POWER AND WEALTH (พลังและความมั่งคั่ง) – ตอนที่ 49

อ่านนิยายจีนเรื่อง POWER AND WEALTH (พลังและความมั่งคั่ง) ตอนที่ 49 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ในรุ่งเช้าถัดมาสำนักกิจการทั่วไปตอนนี้ก็มีงานยุ่งเป็นปกติเหมือนทุกวัน

โดยดงซูบินกำลังถ่ายเอกสารบางอย่างที่เครื่องถ่ายเอกสารและสังเกตการณ์คนที่เหลือในสำนักงานอย่างลับๆ

“ ซูบินคำกล่าวสุทรพจน์ของผู้อำนวยการหลี่เสร็จรึยัง? ถ้าเสร็จแล้วส่งมันมาให้กับฉันเดียวฉันจะเอาไปให้ผู้อำนวยการหลี่เอง” คำพูดนี้เป็นคำพูดของเกาแพนเหว่ยที่กำลังพูดกับดงซูบินที่กำลังอยู่ที่เครื่องถ่ายเอกสาร

“ ซูบินเอกสารพวกนั้นพิมพ์ออกมาหมดรึยัง? หัวหน้าซู กำลังรออยู่เอามันมาให้ฉันด้วยเดียวฉันเอาไปส่งเอง” ฉางจี้เองก็ไม่น้อยหน้าเกาแพนเหว่ยในการแข่งขันชิงอำนาจรองหัวหน้าสำนักในครั้งนี้เช่นกัน

หลังจากที่ทั้งคู่พูดเสร็จพวกเขาก็จ้องหน้ากัน แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่กระทันหันหลังจากทราบข่าวการเกษียณของหัวหน้าโจวแล้วมันทำให้เกาแพนเหว่ย และ ฉางจี้นั้นต้องการแย่งชิงอำนาจในการเป็นรองหัวหน้าสำนักงานคนใหม่ให้ได้  โดยเกาแพนเหว่ยใช้ทักษะการเลียแข็งเลียขาของเขาเพื่อ“ แสดงว่าเขาทำงานหนักขนาดไหนผ่านรายงานการทำงานของเขาเอง” ให้กับผู้หน้าเกือบทุกคนในสำนักสาขาอำเภอ โดยเฉพาะหัวหน้าฝ่ายการเมืองและหัวหน้าสำนัก ซึ่งแตกต่างจากฉางจี้นั้นมีกลยุทธ์ที่แปลกออกไป เขากำหนดเป้าหมายคนที่จะเข้าหาให้สูงขึ้น เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแสดงตัวให้หัวหน้าคนอื่น ๆ ของฝ่ายกิจการทั่วไปเห็นว่าเขาเหมาะสมขนาดไหนและเริ่มติดต่อกับผู้ตัดสินทางการเมืองของเขตบ่อยขึ้น พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักงานกิจการทั่วไป

ในอีกด้านหนึ่ง

พี่หยางเองยังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายังคงดื่มชาและอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจตำแหน่งรองหัวหน้าเลยส่วน ฉางจ้วงเองก็ยังทำตัวเหมือนเดิม แต่เมื่อเทียบกับสมัยก่อนแล้วเธอเริ่มคุยกับฉางจี้บ่อยขึ้น บางทีเธอก็นำเงินบางส่วนมอบให้ฉางจี้แบบลับๆ

“ จ้วงจื่อ” เมื่อทั้งเกาแพนเหว่ยและฉางจี้ออกไปส่งเอกสารต้าหลินเหม่ยก็เรียกจ้วงจื่อและถามอย่างร่าเริงว่า:“นายคิดว่าใครจะได้ตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักกัน?”

จ้วงจื่อไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องนี้สักเท่าไรเขาจึงตอบแบบช้าๆไป “ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ทุกคนในสำนักงานเองก็มีโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งเหมือนกันไม่ใช่หรอ??”

ต้าหลินเหม่ยเงยหน้าขึ้นและมองเขา:“ นายนี้มันซื่อบื่อจริง? ไม่เป็นไร. ซูบินนายคิดว่าใครจะได้เลื่อนตำแหน่ง?”

ดงซูบินตอบกลับโดยไม่ได้หันมามองต้าหลินเหม่ย “ไม่รู้หรอก แต่เท่าที่รู้ยังไงพวกเราสามคนก็ไม่มีโอกาสอยู่แล้วนิ”

“ โอ้! นายนี้ก็พูดตรงๆเลยนะเนี่ย” ต้าหลินเหม่ยเธอหัวเราะ “ หากเราคนใดคนหนึ่งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพระอาทิตย์ก็คงจะขึ้นจากทางตะวันตกในวันพรุ่งนี้แล้วแหละ ซูบินนายเองก็ดูเหมือนว่าอยากจะได้ตำแหน่งนี้เหมือนกันนิ ฮิฮิ ……อย่าไปคิดมากเลย พวกเรายังเด็ก อีกสามสี่ปีก็อาจเป็นตาของพวกเราที่จะเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปบ้าง”

จ้วงจื่อยังเกาหัวของเขาด้วยความมึนงงอยู่:“ อันที่จริงฉันคิดว่าซูบินเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะได้เลื่อนตำแหน่งนะ”

ดงซูบินจึงหัวเราะขึ้นมา:“ หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้วฉันรู้สถานะในตอนนี้ของฉันดี”

ต้าหลินเหม่ยเธอก็หัวเราะขึ้นมา:“ บอกตามตรงเลยนะฉันคิดว่าซูบินเองก็เหมาะสม แต่ด้วยระบบราชาการที่แตกต่างกับ บริษัท เอกชน คนที่มีความสามารถนั้นอยากที่จะได้เลื่อนตำแหน่งเพราะสิ่งพวกนี้มันขึ้นอยู่กับความอาวุโสและเส้นสายของคนๆนั้นด้วย”

ดงซูบินเองก็รู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นานเกาแพนเหว่ยก็กลับมาอีกครั้ง เขาเดินเข้ามาพร้อมกับเชิดหน้าและยิ้มไปด้วยในเวลาเดียว เพราะหัวหน้าบางคนพึงบอกเขาว่าเขามีโอกาสที่อาจจะได้รับเลือกในครั้งนี้มันเลยช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเขา “ พี่หยางหยุดอ่านหนังสือพิมพ์ได้แล้ว ซูบินตู้กดน้ำวตอนนี้น้ำมันหมดแล้วบอกให้ใครสักคนเอาถังน้ำขึ้นมาสิ และหลังจากนี้จะต้องมีใครสักคนออกจากสำนักงานนี้ พวกนายทุกคนต้องทำงานหนักขึ้นและไม่ทำให้สำนักงานของเราเสื่อมเสียเป็นอันขาด” พวกขี้ประจบสอพออย่างเกาแพนเหว่ยเริ่มพูดจาเหมือนตัวเองได้ตำแหน่งรองหัวหน้าแล้วทั้งๆที่ยังไม่คำสั่งใดๆออกมามันทำให้คนที่เหลือในสำนักงานเริ่มรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

ดงซูบินกำลังสาปแช่งเขาอยู่ภายในใจ

อีกไม่กี่นาทีต่อมา ฉางจี้ก็กลับมาที่สำนักงานและมองไปที่เกาแพนเหว่ยสักพักก่อนที่จะตบมือเข้าด้วยกันเพื่อเรียกความสนใจจากทุกคน “ มีการประชุมเวลา 13.30 น. ถ้าเสร็จมื้อเที่ยงแล้วมาพบกันก่อนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชุม ซูบิน จ้วงจื่อพวกนายทั้งคู่ไปและทำความสะอาดห้องประชุมที่ชั้นสาม ซูบินนายรับผิดชอบอุปกรณ์และเอกสารสำหรับการประชุมด้วย เข้าใจนะ. แค่นั้นแหละ. จัดการงานของนายให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”

ดงซูบินรู้สึกโมโหมาก ‘ทั้งคู่เองยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเลยแต่พวกเขาก็ออกคำสั่งเสียแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาได้เลื่อนตำแหน่งจริง ๆขึ้นมา ?’

เมื่อเขายังเห็นซูบินยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ลุกไปทำงานตามคำสั่งของเขาสีหน้าของฉางจี้ก็แสดงความไม่พอใจออกมา “ นายไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันสั่งหรือยังไง”ฉางจี้เองเขามั่นใจว่า 90% ว่าเขาจะได้เลื่อนตำแหน่งอยากแน่นอน หากไม่มีโจวฉางจูอยู่แล้ว เขาก็ไม่กลัวดงซูบินอีกต่อไป หลังจากไม่กี่วันที่ผ่านมาสถานะของเขาตกต่ำลงมาก แต่ในตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้วเขากับมาหยิ่งผยองอีกครั้ง

ดงซูบินเริ่มขมวดคิ้วและตอบอย่างเย็นชา “ไม่ทำ”

ฉางจี้เริ่มโมโห:“ ยังงี้ก็สวยดิ……………” เขาเดินไปที่โต๊ะของดงซูบินและพูดเบา ๆว่า :“ รอจนกว่าฉันจะได้เป็นหัวหน้าของนายแล้วเราจะได้เห็นดีกัน รอก่อนเถอะ….”

ดงซูบินเองก็ตอบกลับไปว่า:“ หรอ! …. ได้ฉันจะรอ.”

ฉางจี้ทำได้เพียงแค่ชักสีหน้าใส่เพียงเท่านั้น:“ หืมม!”

ในตอนกลางวัน

ระหว่างอาหารกลางวัน ต้าหลินเหม่ยทำหน้ามุ่ยและมองไปที่ฉางจี้ และเกาแพนเหว่ยที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งห่างจากพวกเขาไม่ไกล “ นายเห็นพวกนั้นไหม? สองคนนั้นยังไม่ทันได้รับตำแหน่งเลยแต่กับทำตัวเป็นหัวไปส่ะก่อนแล้ว ขนาดหัวหน้าโจวเองยังไม่ทำตัวเหมือนพวกเขาเลย ฮึ่ม! ฉันต้องการดูว่าพวกเขาจะเป็นยังหากไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง”

ดงซูบินกัดขนมปังของเขาด้วยอารมณ์โมโห:“ ใช่แล้ว หากไม่มีใครแข่งขันกับพวกเขาสำหรับตำแหน่งรองหัวหน้าคนต่อไปล่ะก็สำนักงานของพวกเราจะต้องตกเป็นของพวกนั้นอย่างแน่นอน”

จ้วงจื่อแตะพวกเขาอย่างรวดเร็ว:“ ลดเสียงหน่อย อยากให้คนอื่นได้ยินหรือยังไง”

ต้าหลินเหม่ยพูดด้วยความโมโหเพิ่มขึ้นไปอีก:“ นี่มันไม่ยุติธรรมเลย ซูบิน นายมีปัญหาแน่ในครั้งนี้ ไม่ว่าพวกเขาคนใดคนหนึ่งจะได้กลายเป็นหัวหน้าก็ตามพวกเขาไม่ปล่อยนายไว้แน่ๆ”

ดงซูบินได้แต่โบกมือและถอนหายใจแรงออกมา “แล้วฉันจะทำอะไรได้”

เนื่องจากดงซูบินได้นั่งวิเคราะห์สถานการณ์มาแล้วเมื่อคืนนี้ ตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักงานกิจการทั่วไปนั้นคงไม่ใช่พวกเขาสามคนแน่ๆ เพราะเขาและจ้วงจื่อพึงเข้าทำงานในสำนักงานได้ไม่ถึง 2 เดือนด้วยซ้ำและพวกเขายังถือว่าเป็นมือใหม่มาก อีกทั้งหน่วยงานราชการให้ความสำคัญกับความอาวุโสมากกว่าความสามารถ แม้ว่าดงซูบินจะแสดงความสามารถได้ยอดเยี่ยมขนาดไหนมันก็ไม่มีประโยชน์ใดๆเลย มันก็เหมือนกันสำหรับต้าหลินเหม่ย เธอพึงเข้าร่วมกับสำนักความมั่นคงแห่งรัฐเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้าพวกเขา เธอเองก็ยังถือว่ามีประสบการณ์น้อยมากเช่นกัน

อีกทั้งพี่หยางก็ไม่ถูกกับหัวหน้าจากสำนักเมือง ตำแหน่งของเขานิ่งมาหลายปีแล้ว รวมถึงตอนนี้เขาใกล้จะถึงวัยเกษียณแล้วและแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง อย่างน้อยที่สุดหน่วยงานจะให้การสนับสนุนให้เขาเป็นรองหัวหน้าส่วนก่อนเกษียณ ส่วนฉางจ้วงเธอก็อายุมากพอที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แต่บุคคลิกของเธอยังมีข้อบกพร่องที่สำคัญ เพราะการสร้างความประทับใจที่เธอมอบให้คนอื่นนั้นมันช่างไร้สาระเกินไป คณะกรรมการจะไม่พิจารณาเลื่อนขั้นให้เธออย่างแน่นอน

หลังจากมองดูทุกคนในสำนักงานมีเพียงเกาแพนเหว่ยและฉางจี้เท่านั้นที่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งสูงที่สุด

เกาแพนเหว่ยนั้นใกล้ชิดกับหัวหน้าหลายคนในสำนัก มันมีผลทำให้เขามีโอกาสสูงที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง

ฉางจี้เองก็รู้จักผู้ตัดสินทางการเมืองของเขต ถ้าผู้ตัดสินทางการเมืองของเขตต้องการที่จะแต่งตั้งเขาจริง ๆ ฉางจี้เองก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยและเขาเพียงรอวันที่ได้เลื่อนตำแหน่งเพียงเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นฉางจี้ดูมีภาษีดีกว่าและโอกาสของเขาก็สูงกว่าเกาแพนเหว่ยเล็กน้อย

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนใดคนหนึ่งก็จะได้เป็นรองหัวหน้า

หลังจากวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งหมดดงซูบินก็รู้สึกหดหู่ทันที่ ถ้าเขาทำงานมาแล้วหกเดือนไม่ก็หนึ่งปีเขาก็อาจจะมีคุณสมบัติที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเช่นกัน แต่ตอนนี้ไม่มีปัจจัยอะไรเลยที่เขาจะได้มันมาและแย่งชิงการรับตำแหน่งในครั้งนี้ ดงซูบินหวังเพียงแค่ตอนนี้สำนักจะโอนคนจากเขตอื่นมาเป็นรองหัวหน้าของพวกเขาแทน มันจะเป็นนรกสำหรับเขาถ้าทั้งสองคนนี้ ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจริงๆ

‘เวรจริง!’

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด