Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป – ตอนที่ 132

อ่านนิยายจีนเรื่อง Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ ตอนที่ 132 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 132 เป่ยหมิง

 

“ใครคือเป่ยหมิง?”

 

มู่อี้ไม่รู้ว่าทําไมเขาถึงคิดขึ้นมาว่าใครคือเป่ยหมิงในตอนนี้ ความจริงแล้วเมื่อชวี่หยางส่องกระจกสัมฤทธิ์มาที่เขา สัญชาตญาณของเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ในตอนที่เขาปิดตาของตนเองลงนั้นมันก็สายเกินไปแล้ว

 

แสงสว่างเจิดจ้าที่กระจกสัมฤทธิ์ส่องเข้ามานั้น ทําให้มู่อี้รู้สึกได้ว่าจิตใจของเขาถูกบีบคั้นด้วยพลังบางอย่างราวกับว่าจิตวิญญาณของเขาถูกตรึงให้อยู่กับที่ไม่อาจขยับไปไหนได้

 

ดังนั้นในตอนนี้พลังแห่งจิตใจของเขาจึงไม่อาจใช้ได้อีกต่อไปและตะเกียงทองแดงในมือของเขาก็ดับไปอย่างรวดเร็ว

 

ชวี่หยางถือกระจกสัมฤทธิ์เอาไว้ในมือและสีหน้าของเขาก็ดูย่ำแย่ขึ้นมาด้วยเช่นกัน ราวกับว่าการใช้ความสามารถของกระจกสัมฤทธิ์นั้นมีผลกระทบต่อร่างกายของเขาด้วยเช่นกัน แต่ในตอนนี้หญิงสาวคนนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวทันทีและนางก็คือเป่ยหมิงที่ชวี่หยางพูดถึง

 

เป่ยหมิงเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันกับที่แสงของตะเกียงทองแดงดับไปนั้น นางก็เข้ามาประชิดตัวมู่อี้แล้ว ดวงตาสีดําสนิทของนางจ้องมองผ่านทางหน้ากากที่สวมใส่อยู่ออกมา ภายในดวงตานั้นดูเฉยเมยปราศจากอารมณ์ใดๆ

 

มู่อี้ทําได้เพียงจ้องมองอีกฝ่ายที่กําลังเข้ามาใกล้ในตอนนี้และในตอนที่มือของหญิงสาวกําลังตรงเข้ามาที่หัวใจของเขานั้นเขาก็ไม่อาจทําอะไรได้เลย

 

หลังจากได้ก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 พลังแห่งจิตใจของมู่อี้ก็เพิ่มมากขึ้น 6-7 เท่าแต่กระจกสัมฤทธิ์ในมือของชวี่หยางดูเหมือนจะมีความสามารถพิเศษที่สามารถยับยั้งไม่ให้เขาใช้พลังแห่งจิตใจได้ ทําให้ความแข็งแกร่งของเขาลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

 

แต่มู่อี้ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกและสีหน้าของเขาก็ยังคงสงบนิ่งอยู่ ท่าทีของเขาทําให้ชวี่หยางต้องรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน

 

ในตอนนี้ต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ด้านหลังของมู่อี้ก็มีการเคลื่อนไหวทันทีและเมื่อแสงสีเขียวส่องสว่างออกมาต้นไผ่แห่งชีวิตก็ลอยออกมาจากผืนผ้าที่ห่อมันเอาไว้อยู่ก่อนหน้านี้และหมุนไปมารอบตัวมู่อี้ จากนั้นมันก็ฟาดร่างกายของเป่ยหมิงจนทําให้นางกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง

 

เป่ยหมิงไม่สามารถหลบได้ทันในตอนนี้ นางถูกต้นไผ่ฟาดเข้าที่ศีรษะและกระเด็นออกไปทันที

 

ในตอนนี้ดูเหมือนว่าต้นไผ่จะยังไม่มีพลังมากนัก แต่ก็ทําให้มือของเป่ยหมิงที่กําลังจะสัมผัสร่างกายของมู่อี้ต้องหยุดไปทันที

 

หลังจากเริ่มปรับตัวได้ในที่สุดมู่อี้ก็สามารถใช้พลังแห่งจิตใจของเขาได้อีกครั้งและตอบโต้กลับไปทันที!

 

“ตู้ม!”

 

ในตอนนี้ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ได้พังทะลายลงไป ได้ยินเสียงดังลั่นที่เกิดขึ้นในจิตใจของเขา จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าพันธนาการในใจของเขาได้หายไปแล้วและทั่วร่างกายก็กลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง

 

”เป่ยหมิงกลับมาก่อน” ในตอนนี้ชวี่หยางก็รีบพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากอีกทางด้านหนึ่ง

 

เมื่อได้ยินคําพูดของชวี่หยาง ร่างกายของเป่ยหมิงก็ถอยห่างออกจากมู่ไปทันที

 

มู่อี้ยื่นมือของเขาออกมาช้าๆและคว้าต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้ในมือ

 

ต้นไผ่ต้นนี้มีอยู่ทั้งหมด 14 ปล้องและความสูงของมันก็ไม่มากนัก ถ้าหากวางลงบนพื้นดินมันจะสูงแค่ประมาณเอวของมู่อี้เท่านั้น

 

มู่อี้ถือตะเกียงทองแดงเอาไว้ในมือซ้ายของเขาและถือต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้ในมือขวา จากนั้นพลังที่ชั่วร้ายก็หายไปจากร่างกายของเขาทันที

 

ถ้าหากเมื่อครู่นี้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่ตื่นขึ้นมาน่ากลัวว่ามู่อี้จะต้องตกอยู่ในอันตรายจริงๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่ากระจกสัมฤทธิ์ของชวี่หยางจะมีความสามารถในการยับยั้งไม่ให้เขาใช้พลังจิตใจได้ โชคดีที่อาวุธวิญญาณชิ้นนั้นมีการชํารุดเสียหายมู่อี้จึงสามารถหลุดออกจากอํานาจของมันได้ง่ายยิ่งขึ้น

 

แต่นี่ก็ทําให้มู่อี้รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของชวี่หยาง

 

อีกฝ่ายก็อยู่ในระดับเดียวกับเขาด้วยเช่นกัน ส่วนจะแตกต่างมากน้อยแค่ไหนอี้ไม่อาจรับรู้ได้การที่ได้เจอกับศัตรูที่อยู่ในระดับเดียวกันทําให้มู่อี้รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย

 

ไม่ว่ายังไงความแข็งแกร่งของศัตรูก็ถือว่าเป็นของจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทําไมชวี่ยี่จวงที่มีชื่อเสียงในด้านที่ไม่ดีนักแต่ก็ไม่มีใครกล้าทําอะไรพวกเขา คงเป็นเพราะความแข็งแกร่งของผู้ที่เป็นเจ้าของสุสานแห่งนี้อย่างแน่นอน

 

เมื่อพลังของมู่อี้เพิ่มมากขึ้น เขาก็รู้สึกเข้าใจเรื่องราวต่างๆมากขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างน้อยมุมมองของเขาในตอนนี้ก็แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ในตอนที่มู่อื้ออกเดินทางไปยังที่ต่างๆพร้อมกับท่านปู่ของเขานั้นเขาไม่เคยเห็นภูตผีวิญญาณตัวเป็นๆเลย ไม่ต้องพูดถึงเหล่าจอมยุทธหรือนักพรตที่แข็งแกร่งเลย

 

เหล่าผู้ที่เข้าสู่เส้นทางในการบ่มเพาะนั้นมีอยู่ไม่มากนักและส่วนใหญ่ต่างก็เลือกที่จะเป็นปรมาจารย์หรือจอมยุทธในที่ต่างๆ

 

หลังจากได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เข้าใจในเคล็ดวิชาดาบได้อย่างถ่องแท้ มู่อี้ก็ไม่เคยดูถูกจอมยุทธเหล่านั้นอีกเลย

 

ถ้าหากจะบอกว่าความยากขั้นที่หนึ่งคือจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนบ่มเพาะในด้านจิตวิญญาณและเริ่มกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในหมู่คนทั่วไป เช่นนั้นการเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ก็ย่อมเทียบได้กับยอดฝีมือคนหนึ่งเท่านั้น เพราะไม่มีใครในลัทธิเต๋าที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ด้วยวิธีการเดียวกับมู่อี้ได้เลยและยังมีตะเกียงทองแดงถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่าและต้นไผ่แห่งชีวิตของเขาก็กําลังจะกลายเป็นอาวุธวิญญาณ

 

ถ้าหากไม่มียันต์สายฟ้าที่ทรงพลัง ไม่มีตะเกียงทองแดงและต้นไผ่แห่งชีวิต ด้วยพลังของมู่อี้เพียงผู้เดียวก็คงไม่ได้มากขนาดนี้แน่นอน

 

ดังนั้นพลังที่แท้จริงของระดับความยากขั้นที่ 2 นั้นถือว่าไม่ได้มากนัก เพียงแต่ว่ามู่อี้มีสิ่งที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ

 

ก็เหมือนอย่างชวี่หยางในตอนนี้ ถ้าหากว่าเขาไม่มีอาวุธวิญญาณ เขาคงพ่ายแพ้ต่อมู่อี้อย่างรวดเร็ว

 

ทันทีที่พลังของมู่อี้ระเบิดออกมานั้น ชวี่หยางและเป่ยหมิงก็รู้สึกได้ในเวลาเดียวกัน พวกเขาเข้ามาโจมตีมู่อี้พร้อมๆกันจากทางซ้ายและทางขวา

 

มู่อี้ไม่ได้ใช้ตะเกียงทองแดงอีกต่อไปและเก็บมันกลับไปทันที แต่ต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ในมือขวาของเขานั้นฟาดออกไปอย่างรวดเร็ว

 

ต้นไผ่โจมตีเข้าไปที่ชวี่หยาง แต่อีกฝ่ายก็ยกกระจกสัมฤทธิ์ในมือของเขาขึ้นมารับทันที

 

“ตึง!”

 

เสียงแหลมที่เกิดจากการปะทะกันดังขึ้นมาและฝ่ามือของมู่อี้ก็รู้สึกชาขึ้นมา และจากนั้นชวี่หยางก็ก้าวถอยหลังกลับไปทันที

 

ในทางกลับกันเมื่อปูอี้โจมตีออกไปนั้นเขาก็ไม่ได้หยุดนิ่งและใช้ต้นไผ่ในมือโจมตีอีกครั้งไปที่ฝ่ามือของเป่ยหมิงทันที เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันก็มีแสงสีขาวเกิดขึ้นมา

 

มู่อี้ร้องออกมาในลําคอและรู้สึกเจ็บปวดที่ต้นแขนของตนเอง แต่เป่ยหมิงนั้นกระเด็นไปกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง หลังจากกลิ้งไปหลายตลบนางก็ลุกขึ้นยืนขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ฝ่ามือของนางที่ปะทะกับมู่อี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดูจากภายนอกแล้วกรงเล็บของนางหักไป 3 นิ้วและบนฝ่ามือยังมีกระดูกที่โผล่ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

 

ในตอนนี้มู่อี้ก็ใช้ยันต์ปราบปีศาจออกไปทันที เหตุผลที่การโจมตีของเขารุนแรงมากยิ่งขึ้นนั่นก็เพราะว่าเขาเพิ่มพลังแห่งจิตใจเข้าไปในการโจมตีครั้งนี้ด้วยเช่นกันและผลที่ออกมานั้นก็แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

 

แม้ว่าเป่ยหมิงจะยังสามารถต่อสู้ได้อีก แต่ในตอนนี้นางถือว่าสูญเสียมือไปข้างหนึ่งแล้วและภัยคุกคามที่มีต่อลู่อี้ก็ถือว่าลดลงไปมาก แต่ในทางกลับกันชวี่หยางก็ยังคงจ้องมองมาที่เขา

 

ไม่ว่ายังไงชวี่หยางก็อยู่ในระดับความยากขั้นที่ 2 ผู้ที่ก้าวขึ้นมายังระดับนี้ได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอนและมู่อี้ก็ไม่คิดที่จะดูถูกศัตรูที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขาเลย

 

ต้นไผ่แห่งชีวิตนั้นมีความแข็งอย่างยิ่งเขาจึงกล้าที่จะใช้มันปะทะกับกระจกสัมฤทธิ์ของชวี่หยางแต่พลังที่สะท้อนมาจากกระจกสัมฤทธิ์ก็ตรงเข้ามาที่จิตใจของเขาอีกครั้งหนึ่ง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมันคล้ายคลึงกับตอนที่มู่อี้ประลองกับโม่หรูเยียน มันเหมือนกับว่าเขาสามารถเข้าใจอะไรบางอย่างได้มากยิ่งขึ้น

 

หลังจากรู้สึกได้ถึงพลังที่เข้ามานี้มู่อี้ก็รู้สึกตื่นเต้นทันที เคล็ดวิชาหมัดของเขาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการผสานพลังแห่งจิตใจเข้าไปในการต่อสู้เท่านั้น ในเมื่อเขาสามารถทําแบบนั้นกับเคล็ดวิชาหมัดได้ก็ย่อมทํากับต้นไผ่แห่งชีวิตได้ด้วยเช่นกัน

 

เมื่อคิดเช่นนี้มู่อี้ก็เริ่มประสานพลังแห่งจิตใจของเขาเข้ากับต้นไผ่แห่งชีวิตทันที

 

” ฟุบ!”

 

ตอนนี้ต้นไผ่แห่งชีวิตฟาดผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็วและกําลังตรงเข้าไปที่หน้าผากของชวี่หยาง

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด