Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป – ตอนที่ 121

อ่านนิยายจีนเรื่อง Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ ตอนที่ 121 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 121 เนินเขาแห่งนี้มีกลิ่นอายแห่งความตาย

 

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้นแต่ทุกๆคนก็แทบจะไม่ได้พักผ่อนเลยยกเว้นมู่อี้

 

และมู่อี้ก็ไม่ได้ออกไปไหนเช่นกัน เขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดของตนเอง ต้มยา และใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลาย

 

ความจริงแล้วแม้ว่าเขาจะไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเนี่ยนหนิวเอ้อร์เมื่อคืนนี้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะบอกกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไปจริงๆว่าเขาอยู่ที่นี่ก็เพื่อคอยช่วยเหลือพวกโม่หรูเยียน อย่างน้อยที่สุดความสัมพันธ์ของเขากับอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก เขาจ่ายเงินออกไปแล้วและอีกฝ่ายมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของเขา มันเป็นแค่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับงานเท่านั้น

 

อย่างดีที่สุดพวกเขาก็แค่รู้สึกคุ้นเคยกันเท่านั้นแต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าสนิทกัน การเดินทางไปที่เมืองลั่วหยางในครั้งนี้ถ้าหากต้องแยกกันเดินทางจริงๆ เขาก็คงไม่รู้ว่าจะได้เจอกับผู้คุ้มกันกลุ่มนี้อีกหรือไม่ในอนาคต

 

เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่เขายังอยู่ที่นี่ก็เพราะเสียงที่เหมือนกับนกหวีดที่ดังขึ้นมาเมื่อคืนนี้ เงาดำตนนั้นดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของใครบางคนและนั่นหมายความว่ามันเป็นผีดิบที่ถูกสร้างขึ้นมาเหมือนกับท่านปู่ของเขา นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่มู่อี้เลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป เขาอยากจะรู้ว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ มีจุดประสงค์อะไร และเกี่ยวข้องกับหลี่เฉียจื่อหรือไม่

 

แม้ว่าในโลกใบนี้การสร้างผีดิบนั้นจะไม่ได้มาจากสายตระกูลเดียวทั้งหมด แต่มันก็ถือว่ามีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง

 

ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งบริเวณนี้ก็อยู่ใกล้กับเมืองลั่วหยางมากแล้วและชวี่ยี่จวงก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองลั่วหยาง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชวี่ยี่จวงก็ได้ใช่ไหม? นี่คือสิ่งที่มู่อี้อยากจะรู้ในตอนนี้

 

เขาอยากจะรู้เรื่องทั้งหมดนี้จึงเลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปพร้อมกับทุกๆคน ซึ่งนั่นคือเหตุผลจริงๆที่เขาเลือกจะอยู่ที่นี่

 

แต่เหตุผลนี้มู่อี้ไม่ได้บอกใครเลยรวมถึงเนี่ยนหนิวเอ้อร์ด้วยเช่นกัน

 

ขบวนรถม้ายังคงออกเดินทางไปตามเส้นทางที่วางแผนเอาไว้ แต่ในตอนบ่ายของวันนี้ทันใดนั้นโม่หรูเยียนก็ยื่นแขนของนางออกมาและขบวนรถม้าก็หยุดเดินทางอย่างกะทันหัน

 

“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ นายหญิงน้อย?” ท่านลุงไฉเข้ามาหาโม่หรูเยียนและถามขึ้นมาทันที

 

“ตรงนั้นเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติ” โม่หรูเยียนมองออกไประยะไกลๆ ตำแหน่งบริเวณนั้นเป็นเนินเขาลูกหนึ่งที่ขบวนรถม้าจะต้องเคลื่อนตัวผ่านไป แม้ว่ามันจะเป็นเนินเขาที่ว่างเปล่าและสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ชัดเจนแต่สัญชาตญาณของโม่หรูเยียนก็รู้สึกได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ

 

“พวกเจ้าสองคนออกไปตรวจสอบพร้อมกับข้า” ไฉชูก็พูดขึ้นมาทันที

 

ปกติแล้วไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดพวกเขาก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าไม่มีคนคอยซุ่มโจมตีอยู่ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าหากรอให้ขบวนรถม้าเคลื่อนผ่านไปและถูกโจมตีมันก็สายไปแล้ว

 

“ไม่ ท่านลุงไฉ ข้าจะไปตรวจสอบดูที่นั่นเพียงคนเดียว” โม่หรูเยียนส่ายศีรษะขึ้นมาทันที นางย่อมไม่อยากให้มีผู้คุ้มกันต้องเสียชีวิตอีกแล้ว ถ้าหากมีการซุ่มโจมตีอยู่บริเวณนั้นจริงๆคงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

 

“นายหญิงน้อย หรือว่าพวกเราควรอ้อมไปดีขอรับ” ท่านลุงไฉเสนอความคิดออกมาทันที

 

“ไม่ได้ ถ้าหากพวกเราอ้อมไปมันจะทำให้พวกเราต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีก 1 วันกว่าจะไปถึงเมืองลั่วหยางและถ้าหากมีศัตรูซุ่มโจมตีอยู่บริเวณนั้นจริงๆ แม้ว่าพวกเราจะใช้วิธีอ้อมไปคิดหรอว่ามันจะยอมปล่อยพวกเราไป?” โม่หรูเยียนส่ายศีรษะ เห็นได้ชัดว่านางได้ตัดสินใจไปแล้ว

 

“เช่นนั้นนายหญิงน้อยก็ระวังตัวด้วยนะขอรับ” เมื่อเห็นเช่นนี้ท่านลุงไฉก็ไม่ได้เหนี่ยวรั้งนางอีกต่อไป เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าในทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้โม่หรูเยียนคือผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดและเขาก็เชื่อว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้นจริงๆนางสามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย

 

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สั่งให้ผู้คุ้มกันประมาณ 10 คนนำอาวุธของตัวเองขึ้นมาและคอยตามอยู่ห่างๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับโม่หรูเยียนจะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ทันเวลา

 

โม่หรูเยียนไม่ได้สวมชุดเกราะของนางในตอนนี้แต่นางยังคงถือหอกยาวของตนเองเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนและปลายหอกก็ถูกลับคมมาเป็นอย่างดีจนดูแหลมคมเหมือนใหม่

 

“กุบ กุบ กุบ!”

 

โม่หรูเยียนขี่ม้าออกไปทันทีและความเร็วของนางไม่ได้มากนัก แต่นางก็ไปถึงที่เนินเขาลูกนั้นอย่างรวดเร็ว

 

ท่านลุงไฉก็กำลังตามมาอยู่ห่างๆ เขากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากับโม่หรูเยียนจริงๆ

 

“อย่ามองออกไป” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาภายในหูของเขาทันที

 

“อะไรกัน?” ท่านลุงไฉรีบหันไปมองรอบตัวตามสัญชาตญาณจากนั้นเขาก็หันหลังกลับมาและเห็นเพียงแค่มู่อี้ที่ไม่รู้ตามเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนต้าหนิวนั้นมันก็เดินตามมู่อี้มาด้วยเช่นกัน

 

“เนินเขาแห่งนี้มีกลิ่นอายแห่งความตายอยู่ทั่วทุกที่” มู่อี้ส่ายศีรษะและจากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่โม่หรูเยียน

 

เมื่อเขาพูดออกมาเช่นนี้ท่านลุงไฉรู้สึกกลัวขึ้นมาในจิตใจทันที เขาจ้องมองไปที่มู่อี้ด้วยสายตาที่ดูไม่อยากจะเชื่อ เขาเดาไม่ออกเลยว่าทำไมนักพรตเต๋าที่เงียบมาตลอดการเดินทางและยังขี้ขลาดหวาดกลัวความตาย จะมีท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันในตอนนี้?

 

นอกจากนี้ท่าทีของมู่อี้ในตอนนี้ยังดูราวกับว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป

 

นี่คือคนที่หวาดกลัวความตายจนต้องซ่อนตัวอยู่บนรถม้าอย่างนั้นหรือ? ท่านลุงไฉอดที่จะคิดแบบนี้ขึ้นมาไม่ได้แต่แล้วเขาก็ต้องเลิกคิดเช่นนี้

 

หลังจากผ่านประสบการณ์มานานหลายปีเขาก็รู้สึกมั่นใจในสายตาของตนเองและเขาคิดว่าตนเองไม่มีทางมองคนอื่นผิดไปอย่างแน่นอน

 

“ท่านนักพรตเต๋ามีอะไรที่อยากจะพูดหรือขอรับ” ท่าทีของท่านลุงไฉในตอนนี้ดูเคารพมู่อี้ขึ้นมาทันที

 

“ที่ระหว่างคิ้วของพวกท่านทุกๆคนในตอนนี้เป็นสีดำ ซึ่งเป็นสัญญาณของความตาย” มู่อี้ตอบกลับมาทันที

 

“อะไรกัน?”

 

“ท่านนักพรตเต๋า ท่านเห็นความตายด้วยงั้นหรือ”

 

“ไร้สาระ!”

 

ก่อนที่ท่านลุงไฉจะตอบอะไรกลับมา ผู้คุ้มกันคนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆกันก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาทันทีในสายตาของพวกเขาก็จ้องมองมาที่มู่อี้อย่างพร้อมเพียงกัน

 

ถ้าหากไม่ใช่เพราะต้าหนิวที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่อี้ในตอนนี้บางทีอาจจะมีใครสักคนที่ก้าวออกมาสั่งสอนมู่อี้แล้วก็เป็นได้ ในฐานะที่เป็นผู้คุ้มกันการได้ยินเรื่องอัปมงคลเช่นนี้คิดว่าพวกเขาจะพอใจหรือยังไง?

 

“การเดินทางครั้งนี้ยังอีกยาวนาน ท่านนักพรตเต๋าอย่าพูดอะไรมากจะดีกว่า” แม้ว่าเขาจะไม่ได้หันหน้ากลับมาแต่ท่านลุงไฉก็พูดด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก

 

“ข้าก็แค่พูดออกไปเท่านั้น พวกท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกท่านแล้ว” มู่อี้ส่ายศีรษะและไม่ได้รู้สึกโกรธเลย แต่เขายังคงจ้องมองไปที่โม่หรูเยียนที่อยู่ห่างออกไป ในตอนนี้โม่หรูเยียนลงมาจากม้าแล้วและกำลังเดินขึ้นไปบนเนินเขา

 

หลังจากจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งมู่อี้ก็ก้มลงไปหยิบก้อนหินที่มีขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมาลูกหนึ่งจากนั้นเขาก็ยื่นก้อนหินให้กับต้าหนิวแล้วพูดว่า “โยนออกไปตรงนั้น”

 

ต้าหนิวรับก้อนหินมาตามสัญชาตญาณและจ้องมองไปตามทิศทางที่มู่อี้ชี้นิ้วออกไป ตำแหน่งบริเวณนั้นมีเพียงแค่พุ่มหญ้าเล็กๆเท่านั้นและไม่ได้แตกต่างจากบริเวณอื่นเลย

 

ต้าหนิวมองก้อนหินที่อยู่ในมือของตนเองและจากนั้นก็มองไปที่ตำแหน่งที่มู่อี้ชี้นิ้วออกไปอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นมันก็โยนก้อนหินในมือออกไปทันทีและหยิบก้อนหินอีกก้อนหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมขึ้นมา

 

แม้ว่าท่านลุงไฉและคนอื่นๆจะไม่เข้าใจการกระทำของมู่อี้และต้าหนิว แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา พวกเขาเพียงแค่มองสิ่งที่เกิดขึ้นเงียบๆเท่านั้น

 

ตรงตำแหน่งที่มู่อี้ชี้นิ้วออกไปนั้นถือว่ามีระยะห่างพอสมควร แม้ว่าจะขี่ม้าออกไปก็ต้องใช้เวลาสักครู่หนึ่ง

 

หลังจากยกก้อนหินขนาดใหญ่ขึ้นมาในมือแล้วต้าหนิวก็โยนก้อนหินขนาดใหญ่ออกไปด้วยพละกำลังของมันทันที

 

“ฟิ้ว!”

 

ก้อนหินพุ่งเข้าไปในพุ่มหญ้าพร้อมกับเสียงลมที่พัดเข้ามา ในตอนนี้ทุกๆคนที่อยู่ใกล้ๆสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้าหนิวมีพละกำลังมากเพียงใด

 

ก้อนหินตกลงไปที่จุดหมายอย่างรวดเร็วแต่เพราะระยะห่างจึงไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลย ในตอนที่พวกเขารู้สึกงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นนั้นในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นร่างหนึ่งที่ปรากฏตัวออกมาจากตำแหน่งที่ก้อนหินตกลงไปก่อนหน้านี้

 

“ไม่ดีแล้ว นายหญิงน้อยกำลังตกอยู่ในอันตราย” ท่านลุงไฉไม่ใช่คนโง่และเขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่คือการซุ่มโจมตีและรีบนำทุกๆคนบุกเข้าไปช่วยเหลือทันที

 

ในตอนที่ก้อนหินลงไปกระทบพื้นนั้นโม่หรูเยียนก็เห็นศัตรูที่ปรากฏตัวออกมาด้วยเช่นกัน แต่แทนที่นางจะถอยกลับมา นางกลับพุ่งตัวเข้าไปหาศัตรูพร้อมกับหอกในมือด้วยความกล้าหาญ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด