Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 – ตอน 0 บาปเจ็ดประการ
ตอน บาปเจ็ดประการ
หายนะ…
ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างโลก…สัตว์กลายพันธุ์…กันดารอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย
…
ห่างออกไปราวสามร้อยกิโลเมตรทางทิศตะวันตกของเขตปกครองพิเศษที่เก้า ชายวัยยี่สิบสามคนหนึ่งเดินก้มหน้าอยู่กลางถนน
ถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้มาหลายปี กลิ่นเหม็นเน่าของสิ่งปฏิกูลคละคลุ้งไปทั่ว…บ้านทุกหลังอยู่ในสภาพทรุดโทรม
เนื่องจากไฟฟ้าเสีย ทำให้บริเวณนั้นปกคลุมไปด้วยความมืด
ผู้หญิงส่วนใหญ่ในเมืองต่างออกมายืนตามถนนเพื่อขายประเวณี
ชายหนุ่มนาม ‘ฉินอวี่’ เร่งเดินอย่างไม่ลดละ เขาเพิ่งลาออกจากงานและตั้งใจจะซื้อสัญชาติในเขตปกครองพิเศษที่เก้าเพื่อบรรลุแผนการแรก
ด้วยส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบสองเซนติเมตรส่งเสริมให้เขาดูดีขึ้นมาก แม้แต่เสื้อผ้าเก่าเปื้อนคราบน้ำมันและหนวดเครารุงรังยังไม่สามารถทำลายความหล่อเหลามีเสน่ห์ของเขาได้เลย
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก
ฉินอวี่ก้มหน้าเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงทางแยก เขาเงยหน้ามองก่อนจะเลี้ยวซ้ายเพื่อกลับไปยังบ้านของตน ทันใดนั้น…
“พี่ชาย!”
เสียงผู้หญิงในชุดกระโปรงยาวสีซีดเรียกฉินอวี่พร้อมกระตุกแขนเขาเบาๆ
ฉินอวี่หันมองเธอพร้อมกล่าวว่า “เธอต้องการอะไร?”
“สามสิบดอลลาร์ เอาไหม?” หญิงสาวตอบพร้อมชูสามนิ้วและมองไปยังบ้านเก่าข้างหลังเธอ “ในบ้านหลังนั้น”
“ไม่!” ฉินอวี่ตอบก่อนจะเดินต่อ
“เดี๋ยวก่อนสิ!” เธอกระตุกแขนของเขาอีกครั้ง “ยี่สิบห้าดอลล่ะเอาไหม?”
ฉินอวี่ส่ายหัวและกล่าวว่า “ฉันไม่มีเงิน!”
“พี่ไม่สนใจเลยเหรอ? ในบ้านมีคนเยอะแยะเลยนะ”
“ฉันไม่มีเงินจริงๆ” ฉินอวี่กล่าวตอบพร้อมสะบัดแขนออก “ปล่อย ฉันรีบ!”
หญิงสาวกัดริมฝีปากอันแดงก่ำเพื่อยั่วยวนฉินอวี่ เธอจับแขนเขาไว้แน่นและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ข้าวเปล่าสองถ้วยแทนก็ได้นะ เดี๋ยวฉันใช้ถ้วยของฉันเอง!”
ฉินอวี่ขมวดคิ้ว “ก็บอกว่าไม่มีไง ไปให้พ้น!”
หญิงสาวยังคงไม่ลดละ เธอมองไปยังเด็กที่อยู่ในบ้านข้างๆ พร้อมกล่าว “…ฉันมีลูกสามคนที่ต้องดูแล ถ้าเกิดคืนนี้ฉันไม่ได้งาน พวกเขาต้องอดตายแน่เลย…พี่จ๋า ช่วยฉันสักครั้งเถอะนะ แค่ข้าวสักถ้วยก็ยังดี ฉันขอร้องล่ะ”
ฉินอวี่มองหญิงสาวพลันกล่าวอย่างเย็นชา “โลกเปลี่ยนไปขนาดนี้ ถ้าไม่พร้อมจะมีลูกทำไม”
หญิงสาวนิ่งไปชั่วขณะ
ฉินอวี่สะบัดแขนออกจากมือหญิงสาวอย่างรุนแรงก่อนเดินหนีไป
หญิงสาวยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในบ้านพลันตะโกนลั่น “เขามีข้าวเยอะเลย ฉันเห็นในเสื้อตอนที่ดึงเขาไว้!”
