ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 126 ดอกท้อ
โจวเสาจิ่นเหงื่อตก
เฉิงเจียเอนตัวพิงอยู่บนหัวไหล่ของพวกนางพลางส่งเสียง ชิ และกล่าวเหน็บแนมกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ว่า “เด็กที่รู้จักแต่มองคนที่ภายนอก!”
“เพราะในตัวมีความรู้ภายนอกถึงได้ดูโดดเด่นขึ้นมาได้” กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กล่าวแย้ง “สิ่งที่เห็นภายนอกไม่ใช่ว่าตัดสินใจกระทำออกมาจากภายในหรอกหรือ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังปะทะฝีปากกันอยู่นั้น โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเฉิงฉือเหลือบตามองมาทางนี้ครั้งหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
นางอดไม่ได้เบิกตากว้างเพื่อมองให้ชัดขึ้น
อิริยาบถของเฉิงฉือดูสบายๆ ได้ปี้อวี้ช่วยเลิกผ้าม่านขึ้นและเดินเข้าห้องโถงหลักไปโดยที่สายตาไม่วอกแวกเลย
โจวเสาจิ่นถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
อาจเป็นตนที่มองผิดไปกระมัง
เฉิงเจียเอ่ยถามขึ้นว่า “คงใกล้จะได้เวลากล่าวคำอวยพรแล้วกระมัง พวกเราควรจะไปรออยู่ที่ห้องข้างหรือไม่”
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กล่าว “รอให้ท่านอาสี่ฉือกับเฉิงเจียซ่านออกไปก่อนแล้วพวกเราค่อยออกไปดีกว่า จะได้ไม่ต้องบังเอิญเจอกัน”
โจวเสาจิ่นเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ปี้อวี้ก็เคยบอกเอาไว้ว่า หลังจากที่พวกท่านน้าฉือกล่าวอวยพรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงจะถึงคราวของพวกเรา”
ทั้งสามคนจึงนั่งรออยู่ที่ด้านหลังของป่าไผ่
ทว่ากลับมีเด็กสาวสองคนเดินออกมาจากทางด้านห้องข้าง ทั้งสองล้วนมีอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี คนหนึ่งสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีเขียวน้ำทะเลสาบ หวีผมขึ้นเป็นมวยกาบหอยคู่หนึ่ง ประดับด้วยกิ๊บติดผมไข่มุกทรงดอกไม้ ส่วนอีกคนสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีถั่วเขียว หวีผมขึ้นเป็นมวยกลมคู่หนึ่ง ประดับด้วยปิ่นปักผมทองดอกติงเซียง ทั้งสองมีคิ้วโก่งโค้งประดุจขุนเขาที่เห็นไกลๆ นัยน์ตากระจ่างใสดั่งน้ำในฤดูใบไม้ร่วง มีความละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน งดงามยิ่งนัก
เฉิงเจียถามขึ้นว่า “นั่นคือผู้ใดหรือ”
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่มีภาพจำเกี่ยวกับคนทั้งสองเช่นกัน
กูที่สิบเจ็บครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “น่าจะเป็นหลานสาวจากตระกูลเดิมของฮูหยินรองเจ้ากรมซุน แต่ชื่ออะไรนั้นข้าก็จำไม่ได้แล้วเช่นกัน ครั้งก่อนตอนงานหมั้นหมายของพี่สิบหกของข้า ฮูหยินซุนพาพวกนางมาร่วมงานเลี้ยงด้วย ทั้งสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เป็นคนหูโจว ปู่ของพวกนางเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรมยุติธรรม”
ในวันนั้นคนที่ตระกูลกู้มีมากมายยิ่งนัก โจวเสาจิ่นเองก็จำไม่ได้ว่าตนเคยเจอพวกนางมาก่อนหรือไม่
ขณะที่พวกนางกำลังคุยกันอยู่นั้น สาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่นอกห้องข้างก็เดินไปถึงด้านหน้าของคนทั้งสอง หลังจากที่พูดอะไรกันเบาๆ ครู่หนึ่งแล้ว สาวใช้ก็เดินนำพวกนางมุ่งไปทางห้องทางการ[1]
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “แล้วเหตุใดถึงไม่เห็นคุณหนูตระกูลซุนเล่า”
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าคุณหนูตระกูลซุนหมั้นหมายกับคุณชายเจ็ดตระกูลหลิวของจวนดอกเหมยแล้ว เกรงว่าคงถูกกักตัวให้เรียนเรื่องขนบธรรมเนียมและมารยาทอยู่ในบ้าน”
เฉิงเจียบุ้ยปากกล่าวขึ้นว่า “การเรียนเรื่องขนบธรรมเนียมและมารยาทพวกนี้ ทำให้คนต้องลำบากเสียจริงๆ หากข้าจะแต่งกับใครในภายภาคหน้า ต้องหาแม่สามีที่รักใคร่บุตรสะใภ้ จะได้ไม่ต้องสร้างกฎระเบียบมากมายนัก”
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นยิ้ม
มีคนเดินออกมาจากทางห้องข้างอีกแล้ว
คนที่เดินออกมาในครั้งนี้เป็นฮูหยินสาวผู้หนึ่งกับเด็กสาวอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีอีกผู้หนึ่ง ฮูหยินสาวกระซิบคุยกับเด็กสาวพลางเดินมาทางที่พวกโจวเสาจิ่นนั่งอยู่
โจวเสาจิ่นและทุกคนต่างตกใจ
ทว่าฮูหยินกับเด็กสาวผู้นั้นยิ่งเดินก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
โจวเสาจิ่นถึงได้พบว่าที่แท้ฮูหยินสาวผู้นั้นก็คือฮูหยินของหลิวหมิงจวี่ผู้เป็นนายอำเภอของเจียงหนิงนั่นเอง
ส่วนเด็กสาวผู้นั้นนางไม่รู้จัก เด็กสาวสวมชุดเพ่ยจื่อสีชมพู คิ้วโก่งโค้งดั่งพระจันทร์เสี้ยว ใบหน้างดงามสดใสดุจดอกท้อ อ่อนโยนและน่ารัก ประหนึ่งดอกไม้ดอกหนึ่งก็ไม่ปาน รูปร่างหน้าตาโดดเด่นยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ฮูหยินหลิว…ต้องการทำอะไรกันแน่
พวกนางต้องออกไปกล่าวทักทายหรือไม่
สีหน้าของทั้งสองคนก็ดูไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก
ขณะที่พวกนางกำลังลังเลกันอยู่นั้น ฮูหยินหลิวกับเด็กสาวผู้นั้นก็เดินเข้ามาใกล้ จนพวกนางได้ยินที่ฮูหยินหลิวกล่าวกับเด็กสาวผู้นั้นว่า “…ในเมื่อเจ้าติดตามมากับพี่สะใภ้ มีพี่สะใภ้เป็นผู้ตัดสินใจแทนเจ้า ต่อให้เรื่องไปถึงนายหญิงผู้เฒ่า ก็มีพี่สะใภ้ช่วยอธิบายให้เจ้าได้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย!” ยังไม่ทันที่เสียงพูดจะจบลง ฮูหยินหลิวก็หันมา สายตาตกอยู่บนร่างของพวกนางทั้งสามคน เผยท่าทางตกใจออกมา จากนั้นเสียงพูดก็หยุดลงไปด้วยโดยปริยาย
ทั้งสามคนรีบก้าวออกไปทำความเคารพฮูหยินหลิว
ครู่ใหญ่กว่าที่ฮูหยินหลิวจะได้สติกลับคืนมา ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไรแนะนำเด็กสาวข้างกายให้พวกนางรู้จัก “นี่เป็นน้องสาวของสามีข้า เป็นหญิงสาวลำดับที่เก้าของตระกูล” จากนั้นก็แนะนำโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ให้คุณหนูหลิวที่เก้ารู้จัก
เด็กสาวทั้งหลายทำความเคารพกัน
ฮูหยินหลิวกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าไม่อยู่ที่ห้องข้าง มายืนทำอะไรที่นี่หรือ เมื่อครู่ทำให้ข้าตกใจเสียแทบแย่”
นางดูเป็นธรรมชาติและเป็นกันเอง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าร่างกายของนางดูเกร็งและเคร่งเครียดเล็กน้อย
หรือว่าคำพูดที่นางพูดกับคุณหนูหลิวที่เก้าเมื่อสักครู่นี้จะมีอะไรแอบแฝงอยู่
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ก็ก้าวออกไปกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้พวกข้านั่งคุยกันอยู่ในสวน ต่อมาพวกท่านอาเฉิงที่สี่เดินเข้ามา ชั่วขณะนั้นหลบไม่ทัน ก็เลยซ่อนตัวอยู่ในนี้ก่อนเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” ฮูหยินหลิวยิ้ม นัยน์ตามีความงุนงงสายหนึ่งวาบผ่าน
ส่วนคุณหนูหลิวที่เก้าผู้นั้นก้มหน้าลง ท่าทางขี้อายยิ่งนัก
เฉิงเจียกระซิบที่ข้างหูของนางว่า “เจ้าว่าคุณหนูหลิวที่เก้ากับเจ้า เหมือนกันหรือไม่”
โจวเสาจิ่นลอบมองอย่างละเอียด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เห็นมีตรงไหนที่เหมือนกันเลย
“คุณหนูหลิวที่เก้างดงามยิ่ง” นางกระซิบตอบ
“งดงามไม่เท่าเจ้า” เฉิงเจียกระซิบ “แต่ว่า ขี้อายเหมือนเจ้าเมื่อก่อนไม่มีผิด”
โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กับฮูหยินหลิวพูดคุยกัน “…ท่านได้พบฮูหยินใหญ่ของพวกข้าแล้วหรือยังเจ้าคะ ตอนที่ท่านไปร่วมงานเลี้ยงเมื่อคราวก่อน อยู่เพียงไม่นานก็กลับไปก่อนเสียแล้ว วันนี้ฮูหยินใหญ่ของพวกข้ายังพูดถึงอยู่เลยว่า ท่านมักจะเกรงใจเช่นนี้ทุกครั้ง พวกเราก็เลยไม่ได้ต้อนรับขับสู้ท่านดีๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไรท่านจะมีเวลาว่าง รอให้ดอกเบญจมาศที่บ้านบานแล้ว ปรารถนาจะเชิญท่านไปดื่มสุราและชมงิ้วสักสองตอนเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินหลิวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อสักครู่นี้ข้ายังได้คุยกับฮูหยินใหญ่ของพวกเจ้าถึงเรื่องนี้เช่นกัน คิดว่าวันที่สิบหกเดือนเก้าจะไปดื่มสุรา ชมดอกไม้และชมงิ้วที่บ้านของพวกเจ้า…”
ทั้งสองคนพูดคุยโต้ตอบเจ้าประโยคข้าประโยคหนึ่งกันอยู่ตรงนั้น ไม่มีช่องว่างให้ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเลยสักนิด
นี่ต่างหากที่นับว่าเป็นผู้ช่ำชองในการเข้าสังคมได้อย่างลื่นไหล!
โจวเสาจิ่นมองกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ด้วยความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก
คุณหนูหลิวที่เก้ายืนอยู่ข้างๆ ฮูหยินหลิวอย่างเงียบเชียบ และชำเลืองมองโจวเสาจิ่นอยู่บ่อยครั้ง
โจวเสาจิ่นจึงหันไปยิ้มอย่างเป็นมิตรให้นาง
คุณหนูหลิวที่เก้ากลับก้มหน้าลงไปด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
ขณะที่โจวเสาจิ่น เฉิงเจีย และคุณหนูหลิวที่เก้ายืนฟังฮูหยินหลิวกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้แลกเปลี่ยนบทสนทนากันอยู่นั้น ก็มีเสียงดังออกมาจากทางด้านห้องโถงหลัก
ทุกคนต่างหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน
เห็นเพียงผ้าม่านตรงประตูสั่นไหว แล้วเฉิงฉือกับเฉิงสวี่ก็เดินออกมา
สีหน้าของเฉิงฉือยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม ส่วนเฉิงสวี่กลับมีสีหน้ายิ้มแย้มมากกว่าเมื่อสักครู่อยู่หลายส่วน ทำให้เขาดูสง่างามยิ่งขึ้น
มีคุณหนูสองท่านย่อเข่าทำความเคารพด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ระหว่างนั้นมีเสียงพูดดังหึ่งๆ อย่างฟังไม่ได้ศัพท์ว่ากล่าวอะไรบ้างออกมา เฉิงฉือเหลือบสายตามองคุณหนูทั้งสองครั้งหนึ่ง และพยักหน้าให้น้อยๆ จากนั้นก็เดินตรงไปข้างหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย ส่วนเฉิงสวี่เดินตามอยู่ด้านหลังของเฉิงฉือ ระหว่างที่เดินสวนกับคุณหนูทั้งสองท่านนั้นก็หันกลับมามองครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ และได้สบตากับเด็กสาวที่สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีถั่วเขียวผู้นั้นเข้าพอดี
เด็กสาวผู้นั้นหันไปยิ้มให้เฉิงสวี่
เป็นรอยยิ้มที่สว่างสุกใส ดั่งดอกไม้ที่บานสะพรั่งในฤดูร้อน สดใสตราตรึงใจคนยิ่งนัก
เฉิงสวี่ตกตะลึง ฝีเท้าหยุดลงชั่วขณะ พยักหน้าให้เด็กสาว จากนั้นเร่งฝีเท้าตามเฉิงฉือไป
นี่มันเหตุการณ์อะไรกันแน่
โจวเสาจิ่น เฉิงเจียและกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้มองหน้ากันอย่างตกตะลึง
แต่ที่ทำให้พวกนางต้องประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ ฮูหยินหลิวที่เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ เสียงหนึ่ง กล่าวกับคุณหนูหลิวที่เก้าว่า “คิดไม่ถึงว่าพี่ชายเฉิงที่สี่ของเจ้าจะผ่านมา เจ้าตามข้าไปคารวะพี่ชายเฉิงที่สี่ของเจ้าสักหน่อยเถิด!” และยังหันกลับมากล่าวกับโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ว่า “พวกเจ้าจะตามข้าไปกล่าวทักทายด้วยสักหน่อยหรือไม่”
ทั้งสามคนส่ายศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน ด้วยท่าทางไม่รู้จะทำอะไรดีขึ้นมา
ตั้งแต่เมื่อไรกันที่คุณหนูหลิวผู้นี้อาวุโสกว่าพวกนางไปหนึ่งรุ่น
หรือว่าผู้อื่นเขาก็อาวุโสกว่าพวกนางอยู่หนึ่งรุ่นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?
สมองของโจวเสาจิ่นสับสนเล็กน้อย มองฮูหยินหลิวพาคุณหนูหลิวที่เก้าเดินมุ่งหน้าไปทักทายเฉิงฉือและเฉิงสวี่ มองเฉิงฉือที่ทักทายฮูหยินหลิวด้วยสีหน้าที่ระงับโทสะอยู่เล็กน้อย มองคุณหนูหลิวที่เก้าที่คารวะเฉิงฉือและเฉิงสวี่ด้วยความขัดเขิน…กระทั่งฮูหยินหลิวเดินนำคุณหนูหลิวที่เก้าเข้าไปในห้องโถงหลักแล้ว เฉิงเจียใช้ศอกกระทุ้งนาง นางถึงได้สติกลับคืนมา แต่พอนางได้สติกลับมาก็พบว่ากูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กำลังใช้มือปิดปากและหัวเราะอย่างพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ไม่หยุด
“นี่…นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ” นางถามอย่างไม่เข้าใจ
“ช่างน่าขบขันยิ่งนัก!” กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้หัวเราะจนน้ำตาไหล กล่าวขึ้นอย่างหายใจขาดเป็นห้วงๆ ไปด้วยว่า “เฉิงเจียซ่านถูกสตรีมาดักรอ…ข้ากล้าพนันกับพวกเจ้าเลยว่า ตอนที่เขาอยู่ที่ห้องโถงหลัก ต้องมีหญิงสาวจำนวนมากจับจ้องเขาเป็นแน่…หากฮูหยินของรองเจ้ากรมซุนไม่พาหลานสาวจากตระกูลเดิมมาเยี่ยมฮูหยินหยวนในวันพรุ่งนี้ ก็ต้องมาในวันมะรืนอย่างแน่นอน…”
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียพลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
โดยเฉพาะเฉิงเจียที่กระโดดพรวดขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าฮูหยินซุนผู้นั้นกล่าวถึงผู้อื่นอย่างเข้มงวดกวดขันหรอกหรือ แล้วเหตุใดหลานสาวจากตระกูลเดิมของตัวเองถึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ไม่รู้ว่านางจะทราบเรื่องหรือไม่ ถ้าหากว่าทราบเรื่อง ไม่รู้ว่านางจะส่งตัวหลานสาวทั้งสองกลับตระกูลในคืนนี้เลยไหม”
ไม่ง่ายเลยกว่ากูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้จะหยุดหัวเราะได้ นางดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาไปด้วย พลางกล่าวไปด้วยว่า “นางย่อมต้องทราบอยู่แล้ว! ไม่แน่ว่าอาจเป็นตัวนางเองที่คิดวิธีนี้ขึ้นมา! ข้าก็ว่า เหตุใดนางถึงไม่พาคุณหนูสามออกมาด้วย คงเป็นเพราะกลัวว่าผู้อื่นจะมองแผนการออก แล้วไปทำลายชื่อเสียงของคุณหนูสาม เด็กสาวสองคนนี้ก็เขลาเสียเหลือเกิน เหตุใดถึงยอมให้ฮูหยินซุนผู้นั้นชี้ซ้ายก็ไปซ้าย ชี้ขวาก็ไปขวาเช่นนั้นได้!”
โจวเสาจิ่นเหมือนอยากจะกล่าวอะไรแต่ก็หยุดไป
เฉิงเจียเห็นแล้วก็กล่าวขึ้นอย่างไม่ชอบใจว่า “ข้าไม่ชอบลักษณะเช่นนี้ของเจ้ามากที่สุด! พวกเราเป็นพี่สาวน้องสาวกัน เจ้ามีอะไรก็พูดออกมาเถิด! ต่อให้พูดผิดไป ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล!”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” โจวเสาจิ่นมองกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ กล่าวอย่างพินิจพิจารณาว่า “เช่นนั้น คุณหนูหลิวที่เก้าผู้นั้น มาดักรอท่านน้าฉืออย่างนั้นหรือ”
“มีความเป็นไปได้อยู่มากกว่าครึ่ง” อารมณ์ของกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้บรรเทาลงจากเมื่อครู่เล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่เช่นนั้นก่อนหน้านั้นฮูหยินหลิวจะไปนั่งอยู่ในห้องข้างเพื่ออะไร โดยสถานะของนางแล้ว ควรจะนั่งอยู่ในห้องโถงหลักถึงจะถูก เจ้าไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่นี้นางกับคุณหนูหลิวที่เก้าเดินไปที่ห้องโถงหลักแล้ว” นางกล่าวขึ้นอย่างคาดคะเนว่า “คาดว่าเหตุผลมากกว่าครึ่งเป็นเพราะหญิงสาวในห้องโถงหลักมีมากเกินไป เพื่อสร้างภาพจำให้ท่านอาเฉิงที่สี่แล้ว จึงจงใจพาคุณหนูหลิวที่เก้าออกมาเพื่อจะได้เจอกับท่านอาเฉิงที่สี่ โดยบังเอิญ ”
“แต่อายุของคุณหนูหลิวที่เก้ากับพวกเราต่างกันไม่มากนัก” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างฉงน “หากท่านน้าฉือต้องการหาใครสักคน ก็น่าจะหาคนที่มีอายุมากกว่านี้สักหน่อยไม่ใช่หรือ”
“บุตรเขยผู้เพียบพร้อมที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงจิ้นซื่อผู้หนึ่ง อย่าพูดถึงว่ามีอายุมากกว่าเป็นสิบปีเลย ต่อให้มากกว่ายี่สิบปี ก็ไม่มีอะไรเสียหาย” กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กล่าวยิ้มๆ ว่า “นอกจากนี้ท่านอาเฉิงที่สี่ยังไม่เคยแต่งงานมาก่อน จะดีจะร้ายเมื่อแต่งเข้าไปก็เป็นสามีภรรยาคนแรกของกันและกัน อย่างไรก็ย่อมดีกว่าแต่งไปเป็นภรรยาคนที่สองของพ่อหม้ายกระมัง”
“จริงด้วย!” โจวเสาจิ่นกล่าว “แต่เหตุใดท่านน้าฉือถึงไม่ยอมแต่งงานเสียทีหรือ”
“จริงด้วยๆ!” เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น “เหตุใดท่านอาฉือถึงไม่ยอมแต่งงานเสียทีหรือ”
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ที่พูดอย่างตรงไปตรงมาและมั่นใจมาตลอดกลับหยุดชะงักลง กว่าครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นว่า “ข้า…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน! ข้าไม่เคยได้ยินผู้ใหญ่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อน!”
ทั้งสามคนต่างมองไปตามทิศทางที่เฉิงฉือเดินจากไป
กิ่งไม้เขียวชอุ่มสองข้างทางต่างโบกสะบัดพลิ้วไสว
ไม่เหลือเงาของเฉิงฉือให้เห็นแล้ว
มีหมัวมัวผู้เป็นแม่บ้านเข้ามาเชิญพวกนาง “ใกล้ถึงฤกษ์ดีแล้ว เชิญคุณหนูทั้งหลายเข้าไปดื่มชาในห้องข้างเถิดเจ้าค่ะ!”
…………………………………………………………………….
[1] ห้องทางการ คือห้องสุขา
คอมเม้นต์