นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature ) – ตอนที่ 4 ไม่แค่คนเดียว
ตอนที่ 4 – ไม่แค่คนเดียว
นับเวลาถอยหลังกลับ 47:59:58
นับเวลาถอยหลังกลับ 47:59:57
ทะลุมาแล้วเหรอ
ดังนั้นจุดสิ้นสุดของการนับถอยหลังก็คืออีกห้วงมิติหนึ่ง ส่วนนับเวลาถอยหลังกลับหมายถึงเวลาที่จะกลับไป
คิดถึงตรงนี้แล้วชิ่งเฉินก็ถอนหายใจโล่งอก สามารถกลับไปได้ก็เป็นเรื่องดี
ถึงแม้ฝั่งนั้นก็อาจจะไม่มีคนคิดถึงเขา แม่มีชีวิตใหม่แล้ว พ่อ…..น่าจะอยู่ที่ศูนย์กักกันตัว
ดังนั้นก็ไม่น่าจะต้องคิดถึงเขาอีก
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ตัวเองก็ยังคิดจะกลับไปดูสักหน่อย
ส่วนเรื่องที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือใช้ชีวิตใน 48 ชั่วโมงนี้ให้ดี ๆ
ดังนั้น…. ตอนนี้คือวันที่หนึ่งของการนับถอยหลัง
ชิ่งเฉินเริ่มสำรวจ “โลกใบใหม่” ที่อยู่ตรงหน้าอีกรอบ
ชั่วขณะที่โลกกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ชิ่งเฉินเห็นชุดนักโทษบนร่างตัวเอง เข้าใจสถานการณ์ของตนเองในพริบตา
ตัวเขาอยู่ในห้องมืดทึบสีเทาห้องหนึ่ง นอกจากประตูเลื่อนโลหะที่เต็มไปด้วยความรู้สึกถึงเทคโนโลยีในด้านหนึ่งแล้ว ด้านอื่น ๆ เป็นกำแพงปิดสนิท บนประตูกว้าง 90 เซนติเมตรมีหน้าต่างเล็ก ๆ หนึ่งบาน แต่ตอนนี้หน้าต่างปิดอยู่
ห้องขังเป็นห้องเดี่ยว ด้านในมีเตียงเพียงหนึ่งหลัง บนเตียงปูผ้าปูที่นอนบาง ๆ หนึ่งชั้น
ด้านข้างยังมีชั้นวางของหนึ่งชั้น บนชั้นนอกจากผ้านวม, แปรงสีฟัน, ผ้าเช็ดตัว ก็ไม่มีอะไรแล้ว
กำแพงห้องขังเป็นสีเทา แต่สิ่งที่ทำให้ชิ่งเฉินไม่เข้าใจคือ ผิวของผนังสีเทานี้ส่องประกายโลหะออกมาอย่างชัดเจนภายใต้แสงจาง ๆ จากภายนอก
กำแพงโลหะหรือ
ชิ่งเฉินลุกขึ้นนั่งลูบกำแพงอย่างเหม่อลอย ที่แบบไหนถึงจะใช้วัสดุก่อสร้างโดยไม่สนใจราคาอย่างนี้
เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนั้นที่เขาเคยรู้จัก
เขาก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเองโดยเร็ว ลายนิ้วมือบนมือนี้เป็นเหมือนกับที่เขาเคยมีอย่างสมบูรณ์ แม้กระทั่งตำแหน่งรูขุมขนบนมือก็ยังไม่คลาดเคลื่อนสักครึ่งส่วน
นี่ก็คือร่างเดิมของตัวเขาเอง
หลังจากทะลุมายังโลกใบนี้ มีดเลาะกระดูกในมือของชิ่งเฉินไม่อยู่แล้ว เสื้อผ้าดั้งเดิมบนตัวก็ไม่อยู่ แต่ร่างกายเป็นของเขาจริง ๆ
ลายนิ้วมือและตำแหน่งรูขุมขนปลอมกันไม่ได้
ชิ่งเฉินนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง เขาจ้องมองประตูโลหะอันหนาหนัก ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
อย่างช้า ๆ นอกประตูเริ่มมีเสียงจอแจ ถึงขนาดมีเสียงคนตบประตูโลหะแรง ๆ
ชิ่งเฉินเดินไปที่ประตูช้า ๆ พยายามแนบติดกับประตูฟังว่าข้างนอกร้องอะไร ผลคือเขายังไม่ทันฟังให้ชัดเจน ประตูโลหะก็ส่งเสียงปล่อยแรงดันอากาศออกมาอย่างชัดเจน ประตูเปิดแล้ว
เขามองออกไปนอกประตู นอกประตูเป็นทางเดินรูปทรงสี่เหลี่ยม (回 )
เรือนจำป้อมปราการทรงสี่เหลี่ยมนี้มีเจ็ดชั้น ทุก ๆ ชั้นล้วนมีห้องขังเรียงแถวอย่างอัดแน่นเป็นระเบียบ
เรือนจำป้อมปราการที่ดูภายนอกทั้งว่างเปล่าและกว้างใหญ่มีแค่แสงไฟประปราย ในประตูโลหะที่เลื่อนเปิดคือห้องขังมืดมนคล้ายกับกักขังสัตว์ร้ายเอาไว้
ชิ่งเฉินยืนอยู่ในประตู เขาเหมือนกับเพียงต้องเดินก้าวนี้ออกไปก็จะนำไปสู่ชีวิตที่ไม่รู้จัก
ในเรือนจำอันกว้างใหญ่ จู่ ๆ มีเสียงตามสายที่ไม่รู้มาจากไหนดังออกมา ในนั้นเป็นเสียงผู้หญิงอันไพเราะว่า “เจ็ดนาฬิกาเช้า เวลารับประทานอาหารเช้า ขอให้นักโทษทุกท่านเข้าแถวตามลำดับ เดินไปโรงอาหารเพื่อรับประทาน”
เสียงดังสะท้อนในเรือนจำป้อมปราการ ส่วนชิ่งเฉินยังคงมองดูธรณีประตูตรงหน้า
คล้ายกับว่าขอเพียงเขาก้าวออกไป ทุกสิ่งล้วนจะไม่เหมือนเดิมแล้ว
ที่จริงเขารู้สึกว่าเริ่มตั้งแต่ชั่วเวลาหนึ่งตนเองก็แตกต่างออกไปแล้ว
เริ่มตั้งแต่ตอนไหนล่ะ
คงจะเป็น…..ตอนที่เขานึกว่าชีวิตเหลืออยู่เพียงสองชั่วโมงครึ่งสุดท้าย จึงได้ไปทำเรื่องที่ตนเองอยากทำที่สุดแต่ก่อนหน้านั้นไม่กล้าทำ
ตนเองถึงขนาดแจ้งจับพ่อไปแล้ว ยังมีอะไรที่ไม่กล้าเผชิญหน้าอีกล่ะ
เขาก้าวออกนอกห้องขัง
แต่ในวินาทีถัดมาเขาก็อึ้งไปอีกแล้ว
ในทางเดินที่ดูจากภายนอกไม่กว้างขวางเลย หน้าประตูห้องขังทุกห้องล้วนยืนไว้ด้วยนักโทษหนึ่งคน
ม่านตาของชิ่งเฉินหดตัวลงกะทันหัน
ชายชราหลังค่อมคนหนึ่งมองเขา มองเห็นว่าในดวงตาของอีกฝ่ายถึงกับเป็นดวงตาจักรกลที่ส่องประกายสีแดงหนึ่งดวง ดวงตาข้างขวาทั้งดวงของอีกฝ่ายเป็นเครื่องจักร ชิ้นส่วนโลหะขยายออกไปจนถึงตำแหน่งขมับด้านขวา
ดวงตาจักรกลดูแล้วไม่ประณีตเลย ถึงขนาดที่ยังหยาบ ๆ อยู่บ้าง แต่ไม่รู้เพราะอะไรชิ่งเฉินถึงได้รู้สึกถึงความกดดันจากการจ้องมองในดวงตาของเขา
เหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังวิเคราะห์รายละเอียดบนตัวเขา
คล้ายกับที่เขาใช้ความจำวิเคราะห์คนอื่น
นักโทษวัยกลางคนหุ่นล่ำคนหนึ่งแขนขวาทั้งแขนประกอบขึ้นด้วยเครื่องจักรกลทั้งหมด อีกฝ่ายขยับนิ้วมือ ชิ่งเฉินยังสามารถได้ยินตอนที่อีกฝ่ายแบและกำมือ เป็นเสียงโลหะของชิ้นส่วนจักรกลที่เคลื่อนไหว
แขนโลหะบึกบึนนั้นคล้ายกับเป็นกล้ามเนื้อเหล็กกล้าเป็นมัด ๆ แข็งแกร่งและโหดเหี้ยม
ทั่วทั้งเรือนจำป้อมปราการนี้ที่จริงแล้วมีคนครึ่งหนึ่งที่ครอบครองอวัยวะจักรกล
อารยธรรมจักรกล
ในสมองของชิ่งเฉินมีตัวหนังสือคำนี้ผุดขึ้นมา
ยังไม่ทันให้เขาได้ครุ่นคิดต่อ กลับเห็นนักโทษล่ำคนนั้นที่อยู่ห้องชังติดกันยิ้มให้เขา “ไง คนมาใหม่ ข้าวเช้าอย่ากินเยอะไปล่ะ ไม่งั้นตอนที่อ้วกออกมาจะน่าเกลียดมากเลย”
ทันทีที่พูดออกมา บนทางเดินมีคนไม่น้อยหัวเราะครืน “ได้ยินว่าเมื่อคืนมีคนมาใหม่สิบสองคน วันนี้ได้สนุกกันแล้ว”
“บนตัวเด็กนี่ไม่มีอวัยวะจักรกลสักนิด ดูท่าไม่มีความเกี่ยวพันอะไรกับข้างนอก”
ตอนที่ได้ยิน “คนมาใหม่” สามคำนี้ ชิ่งเฉินอึ้งไป เขายังนึกว่าอีกฝ่ายรู้ว่าตนเองเพิ่งจะทะลุมิติมาจากโลกเสียอีก
แต่เขาก็รู้ตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “คนมาใหม่” นี้น่าจะหมายความว่าเขาเพิ่งเข้าคุก อีกฝ่ายน่าจะไม่รู้สถานะมนุษย์โลกของตนเอง
แล้วชิ่งเฉินก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด เรื่องสนุกที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงสำหรับตนเองแล้วเกรงว่าจะเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่ง
แต่ปัญหาคือตนเองควรจะเอาชีวิตรอดในกลุ่ม “สัตว์ร้าย” จักรกลฝูงนี้ได้อย่างไร
เขาระงับความกระสับกระส่ายและหวาดกลัวในใจของตนเอง เด็กนักเรียนมัธยมปลายปีสองธรรมดา ๆ คนหนึ่งเผชิญกับเหตุเปลี่ยนแปลงอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน สิ่งเดียวที่ชิ่งเฉินสามารถกระทำได้ก็คือบังคับตนเองไม่ให้แสดงอาการผิดปกติออกไปก่อน
เพราะเขาไม่รู้ว่าถ้าหากเรื่องราวที่ตนเองมาจากอีกโลกเปิดเผยออกมาจะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร
ทันใดนั้น บนทางเดินชั้นสี่ฝั่งตรงข้ามีเสียงเด็กวัยรุ่นร้องออกมาอย่างสติแตกว่า “นี่มันที่ไหน! ผมอยากกลับบ้าน! ผมไม่อยากอยู่ในที่บ้า ๆ อย่างนี้ พวกคุณเป็นใคร!? ผมคือหวงจี้เซียนนะ พ่อผมเป็นประธานกลุ่มหย่งลี่เมืองลั่ว พวกคุณอยู่ห่าง ๆ ผมนะ!”
พูดแล้วเด็กวัยรุ่นคนนั้นก็ถึงขนาดวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปตามทางเดิน
คนอื่น ๆ ไม่ขยับเลย คล้ายกับยืนอยู่กับที่รอชมเรื่องครึกครื้น ยังคงรักษาแถวเตรียมตัวไปกินข้าวที่โรงอาหาร
มีคนแสดงกังขาอยู่บ้างว่า “เมืองลั่วคือที่ไหน”
ทันใดนั้น ชิ่งเฉินได้ยินเสียงหึ่ง ๆ เหนือศีรษะ เขาเงยหน้ามองและพบด้วยความประหลาดใจว่าบนเพดานอันสูงลิบกำลังมีโดรนที่เหมือนกล่องเหล็กสี่ตัวแยกตัวออกมาจากกำแพง เริ่มทิ้งตัวลงมา
สายตาชิ่งเฉินหยุดอยู่บนเพดาน บนกำแพงโลหะถึงกับมีปืนกลหกลำกล้องเหมือนแกตลิ่งสิบหกกระบอก “ฝัง” อย่างเป็นระเบียบกลับหัวอยู่
พร้อมกับการวิ่งของเด็กวัยรุ่นผู้แตกตื่น ปากกระบอกของปืนกลเก้ากระบอกในนั้นก็หมุนตาม!
“โปรดหยุดเคลื่อนที่” บนโดรนส่งเสียงผู้หญิงออกมา “เตือนอีกครั้ง โปรดหยุดเคลื่อนที่”
ทันทีต่อจากนั้น ในเรือนจำป้อมปราการมีเสียงตามสายของเสียงผู้หญิงดังก้องว่า “ขอให้นักโทษทุกท่านจงอยู่กับที่”
ในเวลาแค่สิบกว่าวินาที โดรนสี่ตัวขวางเด็กวัยรุ่นคนนั้นไว้ตรงทางเดินที่ใดที่หนึ่ง ใต้โดรนทุกตัวล้วนมีปากกระบอกปืนชี้ไปที่เขา
ในเวลาเดียวกัน ใต้เรือนจำป้อมปราการก็มีประตูเปิดออก หุ่นยนต์ 9 ตัวที่ถือปืนอะไรไม่รู้ตรงดิ่งมาด้วยความเร็วเต็มพิกัด
เด็กวัยรุ่นนั่งพิงกำแพงด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ ส่วนชิ่งเฉินสังเกตดูทุกสิ่งนี้อย่างเย็นชา
พฤติกรรมของอีกฝ่ายสุดโต่งอยู่บ้าง แต่กลับช่วยให้ชิ่งเฉินเรียนรู้ข้อมูลมากมาย
ปืนกล, โดรน, หุ่นยนต์, อวัยวะจักรกล, ข้อมูลนับไม่ถ้วนหลั่งไกลเข้าสองของเขาทั้งหมดในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งที่ทำให้ชิ่งเฉินรู้สึกตื่นตะลึงที่สุดที่จริงแล้วคือ เขาเห็นการแสดงออกทุกสิ่งของเด็กวัยรุ่นคนนั้นแล้วจู่ ๆ ก็ตระหนักว่าตนเองอาจจะไม่ได้เป็นเพียคนเดียวที่มาที่นี่จากโลก
ไม่ใช่คนแรก แล้วก็คงจะไม่ใช่คนสุดท้าย
…………………………………
ตอนที่ 5 – สถานะสูงส่ง
คอมเม้นต์