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา…
ฉินอวี่กลับมาถึงที่พักซึ่งเป็นตึกเก่าหกชั้น เขาเดินขึ้นบันไดที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นจนถึงบ้านทบนชั้นห้า
ตึกนี้มีเพียงฉินอวี่และเสี่ยวจวงเท่านั้นที่อาศัยอยู่ กำแพงชั้นนอกของตึกพลังทลายลงตอนที่เกิดภัยพิบัติและคงจะถูกรื้อถอนในไม่ช้า
ยุคนี้…คำจำกัดความของบ้านไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกแห่งที่มีคนอาศัยอยู่ล้วนเรียกว่าบ้านได้ทั้งสิ้น ฉินอวี่เลือกที่นี่เพราะไม่มีทั้งน้ำและไฟ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องจ่ายค่าสาธารณูปโภคที่แพงหูฉี่
บ้านของฉินอวี่มีเพียงเตียงและตู้สองหลัง ไม่มีอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงใดๆ นอกจากนิตยสารทางทหารปีสองพันสิบเก้าที่ยับยู่ยี่จากการถูกเปิดอ่านบ่อยครั้ง
หลังจากเข้าบ้าน ฉินอวี่ถอดเสื้อนอก หยิบถุงผ้าใบออกจากกระเป๋าก่อนจะเดินไปข้างเตียงเพื่อหยิบชามและเทข้าวอย่างระมัดระวังพลันตะโกนว่า “เสี่ยวจวง กินข้าวหรือยัง?”
“ยัง ฉันก็เพิ่งกลับมาเหมือนกัน” เสียงตอบกลับดังขึ้น
ไม่นาน ชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับฉินอวี่ก็เดินออกมา เขามีผิวสีแทนและใบหน้าคมเข้ม
“ตึก ตึก ตึก!”
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านล่างขณะที่ฉินอวี่และเสี่ยวจวงกำลังคุยกันอยู่ ฉินอวี่นิ่งไปชั่วครู่ เขารีบซ่อนกระเป๋าและชามในตู้เก็บของก่อนจะเดินลงไปเปิดประตู
ทันทีที่ประตูเปิดออก เด็กชายวัยสิบขวบจำนวนแปดคนก็ปรากฏตัวขึ้นตรงบันไดพร้อมกับผู้ใหญ่อีกหลายสิบคน!
ตึกหลังนี้ทรุดโทรมมาก พื้นแตกร้าว เสาเหล็กก็เริ่มเป็นสนิม ตึกทั้งหลังสั่นไหวราวกับจะถล่มเมื่อคนจำนวนมากกรูกันเข้าไปข้างใน
ฉินอวี่ยกมือขึ้นและตะโกนทันที “หยุด! อย่ากรูกันเข้ามา บันไดจะถล่มแล้ว!”
“คุณลุงครับ ผมหิวเหลือเกิน”
“คุณลุงครับ ผมขอข้าวหน่อย”
ฉินอวี่ผงะ
ฉินอวี่มองเด็กๆ ที่ยืนถือถ้วยอย่างน่าสงสาร
“ลุงก็หิวเหมือนกัน ที่บ้านพวกนายกินข้าวกันหรือยัง? ถ้ายัง…ลุงขอไปกินด้วยได้ไหม?” ฉินอวี่ถามด้วยรอยยิ้ม
แววตาใสซื่อสะท้อนความไร้เดียงสาของเด็กๆ แต่พวกผู้ใหญ่อดทนกับความกลับกลอกของฉิวอวี่ไม่ได้ “เอาข้าวมาแบ่งให้เรา ไม่งั้นเราจะไม่ไปจากที่นี่!” ชายหัวโล้นคนหนึ่งตะโกนออกมา
“ฉันไม่มีอะไรจะให้” ฉินอวี่ตอบ “ไม่มีจริงๆ เราทุกคนในเขตพัฒนาก็ต่างหิวโหยเหมือนกันหมด”
“เลิกโกหกสักที! เรารู้ว่าพวกนายมีข้าวเยอะ” ชายหัวโลนตะโกน “ส่งมาให้เรา แล้วเราจะปล่อยแกไป! เราไม่ได้ขออะไรมาก…แค่ครึ่งหนึ่งจากที่นายมีเท่านั้น”
“ฉันไม่มีอะไรจะแบ่งให้” ฉินอวี่ส่ายหัว
“บุกเข้าไป!” ชายหัวโลนตะโกนเสียงแข็ง
“คุณลุง พวกเราหิว…”
“ขอข้าวกินหน่อย”
ฉินอวี่พูดไม่ออก
ทันใดนั้นกลุ่มคนต่างกรูขึ้นบันไดจนตึกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเหมือนจะพังทลาย
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอวี่จึงชักมีดออกจากกางเกงและเล็งไปยังพวกเขา “พวกแกทำแบบนี้เพราะคิดว่าฉันตัวคนเดียวงั้นเหรอ? ในช่วงเวลาแบบนี้ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ฉันมีอาหารมากมาย ถ้าอยากได้ก็เข้ามาเอาสิ!”
พวกเขาเงียบไปสักพักก่อชายหัวโล้นจะพูดขึ้น “เด็กๆ ที่อยู่หน้าแกพวกนั้น แน่จริงก็แทงให้ตายเลยสิ!”
“ไอ้ระยำ…” ฉินอวี่พูดไม่ออก
“บุกเข้าไปและเอาอาหารของมันมา!” ชายหัวโล้นตะโกนสั่ง
ทันทีที่พูดจบ ฝูงชนก็พุ่งตรงไปยังฉินอวี่ เด็กๆ กระตุกแขนของเขาและอ้อนวอน “คุณลุง ขออาหารหน่อยสิ”
“คุณลุง หนูไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว”
“พวกแกทุกคนไปให้พ้น!”
ฉินอวี่ใช้มีดจี้เด็กๆ และพูดว่า “หรือจะให้ฉันแทงพวกแกจริงๆ”
เสี่ยวจวงได้ยินเสียงดังโวยวายจากด้านนอกจึงรีบออกไปดูพลันตะโกนว่า “ใจเย็นๆ เราคุยกันได้”
แต่เด็กน้อยทั้งหลายไม่รู้สึกกลัวอะไร พวกเขายังคงกระตุกขนของฉินอวี่และเปิดทางให้พวกผู้ใหญ่เข้าไป
ฉินอวี่รีบเดินไปกันประตูไว้ เขาจ้องไปยังฝูงชนและขู่ว่า “ฉันต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด อย่าบีบบังคับให้ฉันทำอะไรรุนแรงไปมากกว่านี้เลย!”
กลุ่มคนเหล่านั้นไม่ได้สนใจในสิ่งที่ฉินอวี่พูด พวกเขายังคงดิ้นรนเพื่อเข้าไปในบ้าน
ขณะเดียวกัน เด็กๆ ยังคงฉุดกระชากเขาไม่หยุด แต่ฉินอวี่ทำใจแทงเด็กเหล่านั้นไม่ได้ เขาจึงพยายามดิ้นให้หลุดเพื่อเผชิญหน้ากับพวกผู้ใหญ่
“ลุงจ๋า ขอข้าวหน่อยนะ แค่ถ้วยเดียวก็…”
“ไสหัวไป!”
เด็กชายวัยสิบขวบคนหนึ่งกระชากแขนฉินอวี่ เขาจึงสะบัดออกอย่างแรงจนเด็กน้อยตกลงไปในช่องราวเหล็ก
“อ๊า!”
เสียงกรีดร้องดังกึกก้องชั่วขณะ
“ปัง!”
ร่างของเด็กหล่นกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
ฉินอวี่และเสี่ยวจวงตะลึง พลันจ้องมองไปยังช่องราวเหล็กและทำอะไรไม่ถูก
ฝูงชนก็ต่างตกตะลึงไปตามกัน ความเงียบบังเกิดขึ้นชั่วขณะ
“เด็ก…เด็กตกลงไปข้างล่าง!” เสี่ยวจวงตะโกนด้วยความตื่นตระหนก
ฝูงชนมองลงไปด้วยความงุนงง ก่อนหันมาจ้องฉินอวี่และเสี่ยวจวง แม่ของเด็กน้อยกรีดร้องโวยวายพลันวิ่งลงไปหาลูกชาย
ฉินอวี่สับสน
“อาหาร”
“เขาผลักเด็กนั่นลงไป เราปล่อยเขาไปไม่ได้”
“ไปแย่งอาหารมันมา!”
เสียงตะโกนดังลั่นไปทั่วบริเวณ ฝูงชนต่างกรูกันเข้าไปในบ้านของฉินอวี่โดยไม่สนใจเด็กที่พลัดตกลงไปเลย
เมื่อมองไปยังฝูงชนที่กรูกันเข้ามาแล้ว เสี่ยวจวงรับรู้ได้ในทันทีว่าหากไม่นำอาหารออกมาตอนนี้ ต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ ดังนั้นเขาจึงตะโกนว่า “โอเค หยุดได้แล้ว พวกแกชนะ…เดี๋ยวฉันไปเอามาให้!”
ฉินอวี่จับแขนเสี่ยวจวงพร้อมกระซิบว่า “ไม่ได้! สักนิดก็ไม่ได้”
เสี่ยวจวงหันมากระซิบตอบ “พวกมันรู้ว่าเรามีอาหาร มันไม่ปล่อยเราไปง่ายๆ หรอก”
“ได้คืบจะเอาศอกน่ะสิ! มันไม่มีทางปล่อยเราไปอยู่แล้ว” ฉินอวี่กระซิบ “ยิงพวกมันให้ตายซะก็จบ!”
“จะบ้าเหรอ!” เสี่ยวจวงไม่ได้คิดเช่นนั้น เขายืนกรานในความคิดของตน “จริงอยู่ที่เรามีปืน แต่คนเยอะขนาดนี้ นายแน่ใจเหรอว่าจะจัดการพวกมันได้หมด!? ถ้าไม่สำเร็จ…พวกมันก็ปล้นเอาอาหารเราไปอยู่ดี อีกอย่างคลั่งจนไร้สติแบบนี้ นายจะรับมือพวกมันไหวเหรอ!?”
“เดี๋ยวฉันจะไปเอาปืน…แค่ทำตามที่ฉันบอกก็พอ”
“นายไม่เห็นหรือไงฉินอวี่? พวกมันไม่ยอมถอยทั้งๆ ที่เห็นว่ามีเด็กตกลงไป เราประมาทพวกมันไม่ได้…” เสี่ยวจวงพูดพลันเหวี่ยงแขนฉินอวี่ออก “เรามีอาหารมากพอที่จะขายได้ด้วยซ้ำ ให้ข้าวพวกมันไปสักถ้วยก็ไม่เสียหายอะไรหรอก ฉันไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยง ฉันเองก็มีสิทธิ์ในข้าวของพวกนี้ เพราะฉะนั้นฉันจะให้ใครก็ได้!”
ฉินอวี่พูดไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เสี่ยวจวงจัดระเบียบตัวเองก่อนจะหันไปหาชายหัวโล้นและพูดว่า “เขตพัฒนาก็มีกฎ ถ้าฉันให้ข้าวแล้วพวกนายต้องไสหัวไปทันที!”
“ได้อาหารเมื่อไร เราจะไปเมื่อนั้น” ชายหัวโล้นตอบ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวจวงก็เข้าไปในบ้านเพื่อนำข้าวมาให้พวกเขาทันที “เคร๊ง!” เสี่ยวจวงโยนถ้วยข้าวให้พวกเขาพร้อมโบกมือไล่ “ไสหัวไป!”
ฝูงชนนับสิบมองถ้วยใบนั้นด้วยความหิวโหย แต่ไม่มีใครกล้าเดินไปเก็บมัน
ชายหัวโล้นเงียบไปสักพักก่อนจะหยิบกระสอบป่านเล็กๆ จากเอวและเทข้าวในถ้วยลงไป
“ไสหัวไป!” เสี่ยวจวงเร่งให้พวกเขาไป
ฝูงชนยังคงเกาะกลุ่มกันอยู่หน้าประตู ชายหัวโล้นมองเสี่ยวจวงและฉินอวี่ขณะมัดกระสอบเก็บแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะไป
“ไม่ได้ยินที่พูดหรือไงวะ?” เสี่ยวจวงตะคอก
หลังจากเงียบไปสักพัก จู่ๆ มีเสียงตะโกนดังขึ้น “ช่างแม่ง! ถ้าพวกมันแบ่งข้าวให้เราได้หนึ่งถ้วย แสดงว่าต้องมีอย่างน้อยหนึ่งกระสอบ!”
“เอามาอีก ที่นี่มีคนเยอะแยะ แค่นี้ไม่พอกินหรอกโว้ย!”
“เอามาอีก!”
“ไปเอาอาหารของพวกมันมาเพิ่มสิวะ จะยืนหายใจเฉยๆ กันทำไม!?”
เสียงตะโกนมากมายดังก้องในตึก คราวนี้กลุ่มคนเริ่มชักอาวุธออกมาพลันมองไปยังฉินอวี่และเสี่ยวจวงด้วยแววตาขุ่นเคืองไร้ซึ่งความรู้สึกขอบคุณใดๆ
ชายหัวโล้นยักไหล่กล่าวเสียงทุ้ม “ดูสิ คนพวกนี้กำลังโมโหหิว ฉันคงช่วยอะไรพวกนายไม่ได้ เอาข้าวมาอีกครึ่งกระสอบแล้วเราจะไปจากบ้านนาย”
“ไอ้สารเลว!” เสี่ยวจวงพูดพร้อมหยิบมีดออกมา
“แกคิดจะทำอะไร? จะสู้กับเราอย่างงั้นเหรอ?”
“คิดว่าพวกเรากลัวเหรอ? ไม่มีอาวุธอะไรน่ากลัวไปกว่าการอดตายหรอกโว้ย!”
ฝูงชนไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย พวกเขาบุกเข้าไปในบ้านของฉินอวี่และเสี่ยวจวงทันที
เสี่ยวจวงทำอะไรไม่ถูก เขาอยากสู้แต่ไม่แน่ใจว่าจะสามารถจัดการกับกลุ่มคนเหล่านี้ได้หรือไม่
“กริ๊ก!”
ทันใดนั้น ฉินอวี่หยิบปืนพกขนาดยี่สิบมิลลิเมตรขึ้นและใส่กระสุนลงไป!
ทุกคนต่างตะลึง
ฉินอวี่ยกกระสอบข้าวขนาดใหญ่ออกจากตู้และโยนลงพื้น “อยากได้ก็เข้ามาเอาสิ!”
แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปเอาเลย
“คิดว่าพวกฉันกลัวเหรอ?” ชายหัวโล้นกล่าว “ถ้าไม่มีอาหาร เราก็อดตายอยู่ดี คิดว่าเรากลัวปืนงี่เง่าของแกเหรอ?”
ฉินอวี่มองไปยังฝูงชนและก้มมองข้าวที่ตกอยู่พร้อมพูดว่า “มาเอาไปสิ อยากได้มากไม่ใช่เหรอ? มาเอาไปสิวะ!”
ชายหัวโล้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหาฝูงชนด้านหลังพร้อมกล่าว “พวกเรามีหลายคน มันฆ่าเราทุกคนด้วยปืนโง่ๆ อันเดียวไม่ได้หรอก!”
ชายหัวโล้นก็เดินไปหยิบกระสอบข้าวทันที
“ปัง!”
เสียงลั่นไกดังขึ้นพร้อมด้วยเสียงชักปืนเตรียมยิงนัดต่อไป
เลือดของชายหัวโล้นสาดไปทั่วพื้น ร่างหนากระเด็นไปไกลกว่าครึ่งเมตรพร้อมรอยกระสุนบนหน้าอก
ฉินอวี่ถือปืนพลันพูดเสียงแข็ง “อดตายยังพออยู่ได้อีกหลายวัน แต่ถ้าใครแตะต้องอาหารของฉันก็จะตายทันทีด้วยปืนกระบอกนี้!”
ฝูงชนมองหน้ากันด้วยความกลัว
“ยังเหลือกระสุนอีกสองนัด มีใครอยากลองอีกไหม!?” ฉินอวี่ตะโกนถาม
ฝูงชนเริ่มถอยหนี
ฉินอวี่เดินไปยังศพชายหัวโล้น ปลดกระสอบป่านที่ผูกไว้รอบเอวเขาพร้อมตะโกนว่า “เสี่ยวจวง มาเอาข้าวเราคืนและไปจากที่นี่กันเถอะ”
เสี่ยวจวงเดินมาหยิบกระสอบข้าวทันที
ฉินอวี่เล็งปืนไปยังฝูงชนพร้อมกล่าว “ถอยไป!”
ฝูงชนยังคงยืนนิ่ง
ฉินอวี่เล็งปืนไปยังชายคนหนึ่งและตะโกนว่า “บอกให้ถอยไป!”
ชายคนนั้นลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะหลีกทางให้พวกเขา ฝูงชนหวาดกลัวเริ่มเปิดทางให้
…
ห้านาทีต่อมา ฉินอวี่เดินมาถึงชั้นล่างของตึก เขาเห็นหญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกชายที่บาดเจ็บร่ำไห้อย่างอาวรณ์
ฉิวอวี่ยืนนิ่งสักพักก่อนจะมอบกระสอบป่านของชายหัวโล้นให้หญิงคนนั้นพร้อมกล่าว “พวกเขากำลังลงมา ซ่อนไว้ให้ดีล่ะ”
หญิงคนนั้นผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะรับกระสอบและพูดว่า “ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณจริงๆ อาหารของคุณช่วยจุนเจือเราได้อีกหลายวัน”
จากนั้นฉินอวี่และเสี่ยวจวงก็เดินฝ่าความมืดหายไปอย่างรวดเร็ว
…
เวลาตีสามท่ามกลางทะเลทรายกว้างใหญ่ ฉินอวี่แบ่งอาหารออกเป็นสองส่วนและมอบให้เสี่ยวจวงพร้อมพูดว่า “นี่คือส่วนแบ่งของนาย เราจะแยกกันตรงนี้”
เสี่ยวจวงนิ่งไปสักพักก่อนจะถาม “จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอ? เพราะเรื่องที่เราเถียงกันก่อนหน้านี้ใช่ไหม? ฉันว่าเราไม่เห็นต้อง…”
ฉินอวี่ยกมือขัด “เสี่ยวจวง เพราะเราสองคนมีเป้าหมายที่ต่างกันเลยไปต่อด้วยกันไม่ได้ จากนี้ฉันจะไปเขตปกครองพิเศษที่เก้า…ขอให้นายโชคดี”
หลังจากพูดจบ ฉินอวี่ก็เดินจากไปอย่างไม่ลังเล เขามุ่งหน้าไปยัง ‘เขตปกครองพิเศษที่เก้า’ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
…
ในค่ายทหารทางตะวันตกของเขตพัฒนา…
“ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินเสียงปืน เราไปดูกันหน่อยไหม?” ชายชาวแอฟริกันอเมริกันคนหนึ่งที่พูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่วถาม
“ดูอะไร? คนพวกนั้นแย่งอาหารกันทุกวัน พวกมันถึงขั้นกล้าที่จะซุ่มโจมตียานพาหนะของกองทัพ นายจะไปยุ่งกับพวกมันทำไม?” เสียงของชายชราคนหนึ่งตอบกลับขณะนอนสูบบุหรี่อยู่
…………………………………………….
คอมเม้นต์