กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์ – ตอนที่ 72 จิตใจขององค์หญิงน้อย

อ่านนิยายจีนเรื่อง กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์ ตอนที่ 72 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 72 จิตใจขององค์หญิงน้อย

 

หลังกลับมาถึงตระกูลจี้ จี้เทียนซิงก็ไปหาบิดาที่ห้องลับ เขายังคงรักษาตัวอยู่แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะดีขึ้นบ้าง แต่ก็ฟื้นตัวได้ช้ามาก เขาไม่ได้ปลุกบิดาขึ้นมาเพื่อแจ้งข่าวดี แต่เพียงแค่พูดคุยกับทหารยามไม่กี่คําจากนั้นก็จากไป

 

เขากลับไปที่บ้านของตัวเองและเข้าไปในห้องลับเพื่อฝึกฝนต่อ ยังเหลือเวลาอีกสองวัน เขาต้องใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่า เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุด

 

เม็ดยาและโอสถล้ําค่าที่เก็บไว้ในห้องลับที่ได้จากองค์หญิงน้อยเค่อเค่อ เขาดูดซับพวกมันไปแล้วแทบทั้งหมด

 

ในช่วงสองวันนี้เขาอยู่แต่ในห้องลับและออกมาเพียงครั้งเดียว ช่วงเวลาที่ออกมาก็แค่ครึ่งชั่วโมงเพื่อกินอาหารเติมพลังงานและถามข้อมูลบางอย่างจากปูซาน

 

ในช่วงสองวันมานี้เหตุการณ์ภายในตระกูลจี้นับว่าเงียบสงบ

 

ผู้อาวุโสสอง จี้หรูเฟิ่งเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบเชียบเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหล่าผู้บริหารหลายคนที่ถูกกักบริเวณไว้ในบ้านก็กินอยู่นอนหลับอย่างสบายตามปกติ โดยไม่มีเคลื่อนไหวใดๆเช่นกัน

 

แม้แต่จี้ห่าวก็ฝึกวิชาอย่างขยันขันแข็งและไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากําลังรอคอยต่างหาก .. รอคอยการคัดเลือกรอบสุดท้ายของนิกายหนุนสวรรค์ ! 

 

เพราะพวกเขาทุกคนที่อยู่ฝ่ายจี้หรูเฟิ่งต่างรู้ดีว่าวันที่การคัดเลือกสุดท้ายเริ่มต้นขึ้นก็คือเวลาตายของจี้เทียนซิง !

 

ส่วนในตัวเมืองจักรวรรดิชิงหยุนกลับตรงกันข้ามกับความเงียบสงบของตระกูลจี้ มันเต็มไปด้วยความคึกคักและมีชีวิตชีวามากในช่วงสองวันนี้

 

เนื่องจากการคัดเลือกศิษย์ใหม่ของนิกายหนุนสวรรค์กําลังจะเริ่มขึ้นในอีกสองวัน ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกๆสามปี มันเป็นงานที่ดึงดูดเหล่าจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนให้เข้ามาในเมืองจักรวรรดิ

 

อีกด้านหนึ่ง มีข่าวใหญ่เกิดขึ้น มันคือเรื่องพลังยุทธ์ที่ฟื้นคืนของจี้เทียนซิงนั่นเอง !

 

มันเป็นเรื่องใหญ่ที่ทําให้ฝูงชนถกเถียงกันอย่างคึกคัก ไปทั่วทั้งเมือง

 

ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็ตั้งตารอคอยการกลับมาเพื่อเป็นสักขีพยานของอัจฉริยะอันดับหนึ่ง ทุกคนต้องการรู้ว่าหลังจากพลังฝีมือกลับคืนมาแล้วเขาจะแข็งแกร่งดั่งเดิมหรือไม่

 

เขาจะสามารถล้างความอัปยศทั้งปวงและสร้างชื่อจนได้รับเลือกเป็นศิษย์ของนิกายหนุนสวรรค์หรือไม่

 

ทุกคนต่างก็ตั้งตารอดู

 

สองวันผ่านไป

 

ยามเช้าของวันที่สาม ในที่สุดจี้เทียนซิงก็ออกจากการบ่มเพาะและเดินออกจากห้องลับ

 

ในเวลานี้เขารูปร่างหน้าตาเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่พลังยุทธ์กลับเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก!

 

กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาเต็มไปด้วยพลัง ดวงตาเป็นประกายแน่วแน่เผยให้เห็นถึงความมั่นใจและความคาดหวัง!

 

ภายใต้การดูแลของฮวนเอ้อ จี้เทียนซิงเปลี่ยนอาภรณ์เป็นสีดําคาดเงินดูเลิศหรูราวกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่

 

เขาถือกระบี่มังกรดําที่หุ้มด้วยผักกระบี่เหล็กสีดําและเดินออกจากตระกูลจื้อย่างสงบ

 

ในเวลานี้ดวงอาทิตย์เพิ่งจะขึ้นและสายลมยามเช้าที่พัดผ่านก็ทําให้ผู้คนรู้สึกปลอดโปร่ง มันนับเป็นวันดีอีกวันหนึ่ง

 

ผู้คนในเมืองจักรวรรดินับไม่ถ้วนแห่ไปที่จัตุรัสกลางเมือง เพื่อชมการประลองคัดเลือกรอบสุดท้ายของนิกายหนุนสวรรค์ พวกเขาตั้งตารอดูการปรากฏตัวของอัจฉริยะทั้งสิบ! 

 

รถม้ามากมายวิ่งผ่านถนนที่แออัดหลายแห่งและจอดที่ริมจัตุรัส

 

จัตุรัสอันกว้างใหญ่ที่มีพื้นที่เกือบสามกิโลเมตรเต็มไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่ก็เป็นคนชาวเมืองจักรวรรดิชิงหยุนและจอมยุทธ์รอบนอกทั่วไป

 

จี้เทียนซิงเงยหน้าขึ้นและมองฝูงชนที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน คํานวณคร่าวๆแล้วอย่างน้อยก็มีเกินกว่า 3,000 คน !

 

จี้เทียนซิงเดินผ่านฝูงชนและเดินไปยังเวที่สูงกลางจัตุรัส

 

รายการในวันนี้จะถูกจัดขึ้นโดยผู้ดูแลของนิกายสองคนและศิษย์หลักทั้งสามของนิกายก็มารอชมผลการคัดเลือกด้วยเช่นกัน

 

เมื่อจี้เทียนซิงเบียดเสียดฝูงชนจนมาถึงเวทีสูงก็พบว่ามีเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์กว่า 20 คนยืนอยู่

 

มีคนมากกว่า 20 คนที่ผ่านการทดสอบรอบที่แล้ว และในวันนี้พวกเขากําลังจะเข้าร่วมในการประลองรอบสุดท้าย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในรัฐ

 

พวกเขาแต่ละคนยืนกันละจุดและพื้นรอบๆต่างก็โล้งโจ้งเพราะไม่มีฝูงชนกล้าเข้าไปใกล้

 

จี้เทียนซิงยืนอยู่บนขั้นบันไดหินใต้เวทีประลองเพื่อรอคอยเวลาอย่างเงียบสงบ

 

ฝูงชนรอบและจอมยุทธ์บางคนที่จดจําเขาได้ต่างก็เริ่มพูดคุยกระซิบกระซาบกันด้วยท่าทางแปลกๆ

 

ภายในพริบตาผู้คนที่อยู่ใกล้เขาต่างก็ถอยร่นจนเหลือพื้นที่เว้นว่างให้ชายหนุ่ม

 

นอกเหนือจากผู้ชมจํานวนมากที่กระซิบกระซาบแล้วก็ยังมีจอมยุทธ์หลายต่อหลายคนที่จ้องมองไปยังจี้เทียนซิง

แววตาของพวกมันบางคนก็ชื่นชม บางคนก็ตื่นตัวและบางคนก็เฉยเมยไม่แยแส ซึ่งแววตาตื่นตัวเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยความเป็นปรปักษ์และจิตสังหารที่รุนแรงจนทําให้จี้เทียนซิงรู้สึกเหมือนมีหนามแหลมคมกําลังจ่ออยู่กลางหลัง

 

เขากวาดสายตามองและได้เห็นเจียงไป๋อวี้ในเสื้อคลุมสีขาว กําลังจ้องมองเขาด้วยใบหน้ามืดมน

 

“เหอๆ ดูเหมือนว่ามันจะขายหน้าไม่น้อยถึงได้ส่งสายตาเป็นปฏิปักษ์ใส่ข้ารุนแรงขนาดนี้”

 

จี้เทียนซิงคิดในใจและยกยิ้มมุมปากมองไปยังเจียงไปยังเจียงไป๋อวี้

 

หลังจากนั้นไม่นานผู้คนก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนอัดแน่นไปทั่วเวที พวกเขาตั้งตารอการแสดงครั้งใหญ่ที่กําลังจะมาถึงในไม่ช้า

 

นอกจากนี้ องค์หญิงน้อยเค่อเค่อก็ผ่านการทดสอบแรกด้วยเช่นกันและเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมพิธีคัดเลือกอันยิ่งใหญ่นี้

 

นางเดินผ่านฝูงชนจากการคุ้มครองของทหารยามผู้แข็งแกร่งจนมาถึงเวทีสูง จากนั้นนางก็กวาดสายตามองไปรอบๆ จนเห็นจี้เทียนซิง นางวิ่งไปหาเขาอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อพบหน้า องค์หญิงน้อยเค่อเค่อก็กล่าวกับจี้เทียนซิงด้วยน้ําเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ ข้าเกลียดท่าน !!”

 

นางกล่าวพลางจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยดวงตากลมโต และแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา

 

“นี่ ” จี้เทียนซิงอ้าปาก หลังจากนั้นก็เผยยิ้มพลางกล่าวถามว่า “เค่อเค่อ เจ้าเป็นอะไร ? ไม่พอใจอะไรหรือ ?”

 

“เหอ ! ถามมาได้อีกนะ ! แน่นอนว่าข้าไม่พอใจ !” องค์หญิงน้อยเค่อเค่อกอดอก และเบือนหน้าหนีพลางกล่าวว่า

 

“เจ้าคนโกหกพกลม ท่านฟื้นคืนพลังกลับมาแล้วแท้ๆกลับไม่ยอมบอกข้า ปล่อยให้ข้าหลงเป็นห่วงเค้นสมองและแรงกายหาทางช่วยท่าน… ฮึ้ย ! ท่านมันน่าชังนัก !”

 

จี้เทียนซิงเผยรอยยิ้มอย่างอบอุ่น เขามองนางอย่างจริงใจ และกล่าวขอโทษว่า

 

“เค่อเค่อ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเจ้า แต่ข้ามีความจําเป็นและปัญหาที่ต้องแก้ไขเอง”

 

“เจ้าต้องรู้ว่าตระกูลจในตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากหลาย…”

 

ไม่ต้องรอให้ชายหนุ่มพูดจบ ใบหน้าที่โกรธกริ้วขององค์หญิงน้อยก็หายไปในพริบตา ดวงตากลมโตที่สดใสจับจ้องไปที่จี้เทียนซิง เมื่อเห็นสีหน้าจริงใจของเขา นางก็เผยยิ้มให้และกล่าวว่า “เข้าใจแล้วพี่ใหญ่เทียนซิงท่านไม่ต้องอธิบายอีก” 

 

“ข้าเข้าใจแล้วว่าท่านจําเป็นต้องอุบเรื่องนี้ไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ศัตรูตื่นตัว ข้าเข้าใจถูกต้องใช่ไหม ?”

 

จี้เทียนซิงยิ้มและพยักหน้า “ถูกต้อง เค่อเค่อ เจ้าเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า หากไม่จําเป็น ข้าไม่คิดปิดบังเจ้าแน่นอน”

 

“โอ้ พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านก็เป็นสหายที่ดีที่สุดของข้าเช่นกัน…”

 

องค์หญิงน้อยแสดงรอยยิ้มอันแสนหวาน ใบหน้าดูน่ารักขึ้นเรื่อยๆ

 

จากนั้นนางก็ชูกําปั้นเล็กๆสีขาวและกล่าวกับจี้เทียนซิง “พี่ใหญ่เทียนซิง วันนี้พวกเราต้องทุบตีเหล่าสิบอัจฉริยะให้น่วม เพื่อได้รับสิทธิ์เข้าร่วมนิกายหนุนสวรรค์!”

 

“เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราทั้งสองจะได้ไปฝึกฝนในนิกายพร้อมกัน และใช้เวลาฝึกวรยุทธ์ร่วมกัน ดูแลกันและกัน…”

 

ในขณะที่พูด ดวงตากลมโตอันสดใสขององค์หญิงน้อยก็เปล่งประกายอันคาดหวัง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด