อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 45 ตลาดหุ้น

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 45 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 45 ตลาดหุ้น

 

 

อิหร่านเป็นที่รู้จักกันในนามประเทศแห่งน้ำมัน เพราะที่นั่นมีแหล่งน้ำมันที่อุดมสมบูรณ์ฝังอยู่ใต้ทะเลทราย และอิหร่านก็ยังเป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับสามของโลก พวกเขาส่งออกน้ำมันเป็นจำนวนมากทุกปี

 

 

ในเดือนกันยายนปี 1998 โรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของอิหร่านจะเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นจนทำให้ไม่สามารถส่งออกได้ และจะก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำมันในหลายๆ ประเทศจนส่งผลให้หุ้นรถยนต์และเครื่องจักรที่มีความสัมพันธ์กันนั้นร่วงลงอย่างฉุดไม่อยู่

 

 

เดือนนี้จะเป็นเหมือนรถไฟเหาะ ราคาน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันจะสูงขึ้นจนบางคนเริ่มตื่นตัวและกักตุนน้ำมัน

 

 

“แต่โรงกลั่นน้ำมันของอิหร่านเป็นถึงโรงกลั่นระดับโลกเลยนะ” ลุงซูพูดไม่ออก

 

 

“ลุงซู คุณไม่เชื่อเทพแห่งความมั่งคั่งแล้วเหรอ?” จางอี้หนี่ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น แต่เธอก็พยายามเก็บอาการเอาไว้

 

 

“ฉันจะไม่ไว้ใจเสี่ยวหลินได้ยังไง? ลุงเชื่อเสี่ยวหลินอยู่แล้ว แต่ว่าเราต้องทำยังไง? เราจะลงทุนในตลาดหุ้นแล้วรอ 1 เดือนเพื่อขายออกอย่างนั้นเหรอ?”

 

 

“ในเมื่อมันสามาถทำเงินได้เร็ว เราก็ควรจะหาทุนเพิ่มไม่ดีกว่าเหรอ?” จางอี้หนี่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “ด้วยธรุกิจที่ฉันทำมาตลอดหลายปี ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหากจะยื่นเรื่องกู้เงินอีกสัก 5 ล้าน”

 

 

“อืม โอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีง่ายๆ ยิ่งเรามีเงินมากเท่าไหร่ยิ่งดี” หลินปู้ฟานเห็นด้วย

 

 

ลุงซูเหล่ตาและคิด “ฉันมีเพื่อนมากมายที่สามารถให้ฉันยืมเงินเพื่อกินดอกเบี้ย การจะหาเงินเพิ่มอีกสัก 2-3 ล้านก็ไม่มีปัญหา”

 

 

“ลุงซู ฉันได้ยินมาว่าคุณมีหุ้นในไนต์คลับและคาสิโนหลายแห่งด้วยใช่ไหม? หุ้นเหล่านั้นน่าจะจำนองได้มากพอสมควรเลย” จางอี้หนี่พูดด้วยรอยยิ้ม

 

 

“จางอี้หนี่ เธอนี่รู้ไปหมดซะทุกเรื่องเลยนะ”

 

 

“ตอนนี้ทุกคนอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว” จางอี้หนี่ยิ้ม

 

 

ในท้ายที่สุดลุงซูและจางอี้หนี่ก็ระดมทุนได้เพิ่มมาอีก 23 ล้านรวมกับทุน 5 ล้านของบริษัทเชิ่งชี่เป็น 28 ล้าน

 

 

หลินปู้ฟานเดินทางไปมาที่ตลาดหุ้นตลอดทั้งเดือนกันยายน หลังจากผ่านการซื้อและขายหลายครั้งจากเงินต้น 28 ล้านก็กลายเป็นมากกว่า 100 ล้านแล้วในตอนนี้ เมื่อไม่นับเงินต้น 28 ล้านก็เท่ากับว่าได้กำไรเต็มๆ กว่า 90 ล้าน สิ้นเดือนกันยายนสงครามอิหร่านจะจบลง

 

 

หลังจากนั้น เขาจะใช้เงิน 30 ล้านเพื่อไถ่ถอนทรัพย์สินถาวรของจางอี้หนี่และลุงซู

 

 

ตอนนี้บริษัทมีทุนหมุนเวียนมากกว่า 60 ล้าน

 

 

60 ล้านถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลในเวลานี้

 

 

หากมีการจ่ายเงินปันผล ตามจำนวนหุ้นที่หลินปู้ฟานถืออยู่ หลินปู้ฟานจะได้ส่วนแบ่ง 18 ล้านหยวน แต่บริษัทยังต้องดำเนินการต่อไปในอนาคต เขาจึงยังไม่ขอรับเงินปันผลใดๆ

 

 

แต่ท้ายที่สุดหลินปู้ฟานก็คือคนที่หาที่เงินมา จางอี้หนี่จึงตกลงกับลุงซูว่าจะแบ่งเงิน 10 ล้านจากส่วนของพวกเขาให้กับหลินปู้ฟานเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณ

 

 

หลินปู้ฟานเองก็ยอมรับอย่างมีความสุขเช่นกัน เมื่อรวมกับ 1 ล้านที่เหลือก่อนหน้านี้ ทำให้ตอนนี้เขามีทั้งหมด 11 ล้านหยวน

 

 

วันที่ 2 ตุลาคม รัฐบาลได้ออกเอกสารอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเปลี่ยนเขตเผิงปู้ให้เป็นเขตพัฒนาทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นเกิดการปะทุไปชั่วขณะ

 

 

เงินทุนจำนวนมากไหลเข้าสู่เขตเผิงปู้ไม่ขาดสาย

 

 

เย็นวันนั้นหลินปู้ฟานกลับไปที่บ้านเช่า หลังจากที่ทำอาหารจานเล็กๆ สองสามอย่างเสร็จ เขาก็นั่งรอการกลับมาของพ่อของเขา

 

 

เมื่อมองไปที่ห้องเล็กๆ ที่เขาอาศัยอยู่ หลินปู้ฟานก็วางแผนที่จะซื้อบ้านก่อน

 

 

เวลาสองทุ่ม พ่อของเขาหลินเจิ้งตงก็กลับมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนล้า เขาทำงานในบริษัทเครื่องใช้ในครัวเรือน เขามักจะทำงานล่วงเวลาเพื่อหาเงินมากขึ้น

 

 

เมื่อเห็นพ่อที่อยู่ในสภาพอ่อนล้า หลินปู้ฟานก็ตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ เขาเริ่มคิดว่าพ่อของเขาชอบอะไร? พ่อต้องการจะทำอะไร? หรือถ้าท่านไม่ต้องการอะไรเลย เขาก็คิดว่าจะดูแลพ่อและแม่ให้ดีที่สุดและพาพวกท่านไปเที่ยวรอบโลก

 

 

พ่อของเขาทำงานหนักเกินไปในชีวิตที่แล้ว เพื่อที่จะหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในวิทยาลัยของเขา ท่านทำงานหนักจนในที่สุดท่านก็เสียชีวิตคาที่ทำงาน มีนิยายเกี่ยวกับการเกิดใหม่มากมายที่ตัวเอกจะเลี้ยงดูพ่อและแม่ของเขาให้เป็นคนที่สุขสบายที่สุด และตอนนี้เขาก็รู้วิธีที่จะทำให้พ่อของเขามีความสุขแล้ว เขาจะต้องร่ำรวยไม่ใช่การร่ำรวยเพื่อตัวเองแต่เพื่อพ่อและแม่ของเขา

 

 

หลินปู้ฟานยกอาหารมาให้พ่อของเขา หลังจากที่หลินเจิ้งตงกินไปสองสามคำเขาก็วางชามลงพร้อมกับสีหน้าดูมืดครึ้ม

 

 

“อะไรขึ้นครับพ่อ? มีอะไรผิดปกติเหรอครับ?” หลินปู้ฟานถามด้วยความกังวล

 

 

“ใช่ พ่อกำลังโกรธ โกรธอย่างมาก”

 

 

“เกิดอะไรขึ้นครับ? งานของพ่อมีปัญหาอะไรหรือป่าว?”

 

 

“ไม่ใช่หรอกลูก ลูกรู้ไหมเมื่อเดือนที่แล้วพ่อถามยืมเงินจากป้าของลูก แต่เธอก็ไม่สนใจความเป็นความตายของแม่ลูกเลยแม้แต่น้อย” หลินเจิ้งตงจิบเหล้าด้วยอารมณ์โกรธ “แม่ของลูกกำลังลำบาก พ่อแค่ขอให้เธอช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น แต่ป้าของลูกกลับไม่ยอมและยังหาว่าโรคที่แม่ป่วยไม่สามารถรักษาให้หายได้อีก ทั้งๆ ที่ป้าของลูกทำธุรกิจใหญ่โต แต่เธอกับไม่มีความเห็นใจให้กันเลยสักนิด”

 

 

“อย่าไปสนใจเลยครับพ่อ ในอนาคตชีวิตของเราจะดีกว่าพวกเขามาก นอกจากนี้ตอนนี้แม่ก็ได้รับการปลูกถ่ายไตแล้ว อีกไม่เกิน 1 เดือนแม่ก็จะกลับมาอยู่กับพวกเราแล้วนะครับ ครอบครัวของเราจะมีชีวิตที่ดีในอนาคต”

 

 

“อื้ม ลูกไม่ต้องห่วงนะ พ่อจะพยายามทำงานให้หนักในอนาคต พ่อจะไม่ยอมปล่อยให้แม่กับลูกต้องลำบากแน่นอน” หลินเจิ้งตงเช็ดน้ำตาจากขอบตาของเขา

 

 

หลินปู้ฟานคีบเนื้อให้พ่อของเขา “นี่ครับพ่อ กินเยอะๆ นะครับ”

 

 

“ก๊อกๆๆ”

 

 

มีเสียงเคาะประตู

 

 

เมื่อหลินปู้ฟานเปิดประตู เขาก็เห็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตถือกระเป๋าเงินและสวมแว่นดำ ยืนอยู่ที่หน้าประตู

 

 

“มาหาใครครับ?” หลินปู้ฟานถามอย่างสงสัย

 

 

“นี่คือบ้านของหลินปู้ฟานใช่ไหมครับ?” แว่นดำถาม

 

 

“ใช่ครับ ผมเอง”

 

 

“คุณดูเด็กกว่าที่ผมคิดไว้มาก สวัสดีครับผมเป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ฉางเจียง นี่นามบัตรของผมครับ” แว่นดำยื่นนามบัตรให้หลินปู้ฟาน

 

 

“บรรณาธิการฟาง คุณมีอะไรให้ผมช่วยครับ?” หลินปู้ฟานต้อนรับบรรณาธิการฟางเข้าบ้าน เขาพอจะเดาได้ว่าชายคนนี้มาหาเขาทำไม

 

 

หลินเจิ้งตงสละที่นั่งให้และไปรินน้ำชามาเสิร์ฟ

 

 

“ผมมาที่นี่เพื่อต้องการคุยกับคุณเกี่ยวกับการเผยแพร่ผลงานครับ” บรรณาธิการฟางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

 

“เผยแพร่?” หลินปู้ฟานแสร้งทำเป็นไม่รู้

 

 

“คือว่าแบบนี้นะครับ คณบดีเฉินกับผมเป็นเพื่อนกัน วันนั้นเขา…”

 

 

เรื่องนี้เริ่มต้นจากการที่เฉินเจี้ยนชิงไปบอกต่อเพื่อนที่ดีของเขาฟางเจี้ยงหนานเกี่ยวกับ”ตำนานเก้ากระบี่” และสำนักพิมพ์ของฟางเจี้ยงหนานก็เป็นสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์”ตำนานเก้ากระบี่”ครึ่งแรก เพราะผู้คนมากมายที่โทรเข้ามาที่สำนักพิมพ์เพื่อถามข่าวเรื่องตำนานเก้ากระบี่ ทำให้ตลอดสองปีที่ผ่านมาพวกเขาพยายามติดต่อกับอาจารย์เฟิงโหวมาโดยตลอด

 

 

หลังจากที่ฟางเจี้ยงหนานอ่าน”ตำนานเก้ากระบี่”ที่เขียนโดยหลินปู้ฟาน เขาก็มีความคิดที่จะปล่อยครึ่งหลังของ”ตำนานเก้ากระบี่”ที่เขียนโดยหลินปู้ฟาน โดยให้หลินปู้ฟานสวมนามปากกาของเฟิงโหว

 

 

“บรรณาธิการฟาง ผมเข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร คุณต้องการจะตีพิมพ์นวนิยายของผมภายใต้นามปากกาของอาจารย์เฟิงโหวใช่ไหมครับ?” หลินปู้ฟานถาม

 

 

หลินเจิ้งตงตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ เขาเองก็รู้ว่าหลินปู้ฟานเขียนนวนิยายให้เฉินเจี้ยนชิง

 

 

“ครับ เราจะให้เงินจำนวนหนึ่งกับคุณ”

 

 

“เท่าไหร่?”

 

 

“คุณต้องการเท่าไหร่?” ฟางเจี้ยงหนานถามอย่างมีวาทศิลป์

 

 

หลินปู้ฟานแสร้งทำเป็นยืนขึ้นและไปเปิดประตู “บรรณาธิการฟาง คุณไปเถอะ”

 

 

ฟางเจี้ยงหนานไม่เข้าใจ หัวหน้าบรรณาธิการกำชับเขาก่อนที่เขาจะมาที่นี่ว่าเขาต้องจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จให้ได้ เพราะยอดขายครึ่งแรกของ”ตำนานเก้ากระบี่”นั้นมากถึง 3 ล้านเล่ม

 

 

ในปี 1998 ในยุคที่คอมพิวเตอร์โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตยังด้อยพัฒนา สื่อกระดาษถือว่าเป็นสื่อกระแสหลักและการอ่านนวนิยายก็แทบจะเป็นความสุขหลักของคนในยุคนี้

 

 

“นักเรียนหลิน คุณหมายถึงอะไร?”

 

 

“บรรณาธิการฟางคุณไม่มีความจริงใจต่อผม ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดคุยกันอีก”

 

 

“ผมไม่เข้าใจ?”

 

 

“คุณถามผมว่าผมต้องการเท่าไหร่? ถ้าผมบอกว่า 10 ล้านหรือ 100 ล้านล่ะ? คุณจะจ่ายให้ผมไหม? กองบรรณาธิการของคุณต้องเตรียมตัวเลขไว้ให้ก่อนที่คุณจะเข้ามาแล้วแน่นอน คุณคิดว่าผมเป็นแค่นักเรียนจนๆ เลยให้ผมเสนอราคาเองเพื่อที่จะได้ราคาที่ต่ำลงใช่ไหม?” หลินปู้ฟานถามออกไปอย่างเผ็ดร้อน

 

 

ฟางเจี้ยงหนานตกตะลึง ก่อนที่เขาจะมาหัวหน้าบรรณาธิการบอกกับเขาว่า นักเรียนคงจะเสนอเงินแค่ไม่เท่าไหร่

 

 

“… ” ฟางเจี้ยงหนานขมวดคิ้ว เขาหัวเราะกับตัวเองสักครู่และพูดออกมา “นักเรียนหลิน ผมประเมินคุณต่ำเกินไป เราสามารถนั่งลงและพูดคุยกันต่อได้ไหม?”

 

 

“ตราบเท่าที่คุณจริงใจ ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ”

 

 

ฟางเจี้ยงหนานนั่งลงและพูด “เราจะให้ 20% ของกำไรจากการตีพิมพ์โดยไม่รวมภาษีแก่คุณ กองบรรณาธิการของเรานั้นให้ค่าตันฉบับแก่อาจารย์เฟิงโหวไปทั้งหมด 2 ล้าน เนื่องจากคุณเขียนทับผลงานของเขา… สัก 5 แสนเป็นยังไง?”

 

 

ฟางเจี้ยงหนานคิดอย่างมีชัย เงิน 5 แสนนั้นสามารถซื้อบ้านได้เลย ตอนนี้เด็กคนนี้คงอยากจะกระโดดโลดเต้นด้วยความสุขแน่ๆ

 

 

ท้ายที่สุดยังไงเขาก็เป็นแค่นักเรียน

 

 

เมื่อมองไปที่หลินเจิ้งตงและเห็นปากของหลินเจิ้งตงเปิดกว้างเขาก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าด้วยราคา 5 แสนหยวนนี้ หลินปู้ฟานต้องยอมตกลงอย่างแน่นอน

 

 

หัวใจของหลินเจิ้งตงเต้นแรง สายตาของเขาจับจ้องไปที่ลูกชายของเขา

 

 

ลูกชาย รออะไรอีก รีบตกลงเร็วๆสิ

 

 

อย่างไรก็ตาม……

 

 

หลินปู้ฟานแสดงสีหน้าดูถูกและรำคาญออกมา “บรรณาธิการฟาง ถ้าคุณยังไม่เข้าใจที่ผมพูดงั้นคุณก็กลับไปเถอะ”

 

 

บรรณาธิการฟางรู้สึกประหลาดใจ “นักเรียนหลิน เงินตั้ง 5 แสนคุณยังไม่พอใจอีกเหรอ?”

 

 

“บรรณาธิการฟาง คุณเคยได้ยินประโยคที่ว่า‘เมื่อใดก็ตามที่มีคนฆ่าสุนัขมากขึ้นในซานซี คนพวกนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักวิชาการ’มาบ้างไหมครับ? ในฐานะบรรณาธิการคุณเองก็เป็นนักวิชาการอย่างนั้นเหรอ? หน่วยงานบรรณาธิการของคุณพยายามตามหาผู้เขียนต้นฉบับมาโดยตลอดเพราะพวกคุณไม่สามารถเผยแพร่ครึ่งหลังของ”ตำนานเก้ากระบี่”ได้ และผมพึ่งจะแก้ไขความลำบากของพวกคุณได้ แต่พวกคุณยังคงต้องการที่จะเอาเปรียบผมอย่างงั้นเหรอครับ?” (ความมายของสุภาษิตคือ คนส่วนใหญ่ที่พูดถึงความภักดีเป็นคนธรรมดาที่ประกอบอาชีพที่ต่ำต้อย ในขณะที่คนที่มีความรู้มักทำสิ่งที่ละเมิดมโนธรรมและความรัก)

 

 

“แต่เงินขนาดนั้นสามารถซื้อบ้านได้เลยนะ”

 

 

“บรรณาธิการฟาง เท่าที่ผมรู้ยอดขายครึ่งแรกของ”ตำนานเก้ากระบี่”นั้นมากกว่า 3 ล้านเล่ม หนังสือเล่มหนึ่งมีราคา 25 หยวนและกำไรต่อเล่มอย่างน้อยก็ 10 หยวน นั่นเท่ากับพวกคุณได้กำไรสุทธิถึง 30 ล้าน และเงินที่อาจารย์เฟิงโหวควรจะได้คือ 20% ของกำไรนั่นก็เท่ากับ 6 ล้านหยวน แต่คุณกลับบอกผมว่าพวกคุณจ่ายให้อาจารย์เฟิงโหวไป 2 ล้าน นั่นไม่เท่ากับว่าคุณกำลังโกงผมอยู่เหรอ?” หลินปู้ฟานพูดออกมาอย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ

 

 

ฟางเจี้ยงหนานอ้าปากค้าง เขาไม่ได้คาดหวังว่านักเรียนคนหนึ่งจะรู้มากขนาดนี้

 

 

“นักเรียนหลิน คุณคงเคยเห็นเรื่องพวกนั้นมาจากหนังสือพิมพ์ใช่ไหม? ที่บอกว่า”ตำนานเก้ากระบี่”ขายได้ 3 ล้านเล่มนั้นทั้งหมดเป็นเพียงการโฆษณาเท่านั้น ความจริงมันไม่ได้ขายได้มากขนาดนั้น”

 

 

“บรรณาธิการฟาง เท่าที่ผมรู้”ตำนานเก้ากระบี่”มีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษในต่างประเทศด้วยไม่ใช่เหรอครับ? นอกจากนี้คุณยังสามารถขายลิขสิทธิ์ของการ์ตูน นิยายเสียงและอื่นๆ อีกมากมายได้อีกในอนาคต และถ้าหากมีการนำนิยายเรื่องนี้สร้างเป็นภาพยนตร์คุณก็ยังได้รับค่าลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์และสื่อโทรทัศน์อีกเป็นจำนวนมาก การที่คุณให้อาจารย์เฟิงโหวไปแค่ 6 ล้านหยวนนั่นก็เท่ากับว่าพวกคุณโกงอาจารย์เฟิงโหวไปแล้ว ผมพูดถูกไหม?” หลินปู้ฟานมองไปที่บรรณาธิการฟางด้วยสายตาดูถูก

 

 

หน้าผากและหลังของฟางเจี้ยงหนานเต็มไปด้วยเหงื่อ

 

 

เด็กคนนี้มีที่ไปที่มายังไงกันแน่?

 

 

ช่างฉลาดเหลือเกิน

 

 

ฟางเจี้ยงหนานกัดฟัน เขาแสร้งยืนขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีแค่คุณที่เขียนได้! เราสามารถจ่าย 1 แสนเพื่อหานักเขียนคนอื่นมาเขียนครึ่งหลังแทนคุณได้”

 

 

“หลังจากผ่านมา 2 ปี ผมไม่คิดว่าคุณจะทำอย่างนั้นได้นะครับ สาเหตุที่คุณไม่สามารถตีพิมพ์ได้ก็น่าจะเป็นเพราะไม่มีนักเขียนคนใดที่สามารถเขียนครึ่งหลังออกมาได้ เพราะนิยายของอาจารย์เฟิงโหวไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถเลียนแบบได้ง่ายๆ”

 

 

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทางกองบรรณาธิการพยายามหานักเขียนมาเขียนแทนหลายคนแล้ว แต่คนพวกนั้นกฺ็ยังเขียนได้ไม่ดีพอ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะสามารถเลียนแบบสไตล์ของอาจารย์เฟิงโหวได้ และถ้าหากยังฝืนตีพิมพ์ออกมามันก็จะทำให้ชื่อเสียงของ”ตำนานเก้ากระบี่”ในครึ่งแรกและชื่อเสียงของอาจารย์เฟิงโหวนั้นได้รับความเสียหาย และเมื่ออาจารย์เฟิงโหวกลับมาเขาจะต้องฟ้องทางสำนักพิมพ์แน่นอน เรื่องนี้คนในสำนักงานรู้กันดีที่สุด

 

 

ฟางเจี้ยงหนานตัวสั่น เขามองไปที่หลินปู้ฟานด้วยสายตาเหลือเชื่อ

 

 

“แล้วยังไง? นิยายของคุณแสดงให้คณดีเฉินดูเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้ว่าเราจะใช้ครึ่งหลังของคุณตีพิมพ์ก็ตามคุณก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ เพราะคุณไม่มีหลักฐานอะไรที่แสดงได้ว่าคุณเป็นคนเขียนมัน” บรรณาธิการฟางเริ่มใช้เทคนิดการข่มขู่

 

 

“ผมว่าคุณอย่าทำแบบนั้นเลยดีกว่าครับเพราะผมกับคณดีเฉินนั้นสนิทกันมากนะ หลังจากที่คุณตีพิมพ์ออกไปแล้วเขามาสามารถเป็นพยานให้ผมได้นะครับ และอีกอย่างตั้งแต่ที่คุณเดินเข้าประตูมา ผมก็ได้บันทึกเสียงของคุณทั้งหมดไว้แล้ว” หลินปู้ฟานยิ้มเยาะและหยิบปากกาบันทึกเสียงออกมา

 

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ฟางเจี้ยงหนานถึงกับอ้าปากค้าง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด