Carefree Path of Dreams – ตอนที่ 151

อ่านนิยายจีนเรื่อง Carefree Path of Dreams ตอนที่ 151 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เดือนแปด ราชครูของประเทศอู่ อู่อู๋เต๋า นำทัพกว่าหนึ่งแสนบุกอี้ซานฝู ทำลายทุกสิ่งที่อยู่ระหว่างทาง

เพียงสิบวัน เขาก็สามารถยึดสองมณฑล เข้าใกล้เมืองอี้ซานฝูเข้ามาเรื่อย ๆ ส่งสัญญาณความตั้งใจที่จะทำลายอี้ซานฝู เมื่อข่าวแพร่ออกไป ทั้งประเทศก็ตื่นตระหนก

เมืองซางชาน

เมืองนี้สร้างขึ้นในแถบภูเขา ลักษณะภูมิประเทศนั้นมีความสำคัญมาก เพราะว่าทางขวาของเมืองนั้นติดกับพื้นที่ราบที่นำไปสู่เมืองอี้ซานฝู และยังเป็นบริเวณที่มีการแย่งชิงกันอย่างรุนแรงระหว่างสองฝ่าย

ฟางหยวนนำทัพสองหมื่นข้ามพื้นที่โล่งมาเข้าสู่เมืองซางชาน พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทหารแข็งแกร่งกว่าแสนนายจากประเทศอู่

“จงฟัง! กองทัพของประเทศอู่ของเรานั้นไร้พ่าย และราชครูของพวกเราก็ใจกว้าง ให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งคืนที่จะตัดสินใจยอมแพ้เสีย ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมทำตาม พวกเจ้าก็ต้องตายโดยไม่มีทางรอด!”

ทันใดนั้น ที่ด้านล่าง ก็มีทหารม้าและมีเสียงพูดโน้มน้าวให้พวกเขายอมแพ้ “…อย่าได้พูดว่าพวกเราไม่มอบทางรอดให้!”

“ฮึ่ม!”

จางชิงเฟิงโมโห เขาคว้าธนูขึ้นมาน้าวสายและปล่อยลูกศรออกไป

“ฝุบ!”

เสียงกรีดยาวจากการปล่อยสายธนุ และลูกศรก็พุ่งขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า มันแทงทะลุผ่านทหารผู้หนึ่งบนหลังม้าและตรึงเอาไว้กับพื้น ปลายศรที่เป็นขนนกสั่นระริก

“ดี!”

ทหารบนกำแพงเมืองคำราม และเห็นทหารม้าขยับเข้ามามากขึ้น พวกมันเก็บศพกลับไป กระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ

ความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายนั้นกว้างเกินไป แม้แต่จางชิงเฟิงเองก็ไม่มั่นใจในทหารของตนนัก

“ลงไปประชุมกันก่อน จากนั้นก็พักให้ดีสักคืนหนึ่งก่อนที่จะเตรียมรับมือการรบครั้งใหญ่ในวันพรุ่งนี้!”

ฟางหยวนในชุดธรรมดา ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ ทำท่า

“ขอรับท่าน!”

ผู้ชายกลุ่มหนึ่งเดินลงมาจากบันไดและเข้าไปในห้องโถงหลัก เซียงจื่อหลงอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวถามออกมา “ท่านเจ้าเมือง… กำลังของศัตรูมีทั้งทหารกล้าและทหารม้าแข็งแกร่ง และยังมีจำนวนมากกว่าพวกเราถึงห้าเท่า นอกจากนี้ พวกมันยังมีแม่ทัพเฟยหลงเป็นผู้นำมา รวมทั้งราชครูแห่งประเทศอู่ นักรบศักดิ์สิทธิ์อีกสามคน พวกเราจะสู้พวกมันได้อย่างไร?”

“ไม่ต้องห่วง!”

อวี้ซินโหลวเดินออกมา ลังเลเล็กน้อยและส่ายหน้า “นายท่านของพวกเราเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว!”

นี่ทำให้ทุกคนงงงวย โดยเฉพาะเซียงจื่อหลง ที่มองไปทางฟางหยวน

“ได้โปรดพูดความจริงเถอะ! กองทัพของประเทศอู่แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งกว่ากองทัพของพวกเรามาก ถ้าเราต้องปะทะกันตรง ๆ พวกเราย่อมพ่ายแพ้แน่นอน!”

ฟางหยวนพยักหน้าและอธิบายตามจริง “และนี่เป็นเหตุผลให้ข้าต้องการให้ทุกคนป้องกันเอาไว้ให้ได้สามวัน และหลังจากสามวัน สถานการณ์จะเปลี่ยนไป!”

“สามวัน?”

เซียงจื่อหลงมองหนิวติ้งเทียนอย่างไม่อยากเชื่อ ทั้งคู่ส่ายหน้า

คืนนั้น มีเงาร่างหนึ่งบินออกจากเมืองซานชานและร่อนลงที่ค่ายทหารประเทศอู่

“สามวัน?”

ซวนเชิงรับกระบอกไม้ไผ่จากพิราบวิญญาณก่อนที่จะปล่อยมันไป จากนั้นเขาก็ให้ศิษย์ที่ด้านข้างอ่านให้ฟัง และเขาก็ตกใจขณะตรวจสอบโดยรอบ

แม้ว่าดวงตาทั้งคู่ของเขาจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว เขาก็ยังสามารถทำให้เกิดความกลัวแก่ผู้ที่ได้สบตากับเขาได้

“การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์หลังจากสามวัน? เป็นไปไม่ได้!”

เป็นแม่ทัพเฟยหลง

เขาเป็นชายวัยกลางคนมีจอนสีขาวสองข้างใบหู คิ้วพาดเฉียงคม มีบรรยากาศของสุภาพบุรุษผู้หนึ่ง บอกได้ว่าเมื่อยังเยาว์ เขาย่อมเคยเป็นชายหนุ่มผู้สง่างาม

ตอนที่มองแผนที่ เขาก็ส่ายหน้า “นอกเสียจากกองทัพของเขาจะบินได้ ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ภายในสามวัน!”

“ไม่ว่าเขาจะแค่หลอกให้เราเชื่อหรือว่าจะมีความมั่นใจจริง ๆ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเขา!”

อู่อู๋เต๋ายิ้ม “แม้ว่าเจ้าเมืองอี้ซานฝูผู้นี้จะยึดเมืองซางชานเอาไว้ พวกเราก็สามารถบุกเข้าไปจัดการกับพวกมันได้โดยตรง!”

“ถูกต้อง กลยุทธ์ที่ดีคือการใช้กำลังทหารที่มากกว่าจัดการกับกองทัพที่เล็กกว่า!”

แม่ทัพเฟยหลงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ไม่ว่าเขาจะวางแผนอะไรเอาไว้ ข้าก็สามารถทำลายพวกมันทั้งหมดได้ด้วยกำลังเพียงอย่างเดียว!”

“ในเมื่อพวกท่านทั้งสองคิดเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็บุกเข้าไปวันพรุ่งนี้!”

นักพรตชราซวนเชิงพูด “แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถยึดเมืองได้ ตอนกลางคืน ข้าก็ยังสามารถสั่งให้สายลับของพวกเราจัดการกับพวกมันจากภายในได้!”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดว่าสายลับนั่นคือใคร คนที่เหลือก็ยังคงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

อย่างไรเสีย สำหรับพวกเขาแล้ว เจ้าเมืองอี้ซานฝูคนใหม่นั้นก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นพวกเขาล่วงรู้ ไม่ว่าใครใต้บัญชาของเขาก็อาจจะเป็นสายลับได้ และดูเหมือนว่าเป็นโชคชะตาลิขิตให้อี้ซานฝูต้องล่มสลายแล้ว

เวลาผ่านไป เป็นวันที่สองแล้ว

“คำสั่งจากแม่ทัพ! บุก!”

ทหารแสนนายจัดทัพเป็นแนวสุดลูกหูลูกตา

ด้วยคำสั่งจากแม่ทัพ ทหารทั้งหมดของประเทศอู่ก็คำรามซ้ำ ๆ “บุก! บุก! บุก!!!”

เสียงแตรดัง บันได หอธนู และเครื่องปาหินก็ถูกผลักไปด้านหน้ากองทัพ นักธนูขึ้นประจำที่ มีท่าทางเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณสู้รบ

เห็นภาพนี้แล้ว ทหารบนกำแพงเมืองก็ตัวสั่นด้วยความกลัว

แม้ว่าทหารของทัพอี้ซานฝูจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่พวกเขาก็ยังคงกลัว อย่างไรเสีย การประลองยุทธหรือต่อสู้โดยปกติแล้วก็ต่างไปจากสงครามด้วยประการทั้งปวง

“ยิงหิน! ยิง!”

ในกระบวนทัพประเทศอู่ มีเครื่องยิงหินกว่าสิบตัวเรียงราย และด้วยคำสั่งของนายกอง หินก้อนใหญ่ก็ถูกปาใส่กำแพงเมืองอย่างต่อเนื่อง

“โครม!”

“โครม!”

ก้อนหินขนาดตั้งแต่ 13 ชั่งถึง 130 ชั่งพุ่งเข้าใส่กำแพงเมือง ก่อให้เกิดรูใหญ่และเสียงทลายดังลั่น

การกระแทกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเริ่มมีรอยแตกเกิดขึ้นในบางจุด

หลังจากยิงก้อนหินไปหนึ่งรอบ เครื่องยิงหินก็ดูจะเริ่มใช้งานต่อไม่ไหวหลังจากถูกใช้งานอย่างหนักหน่วง จึงถูกนำกลับไปซ่อมแซม ทหารที่ราวกับมดงานจำนวนมากก็ลากบันไดและหอธนูออกมารับมือกับลูกศรจากในเมือง มุ่งหน้าเข้าใกล้ประตูเมืองไปเรื่อย ๆ

“เตรียมศร ยิง!”

ที่บนกำแพงเมือง จางชิงเฟิงคำรามและสั่งให้ยิงลูกศรลงไปข้างล่าง

ทหารหลายคนถูกยิงล้มไป แต่พวกมันก็ไม่ถอย กลับกัน พวกมันมาถึงกำแพงเมืองขณะที่หอธนูของพวกมันกลายเป็นกำบังให้ พวกมันเริ่มไต่บันไดขึ้นด้านบน

“เตรียมน้ำมันเดือด! เท!”

“หินอยู่ไหน? ยิงออกไป!”

บนกำแพงเมือง น้ำมันเดือด ๆ ถูกเทลงไปตามกำแพงอย่างไม่ปรานี ตามมาด้วยก้อนหินขนาดใหญ่กลิ้งตามลงไป กระแทกเข้ากับทหารหลายนายและลวกทหารอีกหลายนายด้วย เพียงไม่ช้า ที่ฐานกำแพงเมืองก็มีเลือดนองเป็นชั้นหนา เป็นภาพที่ดูน่าสยดสยอง

“แม่ทัพหนิว แม่ทัพเซียง!”

ฟางหยวนยังคงมีท่าทีเช่นเดิมขณะสั่งเคลื่อนกำลังทหาร และเรียกหาอู่จงทั้งสอง

“ศัตรูร้ายกาจมาก ดังนั้นจงระวังกลยุทธ์ตัดหัวมังกรของพวกมัน!”

“น้อมรับคำเตือน ท่านเจ้าเมือง พวกเราจะระวัง!”

หนิวติ้งเทียนและเซียงจื่อหลงโค้งคารวะลง และเซียงจื่อหลงก็เสริม “ถ้าพวกเรายังคงมีทหารที่มีประสบการณ์อยู่ พวกมันคงไม่กล้าโจมตีเราซึ่งหน้า!”

อะไรคือกลยุทธ์ตัดหัวมังกร?

ก็คือพวกเขาอาจจะส่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับพลังธาตุมาโดยมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว จัดการกับฟางหยวน หรืออาจจะใช้ทหารของพวกมันเข้าล้อมแม่ทัพของฝ่ายตรงข้ามเพื่อเอาชนะสงครามโดยไม่ต้องสู้รบ

ฟางหยวนใช้กลยุทธ์นี้มาก่อนในการจัดการกับลู่เหรินเจีย คืนความสงบสุขแก่อี้ซานฝู มันเป็นวิธีการที่ง่าย

แต่ว่า สถานการณ์ตอนนี้ต่างกัน

ทหารกล้าสองหมื่นนายของเขาล้วนอยู่ในเมือง แม้ว่านักรบศักดิ์สิทธิ์หรืออู่จงของศัตรูจะผ่านประตูเมืองมาได้ พวกมันก็จะถูกพวกเขาสามคนจับตัวได้ ถ้าไม่ต้องคิดถึงชีวิตของพวกทหาร แน่นอนว่าพวกเขาย่อมสามารถทำให้นักรบศักดิ์สิทธิ์หรืออู่จงนั่นตายได้อย่างแน่นอน

ดังนั้น สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว นี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้ม

นอกจากนี้ ก็ไม่ใช่ความลับแล้วว่าฟางหยวนนั้นครอบครองนกวิญญาณอยู่ตัวหนึ่ง

ต่อให้ศัตรูโง่งมเพียงไหน พวกมันก็ไม่โง่พอที่จะบุกเข้ามาแล้วพลีชีพตัวเอง

หลังจากการต่อสู้รุนแรงมาทั้งวัน ที่ด้านล่างประตูเมืองก็มีซากศพกองเป็นภูเขา

“ถอย!”

ภายใต้พระอาทิตย์ส่องสว่างและเลือดนองไปทั่ว กองทัพของประเทศอู่ก็ถอยออกจากบริเวณสู้รบ

“รายงานท่านเจ้าเมือง!”

จางชิงเฟิงมีบาดแผลหลายแห่ง และเกราะของเขาก็ถูกย้อมสีแดงเลือด “การโจมตีของประเทศอู่วันนี้รุนแรงนัก ทหารของเราประมาณหนึ่งพันนายเสียชีวิต และอีกแปดร้อยได้รับบาดเจ็บสาหัส! การตายของพวกมันน่าจะมากกว่าเราประมาณเท่าตัว!”

ขณะที่เขารายงาน คิ้วของเขาก็ขมวด

กองทัพของศัตรูบ้าคลั่งมาก บ้าคลั่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้

ถ้าเป็นอย่างนี้ไปทุกวัน ก็จะใช้เวลาเพียงแค่สิบวันที่กองทัพของอี้ซานฝูจะสลายไป

“ในเมื่อผ่านวันนี้ไปได้ ก็หมายความว่าพวกเราเหลือเวลาอีกเพียงสองวัน ทุกคนแยกย้าย และพักผ่อนให้ดีเพื่อรับมือการรบพรุ่งนี้!”

ฟางหยวนโบกมือด้วยท่าทีง่าย ๆ

“ขอรับ ท่าน!”

กลางดึก มืดสนิทและไร้ลม

ห้องลับห้องหนึ่งภายในเมืองจุดเทียนสว่าง

นายกองหลายคนของทัพอี้ซานฝูมารวมกัน สีหน้าทะมึน “พวกเราทำสงครามต่อไปไม่ได้แล้ว!”

“เพียงแค่วันเดียวพวกเราก็ล้มตายไปถึงหนึ่งในสิบส่วน แล้วจะทนต่อไปอีกได้อย่างไรกัน?”

ชายร่างใหญ่หนวดเฟิ้มทุบกำปั้นลงกับโต๊ะ “คนผู้นั้นเป็นอู่จงและยังเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ และยังมีนกวิญญาณอีกด้วย ถ้าสถานการณ์เลวร้าย เขาย่อมหนีไปได้ แต่พวกเราก็คงต้องรอความตายอยู่ที่นี่!”

“ถูกต้อง!”

นายกองคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วย สีหน้าไม่พอใจ

ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะฟางหยวนไร้ประสบการณ์ในการคุมทัพใหญ่และเพราะว่าเขาไม่สามารถทำให้ทหารนายกองยอมสละชีพได้

อันที่จริง ถ้าไม่ใช่เพราะพรสวรรค์และความสามารถเชิงยุทธ์ของเขา พวกมันก็คงก่อกบฏและกองทัพก็คงหลุดออกจากการควบคุมของเขา ส่วนตอนนี้ ก็คงต้องทนกันไปก่อน

“นายกองเซี่ยง เจ้าให้พวกเรามารวมกันที่นี่ท่านมีแผนการอะไร?”

นายกองคนอื่น ๆ สบถอีกหลายคน แต่ความสนใจทั้งหมดก็เปลี่ยนไปอยู่ที่บุคคลที่ตรงกลาง

“ใช่แล้ว!”

นายกองคนหนึ่งในพวกมันหัวเราะ “ทุกคนล้วนเป็นพี่น้อง ดังนั้นข้าจะพูดความจริง อี้ซานฝูย่อมพ่ายแพ้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าพวกเราต้องการรอดชีวิตหรือมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แผนการที่ดีที่สุดก็คือเปลี่ยนความจงรักภักดีเสีย!”

ขณะที่เขาพูด ไม่มีใครตั้งคำถามเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกมันส่วนมากก็คิดเช่นนี้

“ด้วยความสามารถของพวกเรา การทรยศเป็นไปได้ยากมาก!”

นายกองชิวหรานถอนหายใจ “จางชิงเฟิงนั้นจงรักภักดีต่อคนผู้นั้นเป็นที่สุด และยังเป็นจอมยุทธ์ผู้ใช้พลังธาตุ เขายังเดินตรวจประตูเมืองด้วยตนเอง…”

“แล้วถ้าพวกเจ้ารวมพวกข้าเข้าไปด้วยล่ะ?!”

ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เดินเข้ามาในห้อง

“อืม?”

นายกองที่กำลังพูดคุยตกใจและเกือบจะดึงมีดออกมา เมื่อเห็นใบหน้านั้น เขาก็ผ่อนคลายลงและดูยินดี “หัวหน้า!”

“ช่างบังเอิญนัก คืนนี้เป็นข้าที่มีหน้าที่เดินยาม มันง่ายมากที่จะกบฏและเปิดประตูเมืองยอมแพ้!”

หัวหน้าผู้นั้นถอนหายใจ “ข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อตัวข้าเอง แต่เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในอี้ซานฝู!”

“หัวหน้า ท่านพูดถูก!”

นายกองล้วนยินดี “ภายใต้การนำของหัวหน้า จะยังมีอะไรให้ต้องกลัวอีก?”

พวกใจร้อนสองสามคนพูดออกมา “ตำแหน่งเจ้าเมืองสมควรเป็นของท่าน ฟางหยวนผู้นั้นก็แค่คนนอก เหตุใดจงมีสิทธิ์ชิงตำแหน่งนี้ไป?”

“ดีมาก อย่ามัวเสียเวลาเลย ไป…”

คนผู้นี้จมอยู่ในภวังค์ความคิดและทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว “นั่นใคร?”

“แกว๊ก! แกว๊ก!”

เสียงร้องแหลมสูงดังมาจากด้านนอก และเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ตามมาด้วยเสียง “หนิวติ้งเทียน เจ้าก็ได้เห็นและได้ฟังด้วยตัวเองแล้วใช่ไหม?”

 

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด