อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 5 วิชาภาษาอังกฤษ

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 5 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 5 วิชาภาษาอังกฤษ

 

 

“ความจริงเขาไม่ได้รวยจริงๆ หรอก ที่เขาทำตัวอย่างนี้ได้ก็เพราะแม่ของเขาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนของเราเท่านั้นแหละ”

 

 

“ใช่ ฉันไม่ชอบขี้หน้าหวังปินมาตั้งนานแล้วและความจริงครอบครัวของหวังปินก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย เขาแค่พยายามทำให้ตัวเองดูรวยก็เท่านั้น”

 

 

“เงินที่หวังปินเอาออกมาใช้ส่วนใหญ่ก็เป็นเงินของพวกเราที่จ่ายให้เป็นค่าเรียนพิเศษให้กับแม่ของหวังปินทั้งนั้นแหละ”

 

 

นักเรียนหลายคนที่ไม่พอใจเริ่มจับกลุ่มคุยกัน

 

 

หลินปู้ฟานขอบคุณทุกคนที่เข้ามาช่วยเขาก่อนกลับไปนั่งที่

 

 

อู่หลิงเสี่ยวเดินมาหาหลินปู้ฟานด้วยความเป็นห่วง “หลินปู้ฟาน นายต้องระวังตัวไว้ด้วยนะเพราะหวังปิงคงไปฟ้องคุณครูหวังแล้วตอนนี้”

 

 

ครูหวังที่อู่หลิงเสี่ยวพูดถึงคือหวังมู่มู่ แม่ของหวังปิน

 

 

“ใช่ ฉันก็ไม่ชอบครูหวังเหมือนกัน เธอชอบจับผิดคนที่ไม่ได้ลงเรียนกวดวิชากับเธอ” เพื่อร่วมชั้นอีกคนพูด

 

 

“ไม่เป็นไร” หลินปู้ฟานยิ้มจางๆ ใบหน้าของเขานิ่งสงบราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

 

 

ซูชิงขมวดคิ้วยืนห่างออกไปไม่กี่เมตร เธอคิดในใจ: หลินปู้ฟานคนนี้ ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับการยั่วยุของหวังปิงเขาใจเย็นอย่างมาก เขาตบหน้าหวังปินอย่างแรงด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำ ทำไมก่อนหน้านี้เธอไม่เคยสังเกตถึงด้านนี้ของเขาเลย

 

 

คาบเรียนที่สามคือวิชาภาษาอังกฤษ ครูหวังเดินเข้ามาในห้อง เธอสวมกระโปงตอนเดียวแว่นขอบแดงริมฝีปากหนาและดูเหมือนว่าตอนนี้เธอกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย

 

 

ทันทีที่เดินเข้าประตูมา สายตาของเธอก็จ้องตรงมาที่หลินปู้ฟานทันที

 

 

หลินปู้ฟานไม่ได้สนใจสายตานั้นเลยแม้แต่น้อย เขาในตอนนี้จะเรียนหรือไม่เรียนก็ไม่ได้แตกต่างกันเพราะจุดประสงค์ของการเรียนอะไรพวกนี้ก็เพื่อเอาไว้หาเงิน แต่ตอนนี้เขามีข้อมูลมากมายที่เอาไว้ทำเงินทั้งหมดแล้ว สิ่งที่เขามีในหัวตอนนี้สามารถเขย่าโลกทั้งใบได้เลยก็ว่าได้!

 

 

และเขาก็ไม่ได้กลัวหวังมู่มู่เลยด้วย

 

 

หลินปู้ฟานเคยเป็นอาจารย์ระดับเหรียญทองในชีวิตที่แล้วของเขา ความรู้ทุกๆ อย่างยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวของเขา

 

 

ผ่านไปครึ่งคาบในพริบตา…

 

 

“Tom.is.two.Years.old.UncleBen.says you.are.very.clever.Tom” เมื่อเธอเขียนประโยคภาษาอังกฤษบนกระดานดำจู่ๆ เธอก็หันหน้าไปหาหลินปู้ฟานที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง คิ้วของเธอกระตุก “หลินปู้ฟาน เธอคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะหรือยังไง? ถึงได้ไม่สนใจในสิ่งที่ครูสอนเลย ถ้าอย่างนั้นขอให้ครูได้เห็นความสามารถของอัจฉริยะสักหน่อย ยืนขึ้น! และแปลความหมายของประโยคนี้”

 

 

หลินปู้ฟานรู้สึกตลกสำหรับการแปลภาษาอังกฤษง่ายๆ แบบนี้ เขาไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำและนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่ตั้งใจเรียน

 

 

ซูชิงมองไปที่หลินปู้ฟานอย่างเป็นกังวล…

 

 

“ประโยคนี้หมายความว่าทอมอายุ 2 ขวบในปีนี้และลุงเบ็นบอกว่าเขาเป็นเด็กฉลาด” หลินปู้ฟานตอบ

 

 

“นั่งลง วันนี้เธอต้องคัดประโยคนี้ 100 ครั้งเป็นการบ้านและเอามาส่งครูพรุ่งนี้เช้า” หวังมู่มู่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

 

 

หลินปู้ฟานถอนหายใจผู้หญิงคนนี้ยังคงไม่ยอมแพ้ ถ้าเป็นอย่างนั้น…

 

 

“ครูหวัง ผมจะไม่คัดประโยคพวกนี้” หลินปู้ฟานกล่าวอย่างเด็ดขาด

 

 

สายตาของทุกๆ คนมองไปที่หลินปู้ฟานด้วยความตะลึง

 

 

“เธออยากจะลองดีกับฉันงั้นเหรอ? เธอยังต้องการที่เรียนอยู่ไหม?” หวังมู่มู่พูดเสียงดัง

 

 

“ครูหวัง ไม่ใช่ว่าผมต้องการจะขัดคำสั่งครู แต่ผมแค่ไม่ต้องการคัดลอกประโยคที่มันไม่ถูกต้องก็เท่านั้น เพราะนอกจากมันจะไม่ทำให้ผมฉลาดขึ้นแล้วมันยังทำให้ผมโง่ลงเสียด้วยซ้ำ ครูหวังครูรู้ไหมว่าฝรั่งเขาไม่ใช้คำว่า clever กับเด็ก 2 ขวบกันหรอกนะครับ ถ้าคนอเมริกันแท้เขาจะใช้คำว่า smart เช่น you.are.smart ใครที่เคยดูละครของฝรั่งน่าจะรู้เรื่องนี้ดี”

 

 

หลังจากที่หลินปู้ฟานพูดจบ หวังมู่มู่และนักเรียนทุกคนในห้องก็นิ่งไปทันที เนื่องจากการสอนภาษาอังกฤษในยุคนี้เป็นการสอนเพื่อให้แค่อ่านออกเขียนได้แบบทั่วไปและแผนการสอนก็ยังคงเป็นแบบเก่าที่ล้าสมัย

 

 

เธอหันหน้าไปมองที่ประโยคที่เธอเขียนและหน้าของเธอก็ซีดไปในทันที “นี่..อ่าใช้ ตรงนี้ควรที่จะใช้คำว่า smart จริงๆ… ดูเหมือนหลินปู้ฟานเพื่อนร่วมชั้นของเราจะเป็นอัจฉริยะภาษาอังกฤษจริงๆ ถ้าอย่างนั้น”

 

 

เธอหยิบหนังสือขึ้นมาและพลิกหน้าหนังสือแบบสุ่มๆ “เธอลองแปลบทความนี้และอ่านให้เพื่อนๆฟัง”

 

 

ทั้งชั้นเรียนต่างตกตะลึง นี่คือการแปลแบบสด คนที่เก่งภาษาอังกฤษที่สุดในโรงเรียนยังทำไม่ได้เลย หากเปลี่ยนเป็นหวังมู่มู่ที่ต้องมาอ่านบทความนี้เธอก็คงทำไม่ได้อย่างแน่นอน

 

 

ซูชิงมองไปทีหลินปู้ฟานด้วยความเป็นห่วง

 

 

หลินปู้ฟานเดินไปที่หน้าห้องโดยไม่สนสายตายของใคร

 

 

มุมปากของหวังมู่มู่กระตุก เธอคิดในใจ : แม้แต่อาจารย์ยังไม่สามารถทำได้เลย แล้วเด็กนักเรียนจะทำได้ยังไง

 

 

 

 

“A.teacher.should……”

 

 

ในขณะที่หวังมู่มู่กำลังจะเยาะเย้ยหลินปู้ฟานอยู่นั้น หลินปู้ฟานก็ได้เริ่มอ่านออกมาทันที

 

 

สำเนียงอเมริกันที่ชัดเจนทำให้ทั้งชั้นเรียนและหวังมู่มู่ตกตะลึงอีกครั้ง

 

 

ในฐานะอาจารย์ หวังมู่มู่ยังต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงเพื่อแปลบทความเหล่านี้แต่หลินปู้ฟานกลับอ่านมันออกมาได้ทันทีแถมยังพูดได้ชัดอีกด้วย

 

 

“… A.teacher.must.put.virtue.first. ครูหวัง ประโยคสุดท้ายนี้หมายถึงคนเป็นครูต้องให้คุณธรรมมาก่อนเป็นอันดับแรก ครูเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่?” หลินปู้ฟานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

 

ใบหน้าของหวังมู่มู่แดงก่ำ

 

 

ทุกๆ คนในห้องต่างก็ได้ยินสิ่งที่หลินปู้ฟานพูดกันหมด

 

 

ครูที่ไม่มีคุณธรรมจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักเรียนได้อย่างไร

 

 

ขณะกำลังแปลหลินปู้ฟานก็ย้ำคำว่า “Being a Teacher” สมองของหวังมู่มู่ก็กลายเป็นอื้ออึงไปในทันที ใบหน้าของเธอร้อนพอที่จะทอดไข่ได้แล้วตอนนี้

 

 

โชคดีที่มีเสียงระฆังจบคาบเรียนดังขึ้น เธอจึงรีบออกไปจากห้องพร้อมกับหนังสือในมือทันที

 

 

ทันทีที่ชั้นเรียนจบลง นักเรียนหลายคนก็เข้ามาลุมถามหลินปู้ฟานว่าเขาเก่งอังกฤษขนาดนี้ได้อย่างไร หลินปู้ฟานยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่าเขาจำมาจากละครของฝรั่ง

 

 

ตอนเที่ยงซูชิงและหลินปู้ฟานเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกัน ซูชิงพาหลินปู้ฟานไปที่ร้านอาหารท้องถิ่น จางอี้นี่แม่ของซูชิงได้เตรียมเงินลดและรออยู่ที่นั่น

 

 

เมื่อเข้ามาในห้องอาหาร จางอี้นี่ก็รีบลุกยืนขึ้นและพูดด้วยรอบยิ้ม “นั่งก่อน”

 

 

“เงินพร้อมแล้วใช่ไหม?” หลินปู้ฟานถาม

 

 

“แน่นอน ป้าจะผิดสัญญาได้ยังไง” จางอี้นี่ชี้ไปที่กระเป๋าสีดำบนพื้น

 

 

“ขอบคุณ” หลินปู้ฟานกำลังจะไปหยิบกระเป๋า

 

 

“นักเรียนหลิน จะไม่ทานอาหารด้วยกันก่อนเหรอ?” จางอี้นี่ถาม

 

 

“ไม่เป็นไรครับ ผมจะกลับไปทานที่โรงเรียน”

 

 

“อาหารของโรงเรียนจะเทียบกับอาหารของที่นี่ได้ยังไง?” จางอี้นี่พูดอย่างกระตือรือร้น “น้าสั่งอาหารไปแล้ว ถือว่าเห็นแก่น้า อยู่ทานอาหารด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปได้ไหม?”

 

 

จางอี้นี่สวมชุดกี่เพ้ากึ่งจีน ทำให้เธอดูมีเสน่ห์แบบสาวใหญ่

 

 

หลินปู้ฟานมองไปที่นาฬิกา “อีก 10 นาทีจะถึงเวลาพักของพวกคุณครูแล้ว ผมอาจจะถูกสงสัยเรื่องกระเป๋าใบนี้ได้ ต้องขอโทษด้วยครับ”

 

 

หลินปู้ฟานหยิบกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเงินขึ้นมาและเดินออกไป

 

 

“นักเรียนหลิน เธอจะไม่นับเงินในกระเป๋าหน่อยเหรอ?” จางอี้นี่กล่าว

 

 

หลินปู้ฟานเคยถือเงินสดประมาณห้าแสนมาแล้วในชีวิตที่แล้วและกระเป๋าใบนี้ก็มีน้ำหนักพอๆกัน

 

 

“ผมเชื่อใจคุณ” หลินปู้ฟานยิ้มเล็กน้อยและเดินออกจากห้องไป

 

 

หลังจากที่หลินปู้ฟานจากไป จางอี้นี่ก็พูดออกมาเบาๆ “เด็กคนนี้ไม่เหมือนเด็กคนอื่นจริงๆ”

 

 

“ใช่ค่ะแม่หนูเองก็คิดแบบนั้น แม่รู้ไหมว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น…” ซูชิงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้แม่ของเธอฟัง “หลินปู้ฟานแทบจะไม่ได้เข้าเรียนเลย แต่เขากลับพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าอาจารย์เสียอีก”

 

 

“ชิงชิง หนูต้องพยายามพาเขาไปงานวันเกิดของหนูคืนนี้ให้ได้นะ” จางอี้นี่เริ่มสนใจหลินปู้ฟานมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

เมื่อกลับมาถึงอาคารเรียน เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากข้างหลังเขา

 

 

“หือ?…”

 

 

เมื่อหลินปู้ฟานหันไปเห็นว่าใครเรียกเขา จมูกเขาก็รู้สึกแสบร้อนขึ้นมาในทันที…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด