Carefree Path of Dreams – ตอนที่ 123
“อาจารย์ลู่ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
หลังจากนั้นครู่เดียว ที่ด้านนอกวงกตหิน สีหน้าของเจ้าสำนักสลายกระดูกก็เปลี่ยนไป “แผนที่ค่ายกลนี้ดูดซับพลังธาตุของข้ามากเกินไป ข้าสามารถคงเอาไว้ได้อีกเพียงครู่เดียวเท่านั้น!”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
ลู่เหรินเจียส่ายหน้า ประหลาดใจ “พวกมันสามารถทำลายค่ายกลได้จากด้านใน ทำให้ค่ายกลเริ่มการซ่อมแซมและใช้พลังธาตุมากขึ้นงั้นรึ?”
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่จ้าวแห่งกลไก เขาก็ยังพอเข้าใจคร่าว ๆ และไม่ได้ใช้ค่ายกลออกมาอย่างหูหนวกตาบอด เป็นการคาดเดาที่แม่นยำทีเดียว
“อู่จงหรือนักรบศักดิ์สิทธิ์ผู้เดียวไม่สามารถมีพลังทำลายสูงเพียงนั้นได้ พวกมันร่วมมือกัน!”
“พวกเราจะทำอย่างไรดี?”
เจ้าสำนักสลายกระดูกตะโกน “อาจารย์ลู่ มีความคิดดี ๆ หรือไม่?”
ลู่เหรินเจียกลอกตา “แม้ว่าพวกมันจะอยู่รวมกัน มันก็ยังคงยากที่จะทลายค่ายกลเวทย์นี้…”
“ตึง!”
เมื่อเขาพูดจบ ก็มีเสียงดังออกมาจากด้านบนค่ายกลหิน
“เพลิงสวรรค์ผลาญปฐพี!!!”
หลิวเอี๋ยนตะโกนเสียงดัง เพลิงสีเขียวระเบิดตัวออก ทำให้ก้อนหินมากมายระเบิดขึ้นบนท้องฟ้ากระจายไปทั่วทุกทิศทาง
“ฝุบ!”
หลังจากเปลวเพลิงมหึมาที่ด้านบนค่ายกลง ทั้งวงกตหินก็เริ่มมีรอยแตกร้าวราวกับใยแมงมุมกระจายไปทั่วทั้งค่ายกล ค่ายกลเวทย์ถล่มลงพร้อมกับเสียงแตกหัก ราวกับปราสาททรายถล่ม
“อ๊าก!”
เจ้าสำนักสลายกระดูกกรีดร้องและมองแผนที่ค่ายกลในมือ
ในตอนนี้ ลูกไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่ตรงกลางแผนที่และกระจายไปทั่วทั้งแผ่น เพียงไม่นาน ทั้งแผนที่ก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
นี่ไม่ใช่การกระทำของหลิวเอี๋ยนแต่เป็นธรรมชาติของแผนที่ค่ายกล หลังจากใช้งานแล้ว มันจะถูกทำลายลง
“ฮ่าฮ่า… ลู่เหรินเจีย เจ้าเก่งมาก!”
ท่ามกลางฝุ่นผง หลิวเอี๋ยนก้าวออกมา “ช่างน่าประทับใจที่เจ้าสามารถไปหาแผนที่ค่ายกลมาได้ ถ้าเจ้าใช้มันระหว่างการรบ ข้าเกรงว่าพี่น้องของข้าและตัวข้าคงจะตายไปแล้ว ตอนนี้ ดูเหมือนว่าสวรรค์จะต้องการให้ข้าจัดการเจ้าและทำลายเจ้าเสีย!”
แม้ว่าเขาจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาก็อดหันไปมองฟางหยวนที่ยังรักษากริยาสงบเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
เจ้าเมืองอี้ซานฝูรู้ว่าถ้าไม่เป็นเพราะความสามารถในการรับรู้รอบตัวของฟางหยวนที่ในค่ายกลแม้ว่าจะถูกกักเอาไว้ข้างในด้วย! เขาก็คงไม่สามารถรับมือกับค่ายกลนี้ได้
ดูเหมือนว่าจะเป็นลิขิตสวรรค์ที่เพื่อนร่วมรบคนใหม่ของเขาเป็นฟางหยวน และไม่ใช่ผู้อื่น!
“ไป!”
เห็นหลิวเอี๋ยนและพวกฝ่าค่ายกลออกมาได้ ลู่เหรินเจียและเจ้าสำนักสลายกระดูกก็ตกใจแทบตายและตัดสินใจหนีทันทีไม่คิดซ้ำสอง
“ตามพวกมันไป!”
หลิวเอี๋ยนย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดไปและสั่งการ
“อินทรีดำหางเหล็ก!”
ฟางหยวนตะโกนขึ้นฟ้า จากกลุ่มเมฆ อินทรีดำหางเหล็กปรากฏตัวขึ้นและร่อนลงพื้นให้ฟางหยวนกระโดดขึ้นหลังมันโดยง่าย
“น่าเสียดายที่ฉุยเฟิงของข้าได้รับบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้น…”
นักพรตมู่หลี่พึมพำกับตัวเองแต่ก็ไม่ได้ช้าไปกว่าหลิวเอี๋ยนพาตัวเองขึ้นไปนั่งบนหลังอินทรีดำ
แม้ว่าอินทรีดำหางเหล็กจะเป็นนกวิญญาณและมีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ แต่มนุษย์สามคนบนหลังก็ทำให้มันเหนื่อยแรงแล้ว อู่จงอีกสามคนที่เหลือจึงใช้วิชาตัวเบาไล่ตามลู่เหรินเจียไป
“ฮ่าฮ่า… ลู่เหรินเจีย! เจ้าจะหนีไปไหนได้?”
หลิวเอี๋ยนยืนอยู่บนหลังอินทรีดำและตะโกนลงไป ขณะที่อีกฝ่าย ลู่เหรินเจีย เห็นภาพนี้ เขาก็เริ่มหมดหวัง
เขาไม่คิดว่านกวิญญาณนี้จะมีความสามารถและยังซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆ โผล่ออกมาเพียงเมื่อเจ้าของของมันเป็นอิสระจากวงกตหิน!
เมื่อมีสัตว์วิญญาณไล่ตามมา ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหนีพ้น
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
ไม่นาน อินทรีดำหางเหล็กก็ร่อนลงตรงหน้าลู่เหรินเจีย ขวางทางหนีของเขา
ฟางหยวนและหลิวเอี๋ยนกระโดดลงจากหลังอินทรีและเลือกคู่ต่อสู้
โดยไม่ต้องชี้แจงอะไร ฟางหยวนตรงเข้ารับมือเจ้าสำนักสลายกระดูก ปล่อยลู่เหรินเจียให้หลิวเอี๋ยน ศัตรูคู่อาฆาตของเขา
ส่วนนักพรตมู่หลี่ เขานั่งอยู่บนหลังอินทรี ร่างกายแผ่แสงแห่งพลังเวทย์ออกมาขณะเตรียมเรียกใช้วิชาเวทย์
‘เจ้าแก่เจ้าเล่ห์!’
ฟางหยวนด่าเขาในใจ มองศัตรูของตนและไม่รู้สึกกังวลเลยสักนิด
แม้ว่าชื่อของเจ้าสำนักสลายกระดูกจะเป็นที่รู้จักในอี้ซานฝูผ่านวิชาฝ่ามือหลอมกระดูกที่ใช้รับมือวิชากำลังภายนอก แล้วอย่างไรเล่า?
แม้ว่าศัตรูผู้นี้ของเขาจะเก่งกล้า ฟางหยวนก็ยังไม่เกรงกลัว ไม่ต้องพูดถึงอาการบาดเจ็บของเจ้าสำนักผู้นี้และพลังธาตุที่ร่อยหรอของเขา เขาหน้าซีดและดูเหมือนจะล้มลงได้โดยที่ฟางหยวนไม่ต้องแตะต้องเขาด้วยซ้ำ
“เจ้ามีคำพูดสั่งเสียหรือไม่?”
ฟางหยวนส่ายหน้าและตรงเข้าเรื่องทันที
“ข้า…”
เจ้าสำนักสลายกระดูกจำฟางหยวนได้
ท่ามกลางศัตรูที่เขาเผชิญหน้าด้วยวันนี้ นอกจากหลิวเอี๋ยนแล้ว ก็เป็นชายหนุ่มฟางหยวนผู้นี้ที่ประทับอยู่ในใจเขา
เขาสามารถปลอมตัวเป็นอู่จงผู้หนึ่งจนกระทั่งเขาใช้คาถาสะกดซึ่งเปิดเผยตัวตนแท้จริงในฐานะนักรบศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกมาซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามองการณ์ไกล
นอกจากนี้เจ้าสำนักอีกผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับเขายังตายตกภายใต้กรงเล็บของฟางหยวน!
ตอนนี้ฟางหยวนหันมาเผชิญหน้ากับเขา พร้อมกับอู่จงอีกสามคน และยังมีนักรบศักดิ์สิทธิ์อีกคนที่ด้านบน เขาไม่มีทางไปแล้ว!
เขาอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ ลู่เหรินเจียเองก็ไม่ได้ดีไปกว่า
“เจ้าโจรลู่!”
มองลู่เหรินเจียที่มีท่าทีหดหู่แล้ว หลิวเอี๋ยนก็ตื่นเต้นขึ้นมา “วันที่เจ้าทรยศข้า ได้เคยคิดไหมว่าจะมีวันนี้มาถึง?”
“เฮอะ!”
ลู่เหรินเจียกระแทกเสียง “ถ้าข้าเป็นจ้าวไม่ได้ เช่นนั้นก็ยอมเป็นขอทานแล้ว ข้าจะไม่ยอมจำนนในโชคชะตาฟ้าลิขิตให้ข้าต้องตายหรอก!”
ถึงตรงนี้ เขามองฟางหยวนและรู้สึกกดดัน
มันเป็นโชคชะตา
ถ้าฟางหยวนไม่เข้าร่วมฝ่ายอี้ซานฝู หลิวเอี๋ยนย่อมไม่กล้าจู่โจมและประสบความสำเร็จ!
ถ้าไม่มีการลอบโจมตี ลู่เหรินเจียย่อมเตรียมกองทัพไว้รับมือได้และแน่นอนว่าสามารถเอาชนะหลิวเอี๋ยนและขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าเมืองได้!
โชคร้าย ทั้งหมดล้วนแล้วกลายเป็นเพียงความฝัน
แน่นอนว่า ถ้าฟางหยวนรู้ความคิดของเขาตอนนี้ เขาคงจะถูกเย้ยหยันแล้ว
เขาตัดสินชะตาของตัวเองตั้งแต่เขาดึงสำนักกุยหลิงเข้าเป็นพวกแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีหลิงอิ๋นข้างตัวสืออวี้ถงคอยช่วยเหลือนาง ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เหตุใดเขาจะไม่โจมตีลู่เหรินเจียเพื่อทำลายต้นตอของปัญหาเล่า?
…
“ฝุบ!”
เพียงแค่ไม่นาน ก็มีการเปลี่ยนแปลงกับสถานการณ์โดยรวม
เลือดเนื้อสาดกระจายไปทั่วป่าราวกับลูกศรถูกยิงออก และในป่าก็ปรากฏเงาขึ้น
“ห้ามทำร้ายเขา!”
หลังจากเลือดกองนั้น เทียนซานกับตี้ชิวก็พุ่งมาด้านหน้าอย่างตระหนก
ขณะที่เขาตกใจแทบตาย ผู้ช่วยชีวิตของลู่เหรินเจียก็มาถึง!
“ตายซะ!”
เห็นสถานการณ์ตรงหน้าเปลี่ยนไป ฟางหยวนก็ออกกระบวนท่าทันที
ตอนที่เขาตะโกน เขาใช้คำรามหยุดฟ้าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าแต่ก่อน แข็งแกร่งขึ้นเป็นหลายเท่าตัว! ใช้พลังเวทย์ของตนเองเป็นพื้นฐาน รวมกับคาถาสะกดของจ้าวแห่งฝัน แม้แต่นักรบศักดิ์สิทธิ์เองก็ชะงักไปครู่หนึ่ง!
“แกร่ก!”
ใช้โอกาสนี้ เขาพุ่งไปข้างหน้าเจ้าสำนักสลายกระดูกที่งงงันอยู่ และด้วยมือขวาเปลี่ยนเป็นรูปกรงเล็บ เขากระชากคอหอยอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล
“ตุบ!”
ขณะที่ร่างไร้ชีวิตของเขาร่วงลงพื้น มันก็ถูกไฟสีเขียวจากหลิวเอี๋ยนลามเลีย และเหลือเพียงเถ้าถ่าน
เห็นกำลังเสริมของลู่เหรินเจียมาถึง หลิวเอี๋ยนห็รู้ว่าเขามีโอกาสพลิกสถานการณ์แล้วดังนั้นจึงใช้เคล็ดวิชาสูงสุดของตน
“ปล่อยเพลิงเผาผลาญ! ฟ้าและดินเป็นเตาหลอม!”
เปลงเพลิงทุกโชนท่วมตัวเขา เปลวเพลิงสีเขียวจำนวนมากพุ่งสูงขึ้นเมื่อเขาตั้งใจเอาชีวิตลู่เหรินเจีย
แต่ลู่เหรินก็เป็นจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุผู้หนึ่งและไม่กลัวไฟ ถ้าหลิวเอี๋ยนไม่ได้มีระดับการฝึกตนสูงกว่าเขา ก็ยากที่หลิวเอี๋ยนจะกดดันเขาได้ด้วยเปลวเพลิงของตน
ลู่เหรินเจียดึงผ้าคลุมสีเงินผืนหนึ่งออกมา เขาสู้กับไฟขณะที่ถอยร่นไปในเวลาเดียวกัน
“อึ้ก… เจ้าบังคับให้ข้าทำเช่นนี้!”
จากความร้อนของการต่อสู้ เสียงดังมาให้ได้ยิน และมีแรงกดดันเวทย์อันน่าตระหนกแผ่ไปทั่วบริเวณ
เป็นลู่เหรินเจียใช้วิธีบางอย่างเป็นไม้ตายรับมือหลิวเอี๋ยน เขากระอักเลือดออกมาคำโต และผ้าคลุมสีเงินก็เปรอะเปื้อน เขาเดินขึ้นหน้ามา และเข้าไปร่วมกับปิศาจโลหิตและพวก
“อำนวยพร! จำกัด!”
ที่กลางอากาศ คาถาของนักพรตมู่หลี่ก็สมบูรณ์แล้ว ด้วยการพลิกข้อมือครั้งหนึ่ง แสงสีเขียวก็พุ่งลงมา
ฟางหยวนได้รับการปกป้องโดยแสงนั้นและรู้สึกอบอุ่นขึ้น เขาค่อย ๆ ได้พลังคืนมาจากที่เสียไปก่อนหน้านี้ และตรงกันข้าม ลู่เหรินเจีย เขาช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเทียบกับก่อนหน้า
“ไป!”
ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขากัดเม็ดยาวิญญาณที่ซ่อนเอาไว้ระหว่างฟัน แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากคาถาเวทย์และเกือบจะไปถึงระยะป้องกันของวงเลือดเมื่อครู่แล้ว
“ไป!”
“ขวับ!”
ทันใดนั้น ประกายแสงสีเขียวก็พุ่งออกมาราวกับรุ้งพาดข้ามท้องฟ้า และต่อหน้าปิศาจโลหิต มันก็ทะลุผ่านลำคอของลู่เหรินเจียไป
“แค่ก แค่ก…”
ลู่เหรินเจียล้มลงกับพื้น ขณะประกายแสงสีเขียวจางหายไป มีดรูปร่างประหลาดปรากฏขึ้น และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะตายตกภายใต้อาวุธของตนเอง!
“นายท่าน!”
ขณะที่ประกายเลือดจางลง เงาดำก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง เป็นเทียนซานและตี้ชิว ทั้งคู่คุกเข่าอยู่บนพื้นและร้องออกมาขณะมองซากไร้วิญญาณของลู่เหรินเจีย
“คนที่เหลือนั้นก็ไม่ใช่ตัวดีอะไรเช่นกัน อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้แม้แต่คนเดียว!”
หนวดเครารอบริมผีปากของหลิวเอี๋ยนเต็มไปด้วยเลือด และออกคำสั่งแก่อู่จงทั้งสามรวมทั้งหนิวติ้งเทียนด้วย “กำจัดพวกมันทั้งหมด!”
“ขอรับ นายท่าน!”
หนิวติ้งเทียนและพวกรับคำ และเข้าไปล้อมสงคนที่เหลืออยู่
…
ผ่านไปหลายวัน ข่าวที่ทำให้ทั้งประเทศเซี่ยสะเทือนก็กระจายออกไป
โลกภายนอกคิดว่าการต่อสู้ภายในอี้ซานฝูน่าจะลากยาวอย่างไม่น่าเชื่อ แต่อันที่จริงแล้ว มันจบลงเร็วกว่าที่ใคร ๆ จะคาดคิด
เจ้าเมืองอี้ซานฝู หลิวเอี๋ยน ถือโอกาสนำทัพไปด้วยตนเองเข้าไปในอาณาเขตของลู่เหรินเจียและสังหารเขา และในเวลาเดียวกันยังจัดการกับเจ้าสำนักทั้งสองสำนักด้วย
รวมทั้งก่อนหน้านี้ก็จับตัวสืออวี้ถง ฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดถูกกำจัดไป กบฏถูกพิชิตแล้ว
นอกจากนี้ อู่จงทั้งสอง เทียนซานและตี้ชิว ก็ถูกสังหาร ได้ไปพบกับเจ้านายของตนในภพหน้าแล้ว
ส่วนปิศาจโลหิตนั้น เขามองการณ์ไกลและใช้เคล็ดโลหิตลึกลับบางอย่างหนีไปได้สำเร็จ ทำให้เขาเป็นกบฏเพียงคนเดียวที่หนีรอดไปได้
หลิวเอี๋ยนเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ผู้ที่มีผลงานมากที่สุด ฟางหยวน นั้นยังคงเก็บตัวเงียบได้และไม่ได้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากนัก
คอมเม้นต์