ้าไกล ปราศจากเครื่องรางเดินทางอันใด มิอาจรู้เลยว่าจักต้องใช้เวลาเดินทางอีกนานแค่ไหน?

มาแล้ว…มาถึงทวีปตะวันออกเสียที! อวิ๋นชิงเหยาซึ่งเดินมีท่าทีปราศจากความสุข แต่ตอนนี้กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง จากเมฆครึมกลายเป็นเบิกแยกแสงตะวันสาดส่อง เดิมทีนางคิดว่าตนอาจต้องตายระหว่างทางเสียแล้ว ทว่ายามนี้กลับมาถึงทวีปตะวันออก ยามนี้เหลือบหางตามองเย่เจวี๋ยเล็กน้อย ครวญลังเลใจว่าจะขอโทษหรือขอบคุณเขาดี ใจหนึ่งนางก็อยากขอโทษที่ไปต่อว่าอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ แต่ใครจะไปคิดว่าในความโชคร้ายจะมีโชคดีซ่อนอยู่แบบนี้กัน?

“ไปกันเถอะ”

เย่เจวี๋ยกล่าวสั้นๆ ตัดบท โบกแขนเสื้อให้อวิ๋นชิงเหยาเชิงให้สัญญาณว่า พวกเราควรเดินทางต่อได้แล้ว

“แค่ก แค่ก…”

แต่ขณะที่กำลังจะเดินทางไปต่อ จู่ๆ พลันได้ยินเสียงกระแอมไอดังทั่วผืนฟ้าประดุจฟ้าร้องลั่น

“นั้นใคร?”

เย่เจวี๋ยและพรรคพวกท่าทีแปรเปลี่ยนดูระมัดระวังตัวขึ้นทันทีหลายส่วน

“เจ้าจะรีบไปไหน?”

สุ้มเสียงดังกล่าวฟังดูเก่าแก่ยิ่งประดุจพ้นผ่านประสบทางโลกมาแล้วนับไม่ถ้วน เพียงน้ำเสียงนั้นก็ทรงกำลังจนน่าใจหาย นี่คงเป็นคลื่นเสียงผสานรวมกับพลังลมปราณฟ้าดินทั่วท้องนภา

เย่เจวี๋ยสันนิษฐานได้ในทันใด นี่จะต้องเป็นการดำรงอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้ที่แม้แต่สัตว์อสูรเถื่อนยักษ์พวกนั้นยังต้องกลัวเกรง

“ผู้อาวุโสผู้ถูกต้อง พวกเรากำลังรีบ หากพวกเราได้ลบหลู่อันใดไปก่อนหน้า โปรดให้อภัยด้วย พวกเรามิได้ตั้งใจ”

เย่เจวี๋ยประสานมือให้ผู้อาวุโสดังกล่าวทันที น้ำเสียงดูเจือผสานความกลัวอยู่ส่วนหนึ่ง

“โอ้?”

คนที่เย่เจวี๋ยเรียกว่าผู้อาวุโสเพียงอุทานเอะใจเล็กน้อย

“เช่นนั้นขอลา”

เย่เจวี๋ยปั้นหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนประสานมือให้อีกครา

เขาเองก็ทราบดีอยู่ในใจ ตอนนี้พวกตนกำลังรุกล้ำอาณาเขตของคนอื่น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความแกร่งกล้าเลย ขนาดสัตว์อสูรเถื่อนยักษ์พวกนั้นยังไม่กล้ามาตอแย แล้วนับประสาอะไรกับพวกเขา?

หลังจากเงียบนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสคนนั้นก็เอ่ยกล่าวขึ้นว่า

“อย่าสำคัญตนผิด ข้ามิได้สนใจเจ้า แต่เป็นคนที่ยืนข้างเจ้าต่างหาก…”

ประโยคแรกน้ำเสียงของผู้อาวุโสกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย ทว่าประโยคหลังกลับคลี่ยิ้มอ่อนปั้นสีหน้าดูสนใจ

เจ้ากุ้งแห้งหันซ้ายแลขวาไปโดยรอบและไม่เห็นพบคนที่ผู้อาวุโสที่ว่านั้นกำลังถามถึง แถมเจ้าตัวผู้อาวุโสเองก็ไม่รู้อยู่ไหนราวกับเสียงนี้ดังลงมาจากสรวงสวรรค์

แต่พอสังเกตดีๆ คนที่ยืนอยู่ใกล้ชิดกับเย่เจวี๋ยที่สุดก็คือตัวเขาเอง เช่นนั้นจึงยกนิ้วชี้ตัวเองและเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจขึ้นว่า

“ข้า…ข้าน้อยรึ?”

“เจ้านั่นแหละ~ ใช่เลย~”

ผู้อาวุโสกล่าวร่าฟังดูดีใจ

“….”

ไฉนจู่ๆ เย่เจวี๋ยถึงพลันสัมผัสได้ว่า ผู้อาวุโสคนนี้ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก หรือเป็นไปได้ไหมว่าการมาของเขาจะมีเจตนาอื่นแอบแฝง

“อืม พรสวรรค์ด้านเพลงยุทธ์มันฝังลึกอยู่ในขั้วกระดูกของเจ้า สติปัญญานับว่าชาญฉลาดน่าสนใจไม่น้อย เอาเยี่ยงนี้เป็นไร ข้าจะฝึกปรือให้เจ้ากลายมาเป็นยอดอัจฉริยะและผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ดั่งที่ว่าหมื่นปีถึงจะมีสักคน! ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ทรงพลังที่สุดบนผืนพิภพให้แก่เจ้า อาศัยสิ่งนี้เจ้าจะเหนือกว่าใครในใต้หล้า!”

“ดีไม่น้อย”

เย่เจวี๋ยคลี่ยิ้มขึ้นทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของผู้อาวุโส หากสิ่งที่ผู้อาวุโสคนนี้กล่าวไปเป็นความจริง นี่แสดงว่าเจ้ากุ้งแห้งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มากพรสวรรค์ยิ่งคนหนึ่ง และเส้นทางของเจ้ากุ้งแห้งในอนาคตจักต้องไร้สิ้นสุด

สำหรับคำธรรมดาคนหนึ่ง การจะไต่เต้าขึ้นไปยังจุดสูงสุดของชีวิตมันมีไม่มากนัก จำต้องอาศัยโชคชะตาและโอกาสที่เป็นใจ และตอนนี้มันก็เป็นโอกาสของเจ้ากุ้งแห้งแล้วเช่นกัน และในที่สุดเย่เจวี๋ยก็นึกออกเสียทีว่า เหตุใดเจ้ากุ้งแห้งถึงมีรัศมีกลิ่นอายที่แกร่งกล้ากว่าผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรนภาม่วงทั่วไป นี่ควรจะเป็นพรสวรรค์หลังจากสายเลือดภายในกายถูกปลุกขึ้นมา ในเวลานี้เอง เพราะพรสวรรค์ดังกล่าวได้ตื่นขึ้นแล้ว จึงไม่แปลกที่ผู้อาวุโสคนนี้จะสนใจในตัวเจ้ากุ้งแห้ง

“ท่านผู้อาวุโส…”

เจ้ากุ้งแห้งตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นฟ้า

“ข้าน้อยเป็นคนเรียนมาน้อย โปรดอย่าได้โกหกข้า”

เจ้ากุ้งแห้งพลันคิดกับตัวเองภายในใจ

‘หากเขาได้รับการฝึกปรือจากผู้อาวุโสท่านนี้ ในอนาคตเส้นทางความสำเร็จของเขาอาจไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมดนี้คงต้องขอบคุณนายน้อยเย่ หากเขามิได้ติดตามนายน้อยเย่มา และได้กลืนโอสถสายฟ้าจนสามารถปลุกพลังสายเลือดได้ ปานนี้เขายังคงเป็นเพียงคนรับใช้ของตระกูลเย่ตลอดชีวิต’

เจ้ากุ้งแห้งก็เพิ่งตระหนักได้เช่นกันว่า ตัวเองมีพรสวรรค์เร้นแฝงอยู่ในกายหลังจากปลุกพลังสายเลือดขึ้นมา ก่อนที่พลังสายเลือดดังกล่าวจะตื่นขึ้น รากฐานการบ่มเพาะพลังของเขานั้นแย่มาก ประสิทธิภาพในการฝึกปรือจึงต่ำลงไปด้วย

“เราชายชราหรือโกหก?”

ผู้อาวุโสคนนั้นเหลือบหางตาจับจ้องดวงตาน้อยๆ ของเจ้ากุ้งแห้ง กล่าวต่อเจือน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยว่า

“อาศัยอยู่บนผืนพิภพมาเนินนาน ไฉนจะต้องโกหกเรื่องอันใดอีก?”

“ผู้อาวุโสท่านนี้มิได้โกหกเจ้าหรอก ท่านอาวุโสโปรดดูแลเจ้ากุ้งแห้งด้วย เมื่อเทียบกับการติดตามข้าแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะพัฒนากว่าเมื่ออยู่กับท่าน”

เย่เจวี๋ยกล่าวน้ำเสียงจริงจัง

พอครุ่นคิดวกไปวนมา ในท้ายที่สุดนี้เย่เจวี๋ยก็ได้ข้อสรุปว่า ผู้อาวุโสคนนี้อาจมิได้เลวร้ายอันใด

“แต่ถ้าแบบนั้น แล้วใครจะดูแลนายน้อยล่ะขอรับ?”

“ไม่ต้องห้วงเจ้ากุ้งแห้ง พวกเราสามพี่น้องจะคอยเฝ้าดูแลนายน้อยเป็นอย่างดี เจ้าไปฝึกกับท่านผู้อาวุโสเถอะ”

สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานกล่าวขึ้น พลางบอกตัวเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจ

อวิ๋นชิงเหยาหาได้แสดงความคิดเห็นอันใดออกมา แต่หากเป็นนาง นางเองก็คงเห็นด้วยเช่นกัน

ทุกคนในกลุ่มล้วนคิดเห็นตรงกันว่า นี่เป็นหนทางที่ดีสำหรับเจ้ากุ้งแห้ง

“ติดตามเราชายชราผู้นี้มา เราสัญญาจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเป็นธรรม มีเนื้อให้เนื้อมีแกงรสเผ็ดร้อนย่อมมอบให้โดยไม่ตระหนี่”

แต่ขณะที่ผู้อาวุโสคนนั้นกำลังจะเอ่ยกล่าวต่อ จู่ๆ เจ้ากุ้งแห้งก็พูดแทรกขึ้นทันทีว่า

“ไม่ล่ะท่าน ข้าไม่ชอบทานรสจัด”

เจ้ากุ้งแห้งปั้นหน้าบูดบึ้งกล่าวออกไปโดยไม่มีกลัวเกรง ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจไปแล้วและหันไปจับจ้องเย่เจวี๋ยด้วยสายตาอันหนักแน่น

“นายน้อย ข้าจะติดตามท่านไป ท่านไปไหนข้าขอไปด้วยทุกที่ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟข้าก็มิเคยลังเล!”

“….”

“เฮ้ออ…เช่นนั้นข้าก็เคารพในการตัดสินใจของเจ้า…”

ขณะที่เย่เจวี๋ยกำลังเอ่ยปากพูดอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นพลันปรากฏธารแสงประกายสีแดงเลือดพวยพุ่งออกมาจากในถ้ำตรงเข้าโจมตีเย่เจวี๋ยโดยตรง เขาที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกพลังธารแสงสีแดงดังกล่าวแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายทันที ทำเอาเขากระอักพ่นเลือดสดคำโต ร่างกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงภูเขาด้านหนึ่งอย่างแรง คลื่นสั่นสะเทือนเสียดสะท้านทั่วสารทิศพร้อมด้วยเสียงระเบิดดัง ‘บูม’ ร่างของเย่เจวี๋ยตกกระแทกคาพื้น เศษซากปรักหักพังถล่มลงมาทับมใส่เป็นกองพะเนิน

“นายน้อย!”

“นายน้อย!”

หลังจากเคลื่อนตัวออกมาจากเศษซากหินผาเหล่านั้น เขาก็พยายามลุกขึ้นแต่สุดท้ายก็ทรุดลงอยู่ในท่าคุกเข่า ยังดีที่ผู้อาวุโสยังมีเมตตาอยู่บ้าง มิฉะนั้นแรงอัดเมื่อครู่อาจทำให้เขาสิ้นใจตายทันที

“ข้าไหว ไม่เป็นไร”

สุ้มเสียงของเย่เจวี๋ยดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

“หากเจ้าตายไปสักคน เด็กคนนั้นคงไม่ต้องติดตามเจ้าอีกต่อไป”

“หากต้องการทำร้ายใครสักคนจงทำร้ายข้าเสียดีกว่า! อย่าคิดทำแบบนี้กับนายน้อยของข้าอีก!”

เจ้ากุ้งแห้งรีบลุกขึ้นทันทีเพราะกลัวว่าผู้อาวุโสจะหันมาทำร้ายนายน้อยของตนอีกระลอก รีบเข้าประคองร่างและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงขึ้นว่า

“นายน้อยไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

เย่เจวี๋ยส่ายหน้าดูท่าทีเพลียอ่อน สามพี่น้องที่เห็นดังนั้นก็รีบเข้าปกป้องนายน้อยของพวกเขาอีกแรง

“หุหุ หากข้าต้องการ เว้นเสียแต่เจ้าหนูนี่ ในวันนี้จะไม่มีใครสามารถรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้!”

“กลั่นแกล้งผู้คนด้วยกำลังหาใช่เรื่องงาม หากเจ้ากุ้งแห้งไม่เต็มใจติดตามท่านไป ไยต้องใช้กำลังบังคับกัน?”

เย่เจวี๋ยปาดเช็ดมุมปากของตัวเองเล็กน้อย และเอ่ยกล่าวขึ้น

“….”

คล้อยหลังเวลาพ้นผ่านไปสักระยะ ผู้อาวุโสคนนั้พลันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“เช่นนั้นข้าจะมอบสัตว์อสูรเดินทางให้แก่เจ้าแทนคำขอบคุณที่ยอมมอบเจ้าหนูนี่ให้ข้าดีไหม?”

หลังพูดจบพลันปรากฏสุ้มเสียงคำรามดังสนั่นจากภายในถ้ำ ทันใดนั้นก็มีพยัคฆ์ขาวตนหนึ่งปรากฏกายขึ้นต่อหน้า ดวงตาคู่นั้นของมันมีสีแดงทับทิม ทั่วกายาปกคลุมไปด้วยร่างเกล็ดแข็ง กอปรด้วยเก้าหางหกปีก แค่ยืนหยัดอยู่นิ่งยังแสดงพลังแห่งราชันย์แผ่ซ่านออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

เย่เจวี๋ยแทบพยักหน้าตอบตกลงในทันที อย่างไรเสียหากมีปฏิกิริยาแบบนั้นไปคนอื่นคงมองตนไม่ดีเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงหันไปมองเจ้ากุ้งแห้งสีหน้าจริงจังและกล่าวขึ้นว่า

“เจ้ากุ้งแห้ง นี่เป็นโอกาสเดียวในชีวิตเจ้า ต้องคิดตัดสินใจให้ดีเข้าใจหรือไม่?”

สัตว์ขี่พวกนี้เป็นสิ่งที่เย่เจวี๋ยโปรดปรานอย่างมากตั้งแต่ชีวิตก่อนหน้า ดังนั้นพอได้ยินว่าผู้อาวุโสเสนอสัตว์อสูรเดินทางเหล่านี้มาให้ เขาจึงสนใจเป็นพิเศษ

“เจ้ากุ้งแห้ง นี่เป็นดั่งพรจากสวรรค์ที่ผู้อาวุโสท่านนี้ประทานมาให้แก่เจ้า ก่อนที่เจ้าจะเอ่ยตอบอันใดควรนึกถึงผู้คนอีกนับแสนล้านที่ไร้ซึ่งโอกาสดังกล่าว หากตัดสินใจพลาดไปวันนี้ อาจต้องรู้สึกเสียใจไปชั่วชีวิต”

อวิ๋นชิงเหยาเดินเข้ามากล่าวเสริมทันที

นางรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่เห็นสัวต์อสูรเดินทาง หากพวกเขามีสัตว์อสูรตนนี้คอยช่วยเหลือ การจะเดินทางไปยังสถานศึกษาเสินซีแห่งทวีปตะวันออกคงจะง่ายขึ้นอย่างมาก

อย่างไรเสีย เจ้ากุ้งแห้งก็มิใช่คนโง่ พอเห็นผู้อาวุโสเสนอสัตว์อสูรเดินทางให้แบบนี้ เขาเองก็พึงทราบเช่นกันว่านี่หมายความว่ายังไง แน่นอนว่าเจ้ากุ้งแห้งไม่ว่ายังไงก็ไม่เต็มใจที่จะไป

แต่ไม่นานเจ้ากุ้งแห้งก็ถึงกับสำลัก เพิ่งคิดได้ว่าหากปฏิเสธไปอีกครา รอบนี้ผู้อาวุโสไม่เอาเย่เจวี๋ยถึงตายเลยงั้นรึ?

ผู้อาวุโสก็เงียบนิ่งมิได้ปริปากตอบอันใด ดูเหมือนว่ายามนี้จะกำลังรอคำตอบอยู่จริงๆ

เย่เจวี๋ยรีบดึงแขนเจ้ากุ้งแห้งไปหลบมุมคุยอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนอวิ๋นชิงเหยาก็แอบเนียนเดินตามไปเช่นกัน

เย่เจวี๋ยกับเจ้ากุ้งแห้งคุยกันเป็นเวลาเนินนาน ส่วนอวิ๋นชิงเหยาก็ช่วยเสริมเพิ่มไฟให้อีกแรง จนในที่สุดเจ้ากุ้งแห้งก็ยอมอยู่กับผู้อาวุโส ก่อนจากกันเย่เจวี๋ยยัดถุงหินลมปราณระดับสูงลงในอ้อมแขนของเจ้ากุ้งแห้งโดยสั่งเสียไว้ว่าตั้งใจฝึกปรือให้ดี หากมีเวลาว่างเขาจะเดินทางมาเยี่ยมเจ้ากุ้งแห้งแน่นอน

หลังจากนั้น เย่เจวี๋ยและพรรคพวกของเขาเดินตรงไปหาเจ้าพยัคฆ์ขาวติดปีกเตรียมจะบินจากไป แต่พอเข้าใกล้ เจ้าพยัคฆ์ขาวติดปีกกลับดิ้นไม่ยอมให้ขึ้นเสียอย่างนั้น

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด