อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 34 เธอคือดวงตาของฉัน

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 34 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 34 เธอคือดวงตาของฉัน

 

 

เมื่อหลินปู้ฟานมอบตั๋วเข้าชมการประกวดร้องเพลงให้แก่เฉินเจี้ยนชิง เฉินเจี้ยนชิงก็หัวเราะเยาะและปฏิเสธ

 

 

หลินปู้ฟานกล่าวว่าการที่จะสื่อสารกับลูกของลุงได้ลุงเองก็ต้องเข้าใจพวกเขาด้วยเช่นกัน หากลุงไม่รู้จักลูกสาวของลุงแล้วลุงจะโน้มน้าวให้เธอเลิกเล่นดนตรีได้อย่างไร นอกจากนี้การแข่งขันนี้ก็เปรียบเสมือนก้อนเมฆที่ยากจะไขว่คว้า วงดนตรีของลูกสาวของลุงจะไม่มีทางชนะการแข่งครั้งนี้ได้แน่ จากนั้นลุงก็ใช้โอกาสนี้ชักชวนให้เธอเลิกเล่นดนตรีในตอนที่ลูกสาวของลุงกำลังอ่อนไหวและท้อถอยจะไม่ดีกว่าเหรอ?

 

 

เฉินเจี้ยนชิงรู้สึกสะเทือนใจตามคำพูดของหลินปู้ฟาน เขามาที่หอประชุมที่จัดการแข่ง มีผู้คนมากมายอยู่ข้างในทั้งนักศึกษาและผู้สื่อข่าว

 

 

ตำแหน่งของเฉินเจี้ยนชิงอยู่แถวที่ 3 จากหน้าเวที มีเพียงผู้เข้าแข่งขันเท่านั้นที่จะได้รับตั๋วสำหรับตำแหน่งนี้

 

 

“มีคนมากมายจริงๆ” เฉินเจี้ยนชิงมองไปรอบๆ และพูดด้วยอารมณ์ “คนพวกนี้ชอบดนตรีมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

 

ในแง่หนึ่ง เฉินเจี้ยนชิงนั้นถือว่าเป็นพวกหัวโบราณของจริง เขามักจะฟังการเล่าเรื่องและโอเปร่ามากกว่า เพราะเขาไม่ชอบเพลงสมัยนี้

 

 

ครั้งนี้ผู้ตัดสินหลักคือหลงเถิงนักร้องนำวงเห๋ยเซี่ยซื่อ

 

 

การมาถึงของเขาทำให้นักศึกษาการดนตรีทุกคนตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น

 

 

มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ทั้งสองข้างของเขา หลงเถิงนั่งอยู่ตรงกลางสวมแว่นกันแดดสีดำข้างๆ มีผู้อำนวยการของมหาวิทยาลัยและอาจารย์หลายคนจากแผนกดนตรี ศาสตราจารย์ทุกๆ คนเป็นกรรมการในการแข่งขันครั้งนี้

 

 

มีวงดนตรีทั้งหมด 10 วงที่เข้าร่วมการแข่งขัน

 

 

หลังจากจบการแสดงของแต่ละวง หลงเถิงจะแสดงความคิดเห็นและจะมีการให้คะแนน อาจารย์หลายคนจะติดตามความเห็นและให้คะแนนตามหลงเถิง เพราะที่พวกเขาเชิญหลงเถิงมาก็เพราะว่า การมีส่วนร่วมของหลงเถิงจะทำให้การแข่งขันครั้งนี้เป็นที่จับตามองของบรรดาผู้สื่อข่าว

 

 

หลังจากจบการแสดงวงแรกหลงเถิงเริ่มแสดงความคิดเห็น “นี่มันอะไรกัน? แบบนี้มันเรียกว่าเพลงได้เหรอ? เสียงสูงไม่สุดเสียงต่ำก็ไม่ได้ หยินเกินหยางขาด หยางเกินหยินขาดไม่มีความพอดี คนพวกนี้เรียนดนตรีมาจริงๆ เหรอ?”

 

 

ที่เขาถูกเรียกว่าลิ้นพิษนั้นมาจากการคอมเมนท์ของเขา

 

 

ทุกคนบนเวทีหน้าแดง

 

 

“ผมแนะนำว่าพวกคุณควรจะเลิกเล่นดนตรีซะ พวกคุณไม่เหมาะกับการทำเพลงหรอก” หลงเถิงแสดงความคิดเห็นอย่างเจ็บแสบและจบด้วยการให้คะแนนแค่ 1 คะแนน

 

 

มีกรรมการทั้งหมด 10 คน ซึ่งแต่ละคนสามารถทำคะแนนได้สูงสุดคนละ 10 คะแนนเท่ากับว่าว่าคะแนนเต็มคือ 100 คะแนน เมื่อรองผู้ตัดสินเห็นว่าหลงเถิงได้คะแนนแค่ 1 คะแนน พวกเขาก็ทำตามและวงนี้ก็จบด้วยคะแนนเพียงแค่ 10 คะแนนเท่านั้น

 

 

นักศึกษาที่อยู่ด้านหลังตื่นตระหนก

 

 

“สมกับเป็นหลงเถิงจริงๆ ความต้องการด้านดนตรีสูงสุดๆ”

 

 

“ทีมนี้ห่วยแตกจริงๆ แหละ ถ้าเกิดว่าสามารถให้ 0 คะแนนได้ ฉันว่าเขาก็คงจะให้ไปแล้ว”

 

 

“บางทีรางวัลอาจจะถูกยกเลิกไปถ้าหากวงต่อๆ ไปยังเป็นแบบนี้”

 

 

นักศึกษาพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น

 

 

แต่เมื่อหลอดไฟมืดลงทุกคนก็เงียบลงทันที

 

 

เมื่อได้เห็นฉากดังกล่าวเฉินเจี้ยนชิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา

 

 

นี่จะเป็นผลดีที่สุดสำหรับหว่านเอ๋อ เพื่อที่จะให้เธอสามารถตัดเส้นทางดนตรีของเธอได้ ครูผู้สอนต้องดุและทำให้เธอร้องไห้ออกมาแบบนี้ อนาคตของลูกสาวของฉันอยู่ที่พวกคุณแล้ว

 

 

เฉินเจี้ยนชิงหวังว่าหลงเถิงจะดุด่าและทำให้เฉินหว่านเอ๋อร้องไห้ออกมาได้ เพื่อที่จะทำให้เฉินหว่านเอ๋อรู้ว่าเธอไม่เหมาะสมกับเส้นทางสายดนตรี

 

 

4 วงผ่านไปในพริบตา แต่ก็ยังไม่มีวงใดที่ทำให้หลงเถิงพึงพอใจได้เลย

 

 

มีนักร้องนำเพียง 2 คนเท่านั้นที่หลงเถิงพอจะถูกใจ

 

 

เหล่าคณะกรรมการและผู้จัดงานปรึกษากันเพื่อจะลดรางวัลให้เหลือรางวัลที่ 1 แค่รางวัลดียวเพราะหลงเถิงคิดว่าวงต่อๆ ไปก็คงจะไม่แตกต่างกัน

 

 

หากจะมอบรางวัลที่ 2 และ 3 ให้กับวงที่ทำคะแนนได้มากกว่า 10 เพียงแค่ไม่กี่คะแนน ดูจะเป็นการทำร้ายพวกเขาซะมากกว่า

 

 

ความเห็นของหลงเถิงรุนแรงจริงๆ

 

 

อาจารย์และผู้นำวิทยาลัยหลายคนเริ่มรู้สึกลังเลในใจ แต่ผู้สื่อข่าวทุกคนที่อยู่นั่นกลับชื่นชอบสิ่งนี้มากๆ

 

 

หลังจากตกลงตามคำขอของหลงเถิง การแข่งก็ดำเนินต่อไป

 

 

วงดนตรีของฉินเฟิงหยุนขึ้นมาบนเวที

 

 

หลินปู้ฟานเห็นจากข้างหลังเวทีว่าวงดนตรีของฉินเฟิงหยุนนั้นมีผู้เล่นเอ้อหูอยู่ด้วย

 

 

ในยุคนี้โดยปกติแล้ววงดนตรีจะประกอบไปด้วยมือกีต้าร์ มือเบส มือคีย์บอร์ดและมือกลองส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องดนตรีของตะวันตกแบบทั้งหมด หายากมากที่จะมีเครื่องดนตรีของฝั่งตะวันออกร่วมอยู่ในวง

 

 

หลินปู้ฟานจึงตกใจกับสิ่งที่เห็น

 

 

“พวกเขาเอาเอ้อหูมาทำอะไร?” หัวซานถามอย่างสงสัย

 

 

“ฉันไม่รู้” ซงเซิ่นฮุยเริ่มกังวล “เอ้อหูเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้าน ดนตรีพื้นบ้านสามารถผสมผสานกับดนตรีตะวันตกได้เหรอ?”

 

 

หลินปู้ฟานรู้ดีเพราะในอีกไม่กี่ปี การรวมกลุ่มแบบนี้จะกลายเป็นเรื่องปกติ

 

 

“เขาคือฉินเฟิงหยุน เขาเป็นนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมของวิทยาลัยของเรา”

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า คราวนี้รางวัลที่หนึ่งเป็นของวิทยาลัยของเราแน่นอน”

 

 

“พี่ใหญ่ฉินหล่อจริงๆ”

 

 

“พี่ใหญ่ฉินฉันรักคุณ”

 

 

หลังจากที่ได้เห็นการปรากฏตัวของวงดนตรีของฉินเฟิงหยุน ผู้ชมก็เริ่มมีความวุ่นวายและมีเสียงปรบมือดังออกมาก่อนที่การแสดงจะเริ่มเสียอีก

 

 

ฉินเฟิงหยุนยิ้มและยกมือเพื่อทำให้ทุกคนเงียบ

 

 

“เพลงที่วง Black Foxes ของเราจะร้องคือเพลง “เยาวชน””

 

 

หลังจากพูดแล้วมือกลองก็เริ่มโหมโรง

 

 

“เยาวชนยังคงอยู่ในเวลาของเวลา เราทุกคนยังเยาว์วัยและได้แต่ปฏิบัติตาม…” ฉินเฟิงหยุนเริ่มร้องและกระตุ้นความสนใจของหลงเถิงได้

 

 

“ทำนองและเนื้อร้องของเพลงนี้!” หลงเถิงประเมินแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน

 

 

เพลง”เยาวชน”นี้มีเงาของเพลง”เด็กหลงทาง”ทั้งในทำนองสไตล์และเนื้อร้อง

 

 

เพลง”เด็กหลงทาง”เป็นเพลงต้นฉบับของหลงเถิงและนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หลงเถิงยิ้มออกมา

 

 

หลังจากการขับร้อง เอ้อหูก็เริ่มบรรเลงขึ้นมา เสียงของเอ้อหูนั้นทรงพลังมาก มันสามารถแสดงอารมณ์และแสดงความเสียใจของวัยหนุ่มสาวที่สูญเปล่ารวมถึงความรักที่ผิดหวังออกมาได้

 

 

ผู้ชมเงียบไปชั่วขณะ สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ฉินเฟิงหยุน

 

 

ฉินเฟิงหยุนสนุกกับสายตาของสาธารณชนและร้องเพลงไปจนถึงจุดสุดยอด…

 

 

หลังจากเพลงจบก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น

 

 

“พี่ฉินของฉันร้องเพลงได้เพราะที่สุด”

 

 

“เพลงนี้ต้องได้รับรางวัลชนะเลิศแน่นอน”

 

 

“มันช่างน่าประทับใจ”

 

 

เหล่านักศึกษาตะโกน บางคนถึงกับผิวปาก

 

 

หลงเถิงหยิบไมโครโฟนขึ้นมาและพูดอย่างเห็นด้วย “คืนนี้ไม่เสียเปล่าแล้ว เธอชื่ออะไร?”

 

 

“ผมชื่อฉินเฟิงหยุนครับ”

 

 

“เพลงนี้เป็นเพลงต้นฉบับของคุณหรือเปล่า?”

 

 

“ใช่ เพลงนี้เป็นของขวัญพิเศษของผมสำหรับครูหลงครับ” ฉินเฟิงหยุนหน้าชื่นตาบาน

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันบอกได้เลยว่าทักษะการร้องของเธอนั้นดีมาก โดยเฉพาะท่อนเสียงสูงชัดเจนและสดใสไม่แปร่ง และทักษะการเรียบเรียงของคุณก็แข็งแกร่งเช่นกัน คุณสามารถผสมผสานดนตรีพื้นบ้านเข้ากับดนตรีตะวันตกได้อย่างลงตัว”

 

 

การจัดเรียงและการเรียบเรียงแบ่งเป็นสองแนวคิด การเรียบเรียงคือการปรับแต่งเพลง การจัดเรียงคือการรวมเครื่องดนตรีทั้งหมดเข้าด้วยกันเช่น เมื่อต้องการเน้นทำนองของกีตาร์ เครื่องดนตรีอื่นๆ ก็จะต้องหลีกทางให้ ดังนั้นผู้ที่จะสามารถจัดเรียงดนตรีได้จะต้องมีความเข้าใจในเครื่องดนตรีและต้องเป็นคนที่มีความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีเป็นอย่างดี

 

 

“อาจารย์หลง ผมเป็นแฟนเพลงของคุณมาตลอด ดนตรีของคุณเป็นเหมือนแสงสว่างนำทางของผม” ฉินเฟิงหยุนประจบ

 

 

“เพลงนี้ผมให้ 9 คะแนน” หลงเถิงโชว์การ์ดคะแนน

 

 

อาจารย์ที่เหลืออีก 9 คนก็ให้คะแนน 9 คะแนนตามหลงเถิง รวมคะแนนทั้งหมดเป็น 90 คะแนน

 

 

นี่คือคะแนนสูงสุดในตอนนี้

 

 

“ชนะแน่นอน”

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีก 3 วงที่เหลือเป็นแค่ขยะ”

 

 

“วิทยาลัยดนตรีไห่เหลียงของเราเป็นถึงวิทยาลัยระดับจังหวัด ส่วนวิทยาอื่นๆ ที่เหลือไม่จำเป็นต้องพูดถึง”

 

 

“ใช่ ผู้ชนะได้กำหนดไว้แล้ว รางวัลที่ 1 ของปีนี้ต้องเป็นของเรา”

 

 

นักศึกษาวิทยาลัยดนตรีไห่เหลียงหลายคนกล่าวอย่างมีชัย

 

 

หลังจากก้าวลงจากเวที ฉินเฟิงหยุนก็เห็นซงเซิ่นฮุยและคนอื่นๆ ยืนอยู่หลังเวที เขาเดินเข้าไปด้วยท่าทางที่หยิ่งผยอง “หลังจากได้ฟังความคิดเห็นของอาจารย์หลงแล้ว พวกนายยังคิดว่าตัวเองยังจะสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศได้อยู่ไหม?”

 

 

เฉินหว่านเอ๋อเหล่มองไปที่ฉินเฟิงหยุน “อย่ามั่นใจตัวเองเกินไป ระวังจะดีใจเก้อนะ”

 

 

“ไม่จำเป็น ฉันรู้ความสามารถของพวกเธอดี เธอคิดว่าซงเซิ่นฮุยจะร้องได้ดีกว่าฉันหรือไง?”

 

 

“คราวนี้ฉันเป็นนักร้องนำ”

 

 

“เธอ?” ฉินเฟิงหยุนมองไปที่เฉินหว่านเอ๋อด้วยความประหลาดใจและหัวเราะในเวลาต่อมา “เธอ.. ถ้าฉันจำไม่ผิดเธอเป็นมือคีย์บอร์ดนี่ ฮ่าฮ่าฮ่า… “

 

 

“แล้วยังไง? เดี๋ยวนายก็รู้เอง” เฉินหว่านเอ๋อพูดอย่างมั่นใจ

 

 

หลินปู้ฟานสังเกตเห็นว่าซงเซิ่นฮุยเป็นคนขี้เกรงใจเกินไป ทำให้เฉินหว่านเอ๋อเหมาะกับการทำเพลงมากกว่า เพราะนักดนตรีต้องมีความมั่นใจในตัวเอง นักดนตรีบางคนต้องสะสมประสบการณ์หลายปีหรือมากกว่าสิบปีถึงจะมีชื่อเสียง ทางข้างหน้ายังต้องพบกับความยากลำบากอีกมากมาย ถ้าคุณไม่มีความมั่นใจในตัวเองทุกอย่างก็จบ

 

 

“ดี ฉันชอบม้าป่าที่ดื้อรั้นแบบนี้ มันทำให้ฉันต้องการพิชิตมากขึ้น สาวน้อยอย่าลืมข้อตกลงของสองเราล่ะ ฉันแทบจะรอเธอไม่ไหวแล้ว” ฉินเฟิงหยุนแสดงแววตาหื่นกาม

 

 

“ฉันเฉินหว่านเอ๋อไม่เคยผิดคำพูด คุณเองก็เตรียมตัวรอได้เลย”

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ตกลง! มาดูกันว่าใครจะเป็นคนที่หัวเราะเป็นคนสุดท้าย” ฉินเฟิงหยุนส่ายหน้าและจากไป

 

 

ในไม่นานก็ถึงคิวของวงของซงเซิ่นฮุย

 

 

พวกเขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินขึ้นไป

 

 

“น้องหลิน พวกเขาจะชนะได้ใช่ไหม?” หลัวเสี่ยวเสี่ยวถามอย่างเป็นห่วง

 

 

“แน่นอน!” หลินปู้ฟานกล่าวหนักแน่น

 

 

เมื่อเฉินหว่านเอ๋อยืนอยู่ในตำแหน่งนักร้องนำ เฉินเจี้ยนชิงก็แทบจะจำไม่ได้ว่านั่นคือลูกสาวของเขา

 

 

ต่างหูหายไป การแต่งหน้าแบบสโมกกี้หายไป กางเกงที่ขาดๆ หายไป เครื่องประดับที่ยุ่งเหยิงที่ข้อมือหายไป จี้หัวกะโหลกที่คอก็หายไปด้วยและถูกแทนที่ด้วยหญิงสาวที่บริสุทธิ์

 

 

ดวงตาของเฉินเจี้ยนชิงสดใส เขาพอใจอย่างมากแต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็กลับมาหวังให้หลงเถิงดุและทำให้ลูกสาวของเขาร้องไห้อีกครั้ง

 

 

“เพลงที่เราจะร้องมีชื่อว่า”เธอคือดวงตาของฉัน”” เสียงที่ชัดเจนและสดใสของเฉินหว่านเอ๋อดังก้องไปทั่วหอประชุม

 

 

 

ถ้าหากฉันสามารถมองเห็นได้~

 

 

ก็จะสามารถแยกแยะกลางวันกลางคืนได้

 

 

ก็จะสามารถจูงมือเธอที่อยู่ท่ามกลางผู้คนได้อย่างถูกต้อง

 

 

ถ้าหากฉันสามารถมองเห็นได้

 

 

ก็จะสามารถขับรถพาเธอไปเที่ยวที่ต่างๆ ได้

 

 

สามารถทำให้เธอเซอร์ไพรส์ด้วยการกอดเธอจากด้านหลังได้

 

 

ถ้าหากฉันสามารถมองเห็นได้

 

 

บางทีชีวิตฉันอาจไม่เหมือนเดิม

 

 

สิ่งที่ฉันต้องการ สิ่งที่ฉันชอบ สิ่งที่ฉันรัก อาจไม่เหมือนเดิม

 

 

สีดำที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่ใช่สีดำอีกต่อไป

 

 

สีขาวทีเธอพูดถึงก็คือสีขาว ท้องฟ้าสีฟ้าที่คนพูดกัน

 

 

มันคือท้องฟ้าสีฟ้าที่อยู่หลังกลุ่มเมฆสีขาวนั้น

 

 

ที่อยู่ในความทรงจำของฉัน

 

 

ฉันมองไปที่หน้าของเธอ แต่กลับมองไม่เห็นเธอ

 

 

ที่มองไม่เห็นเธอเป็นเพราะพระเจ้าลืมเปิดผ้าม่านออกใช่ไหม

 

 

แต่ฉันเห็นเพียงความว่างเปล่า

 

 

เธอคือดวงตาของฉัน

 

 

ทำให้ฉันเข้าใจชีวิต

 

 

เธอคือดวงตาของฉัน

 

 

ทำให้ฉันก้าวผ่านอุปสรรคได้

 

 

เธอคือดวงดวงตาของฉัน

 

 

ทำให้ฉันเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น….

 

 

 

 

หลงเถิงเป็นคนตาบอดมาแต่กำเนิด เขาไม่สามารถมองเห็นได้ เพลงนี้ดูเหมือนจะเหมาะกับเขาที่สุด ความเจ็บปวดในโลกที่มืดบอดไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ ‘ถ้าหากฉันสามารถมองเห็นได้ ก็จะสามารถแยกแยะกลางวันกลางคืนได้ ถ้าฉันเห็นฉันสามารถทำให้เธอเซอร์ไพรส์ด้วยการกอดเธอจากด้านหลังได้ …ที่มองไม่เห็นเธอเป็นเพราะพระเจ้าลืมเปิดผ้าม่านออกใช่ไหม?’

 

 

เนื้อเพลงท่อนนี้และเสียงร้อง มันเป็นเหมือนกับสายลมที่พัดเข้าสู่หัวใจของหลงเถิงจนร่างกายของเขาสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น น้ำตาของเขาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

เสียงแหลมสูงของเฉินหว่านเอ๋อนั้นสูงกว่าของฉินเฟิงหยุน ทำให้เพลงที่ร้องได้เข้าไปอยู่ในใจของทุกคน

 

 

นี่ไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นเรื่องราว เรื่องราวการเติบโตของคนตาบอดที่ตะโกนอยู่ในความมืดที่ไร้ขอบเขต เสียงตะโกน‘ถ้าฉันได้เห็น‘ที่ดังก้อง

 

 

“เยาวชน” ของฉินเฟิงหยุนเป็นเพลงที่ดีก็จริง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเพลง”เธอคือดวงตาของฉัน”มันก็กลายเป็นเพลงธรรมดาไปในทันที

 

 

ผู้คนในโลกร้วนมีอารมณ์และความรู้สึก ความสำเร็จที่เป็นจุดสูงสุดของเพลงคือการกระตุ้นอารมณ์และทำให้ทุกคนลงเสียงสะท้อนกลับมา

 

 

ไม่มีเสียงปรบมืออย่างดุเดือด ไม่มีเสียงตะโกนใดๆ มีเพียงแค่การฟังอย่างเงียบๆ

 

 

เฉินเจี้ยนชิงมองไปที่ลูกสาวของเขาอย่างว่างเปล่า ตัวของเขาสั่นไหวและน้ำตาก็ไหลออกมา

 

 

เกิดอะไรขึ้นกับฉัน?

 

 

เขารู้สึกสะเทือนใจ ปรากฎว่าลูกสาวของเขาร้องเพลงได้ดีมาก เธอทรงพลังมากจริงๆ

 

 

หลังจากเพลงจบ เด็กหญิงและเด็กชายหลายคนต่างร้องไห้

 

 

เรื่องราวในเพลงนี้ทำให้ผู้คนเสียใจและทำให้มนุษย์ที่มีสุขภาพแข็งแรงได้เข้าใจว่าความทุกข์ของชายตาบอดนั้นมากมายขนาดไหน

 

 

ตอนนี้หลงเถิงร้องไห้ออกมาเพราะเขาเองก็ตาบอด เขาจึงเข้าใจความเจ็บปวดนี้เป็นอย่างดี

 

 

เมื่อเห็นความเงียบของผู้ชม เฉินหว่านเอ๋อก็กลัวขึ้นมา

 

 

ฉันทำได้ไม่ดีเหรอ?

 

 

ซงเซิ่นฮุยและคนอื่นๆ ก็รู้สึกกังวลเช่นกัน

 

 

หลังจากหยุดไปนานผู้ชมก็ส่งเสียงปรบมือกันอย่างดุเดือด ไม่มีเสียงผิวปาก ไม่มีเสียงโห่ร้องที่ไม่เป็นระเบียบใดๆ ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนราวกับว่าพวกเขาอบอุ่นหัวใจ ผู้ชมทุกคนมองไปที่เฉินหว่านเอ๋อพร้อมกับปรบมือด้วยสายตาที่จริงใจจนฝ่ามือของพวกเขากลายเป็นสีแดง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด