อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 49 ต่อรอง

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 49 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 49 ต่อรอง

 

 

ตอนที่ตั้งบริษัทเชิ่งชี่ หลินปู้ฟาน จางอี้หนี่และลุงซูได้จัดการประชุมเล็กๆ ขึ้น หลินปู้ฟานรู้สึกว่าจางอี้หนี่เหมาะสมที่จะเป็นเจ้านายของบริษัทมากที่สุด เพราะสถานะของผู้หญิงในแวดวงธุรกิจจะดีขึ้นในอนาคต และครอบครัวของจางอี้หนี่ก็มีเส้นสายทางนี้ด้วย ส่วนลุงซูที่มีอดีตเป็นอันธพาลนั้นไม่เหมาะที่จะนั่งในตำแหน่งหัวหน้าและตัวลุงซูเองก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้

 

 

ในไม่ช้า จางอี้หนี่ก็ได้รับโทรศัพท์จากเถิงเฟยกรุ๊ปโดยบอกว่าต้องการพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อบ้าน 102 หลัง

 

 

จางอี้หนี่ติดต่อลุงซูและหลินปู้ฟานทันทีที่วางสาย

 

 

ภายในโรงแรมจุนหัว

 

 

หลินปู้ฟานสูบบุหรี่แล้วค่อยๆ พ่นวงควันออกมา “ป้าจางครับ ป้าเป็นผู้นำในการเจรจานี้ จำไว้นะครับว่าอย่าได้ขายมัน เราจะแลกบ้าน 1 หลังกับอาคารพาณิชย์ 4 คูหาที่จะสร้างในอนาคต”

 

 

เริ่มมีเหงื่อออกที่ฝ่ามือของจางอี้หนี่ เธอไม่ได้มีประสบการณ์ในการเจรจามากขนาดนั้น หลังจากจิบน้ำแล้วเธอก็พูดออกมา “ป้าจะพยายาม”

 

 

ลุงซูขัดจังหวะ “ต้องไม่ใช่แค่พยายาม แต่มันต้องสำเร็จ ตามที่เสี่ยวหลินบอกในอนาคตจะมีบ้านอย่างน้อย 400 หลังบนภูเขานั่น ถ้าเราสามารถครอบครองพวกมันทั้งหมดได้นั่นเท่ากับเงินถึง 1.6 พันล้านเลยนะ”

 

 

“1.6 พันล้าน!” จางอี้หนี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนังศีรษะของเธอเริ่มชา เดิมทีเธอตั้งเป้าหมายชีวิตให้ตัวเองไว้แค่ 100 ล้านเท่านั้น แต่ตอนนี้เงิน 1.6 พันล้านอยู่ต่อหน้าเธอแล้ว มาดูกันว่าเธอจะสามารถกินเค้กก้อนนี้ได้หรือไม่

 

 

“ป้าจางอย่าตื่นตระหนกไปครับ เพราะคนที่ควรกังวลคือเถิงเฟยกรุ๊ปไม่ใช่เรา เป็นพวกเขาต่างหากที่ไม่สามารถรอได้ ผมตรวจสอบมาแล้วว่ามูลค่าตลาดของเถิงเฟยกรุ๊ปมีเพียงแค่ 8 พันกว่าล้านเท่านั้นและการพัฒนากุ้ยซานก็ต้องใช้เงินทุนอย่างน้อย 1.2 พันล้านหยวน พวกเขาไม่ได้มีกระแสเงินสดมากขนาดนั้น พวกเขาคงจะกู้ยืมเงินจากธนาคารมาเป็นจำนวนมากแน่นอน ซึ่งมันจะทำให้พวกเขาต้องจ่ายดอกเบี้ยธนาคารจำนวนมากทุกวัน”

 

 

“อืม เสี่ยวหลินพูดถูก พวกเราไม่ได้มีหนี้สินอะไร แต่เถิงเฟยกรุ๊ปนั้นแตกต่างออกไป” จางอี้หนี่เริ่มมั่นใจ

 

 

“ตามที่ป้าจางพูดเลยครับ”

 

 

“เสี่ยวหลินแล้วทำไมเธอถึงไม่ออกหน้าเอง? ” ลุงซูถาม

 

 

“อย่างแรกผมยังเด็กอยู่และอีกอย่างคือ ผมอยากอยู่เบื้องหลังมากกว่า” หลินปู้ฟานตอบ

 

 

ว่ากันว่าคนที่รวยที่สุดตามที่ทุกคนรู้คือบิลแต่คนที่รวยที่สุดในโลกคือคนใหญ่คนโตที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง หลินปู้ฟานต้องการที่จะเป็นแบบนั้น เป็นคนที่คอยจัดการทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง เขาไม่ต้องการจะออกหน้าเพราะยิ่งร่ำรวยมากเท่าไหร่เขาก็จะตกเป็นเป้าหมายมากขึ้นเท่านั้น

 

 

ตามคำกล่าวที่ว่า เป็นคนกลัวชื่อเสียง เป็นหมูกลัวอ้วน

 

 

คนดังแถวหน้าและคนรวยที่เป็นที่รู้จักดีมักจะถูกปาปารัสซี่ตามถ่ายรูปทุกวัน พวกเขาต้องคอยพาบอดี้การ์ดออกไปไหนมาไหนด้วยตลอดเพราะกลัวว่าจะถูกทำร้าย ทำให้คนเหล่านั้นไม่กล้าไปไหนมาไหนตามลำพัง

 

 

หลินปู้ฟานต้องการมีชีวิตที่อิสระ เขาจึงไม่ต้องการเป็นที่รู้จักของผู้คน แต่เขาต้องการเป็นเจ้านายที่อยู่เบื้องหลัง

 

 

นอกจากนั้นหลินปู้ฟานยังมีเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง

 

 

ในชีวิตก่อนหน้า เขาถือว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานคนหนึ่ง ภรรยาของเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนเรียนมหาวิทยาลัย ทั้งสองแต่งงานกันหลังจากสำเร็จการศึกษา แต่หลังจากแต่งงานกันได้ 10 ปีภรรยาของเขาก็นอกใจเขาไปหาคนที่รวยกว่า และเมื่อหลินปู้ฟานไปตามทวงภรรยาของเขาคืน เขาก็ถูกบอดี้การ์ดของเศรษฐีคนนั้นโยนลงมาจากชั้น 11 และนั้นเป็นสาเหตุที่เขากลับมาที่นี่

 

 

หลินปู้ฟานรู้สึกว่าในชีวิตนี้เขาจะได้พบกับคนรวยที่ฆ่าเขาอีกครั้งแน่นอน เขาต้องใช้อำนาจของเขาแก้แค้นคนรวยคนนั้นจากในความมืด

 

 

วันต่อมา..

 

 

จางเหอที่เป็นผู้ช่วยของหยูเฟยมาที่โรงแรมจุนหัวเพื่อพูดคุยกับจางอี้หนี่ ทั้งสองอยู่ในห้องแรกส่วนหลินปู้ฟานกับลุงซูอยู่ห้องที่สอง

 

 

จางเหอเป็นชายหนุ่มอายุ 26 ปี เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยด้านบริหารธุรกิจที่มีชื่อเสียง นอกจากนี้เขายังเรียนภาษาต่างประเทศสองภาษา ทั้งเก่งทั้งดูดีและมีความสามารถ

 

 

จางอี้หนี่สวมเสื้อคอวีลึกสีดำ กางเกงขายาวดูเป็นนักธุรกิจที่มั่นใจในตัวเอง พร้อมกับรองเท้าส้นสูงสีขาวคู่หนึ่ง เธอม้วนผมขึ้นและแต่งหน้าเบาๆ ด้วยเครื่องสำอางสีอ่อนทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีเสน่ห์และมีสีสัน

 

 

ทันทีที่พบกันจางเหอถึงกับตะลึง

 

 

ช่างเป็นผู้หญิงที่สวยงามจริงๆ

 

 

ตอนแรกจางเหอคิดว่าเธอจะเป็นคุณป้าแก่ๆ เขาไม่ได้คาดหวังเลยว่าจางอี้หนี่จะสวยขนาดนี้

 

 

“เชิญนั่งค่ะคุณจาง” จางอี้หนี่พูดด้วยรอยยิ้ม

 

 

หลังจากรับคำด้วยความสุภาพ จางเหอก็เริ่มพูดสิ่งที่เตรียมมา “คุณนายจาง คุณช่างมีวิสัยทัศน์ที่ไม่เหมือนใครจริงๆ คุณซื้อบ้านหลายหลังในกุ้ยซานก่อนที่คนอื่นจะรู้กันเสียอีก ผมขอถามได้ไหมครับว่าทำไมคุณถึงเลือกกุ้ยซาน ทำไมไม่เลือกหลิงซานที่ทำเลดีกว่า?”

 

 

“ฮิฮิ ถ้าฉันบอกว่าฉันจะดูฮวงจุ้ยมา คุณจะเชื่อฉันไหม?” จางอี้หนี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย

 

 

“กุ้ยซานมีอีกชื่อว่าภูเขาผี เพราะมีสุสานสามแห่งตั้งอยู่ข้างหลัง ผมว่ามันคงไม่ใช่ฮวงจุ้ยสมบัติแน่นอน”

 

 

“คุณเคยได้ยินสูตรการหามังกรทองคำไหม? ในการหามังกรทองคำบางครั้งคุณก็ต้องมองข้ามผลเสียเพื่อเห็นประโยชน์ของที่นั้นๆให้ได้ ทำเลจะดีหรือไม่ดีมันเป็นเรื่องของฮวงจุ้ย และฮวงจุ้ยโชคลาภจากผีนั้นคือเหตุผลที่ทำให้ฉันกล้าลงทุนที่นั่นเป็นจำนวนมาก” คำพูดเหล่านี้ได้รับการสอนโดยหลินปู้ฟาน

 

 

การเจรจาเป็นเรื่องของวิธีการพูด หากสามารถจูงใจอีกฝ่ายได้แต่แรกอีกฝ่ายก็จะเสียเปรียบทันที

 

 

จางเหอไม่เข้าใจเรื่องฮวงจุ้ยเลย เขาจึงไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อ หลังจากผ่านไปไม่นานเขาก็พูดออกมา “ปรากฏว่าคุณจางเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางมากมาย ช่างน่านับถือจริงๆ”

 

 

“นอกเหนือจากการดูฮวงจุ้ยแล้วฉันยังสามารถดูโหงวเฮ้งได้อีกด้วยนะคะ ใบหูของคุณดูสูงส่งดูเป็นคนทะเยอทะยาน แต่นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีนะคะ ฉันขอเตือนว่าคุณอย่าได้เร่งรีบเพื่อความสำเร็จมากจนเกินไป เพราะผลที่ตามมาอาจจะทำให้คุณรับมือกับมันไม่ไหว” จางอี้หนี่ใช้ประโยชน์จากแรงผลักดันเพื่อกดดันจางเหอ

 

 

จางเหอเริ่มทำงานหลังจากสำเร็จการศึกษาเมื่ออายุ 23 ปี เขาใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีก็สามารถไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งรองผู้จัดการทั่วไปได้ โดยมีความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเป็นแรงผลักดัน

 

 

“ผมไม่ได้มาดูดวงในวันนี้ เรามาคุยเรื่องธุรกิจกันเถอะครับ” ไม่ว่าจะฮวงจุ้ยหรือโหงวเฮ้ง จางเหอก็ไม่เข้าใจเลยสักเรื่อง เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนข่มไปมากกว่านี้

 

 

“อืม เชิญคุณพูดสิ่งที่คุณต้องการมาได้เลย”

 

 

“พวกเราก็ถือว่าเป็นคนที่ไม่ธรรมดา ผมจะไม่อ้อมค้อมอะไรทั้งนั้น ผมได้สอบถามเกี่ยวกับบ้านหลายหลังในกุ้ยซานมาแล้ว และผมก็รู้มาว่าคุณซื้อมันในราคาแค่ 1 แสนถึง 2 แสนหยวนเท่านั้น ที่ผมมาก็เพื่อจะบอกว่าเราสามารถจ่ายให้คุณได้ 1 ล้านสำหรับบ้านทั่วไปและ 1.2 ล้านสำหรับบ้านหลังใหญ่ ผลกำไรสูงขนาดนี้คุณว่ายังไง? ” จางเหอยิ้มอย่างมั่นใจ

 

 

“1.2 ล้านเหรอ? คุณไม่จริงใจกับฉันเลย”

 

 

“นั่นเป็นความจริงใจสูงสุดจากเราแล้วครับ”

 

 

“ถ้านั่นเป็นขีดจำกัดสูงสุดของความจริงใจของพวกคุณ คุณก็กลับไปเถอะค่ะ ฉันไม่ได้ขาดแคลนเงิน เพราะต่อให้ฉันปล่อยบ้านไว้อย่างนั้นได้มันก็ไม่ได้เน่าเสียอะไร”

 

 

จางเหอขมวดคิ้ว เขาไม่สามารถกลับไปทั้งอย่างนี้ได้

 

 

“ผมขอตัวโทรศัพท์สักครู่นะครับ ผมจะถามรองประธานที่รับผิดชอบว่าผมสามารถเพิ่มราคาให้อีกหน่อยได้ไหม” จางเหอเริ่มแสดงละคร

 

 

จางอี้หนี่โบกมือและพูดว่า “ตามสบายค่ะ ฉันจะไปห้องน้ำ”

 

 

จางอี้หนี่เดินออกจากห้องหมายเลข 1 และเข้าไปในห้องหมายเลข 2 เพื่อเล่าผลการเจรจาเมื่อครู่

 

 

หลินปู้ฟานพยักหน้าให้จางอี้หนี่และแนะนำไปอีกสองสามคำ

 

 

หลังจากกลับไปที่ห้องหมายเลข 1 จางเหอก็แสร้งทำเป็นว่าติดต่อกับรองประธานและได้ราคาสูงที่สุดคือ 1.5 ล้าน อันที่จริงนี่คือราคาที่หยูเฟยบอกไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

 

 

“คุณจางฉันว่าเราเลิกเล่นเป็นงูกินหางกันเถอะ อย่าได้เสนออะไรไร้สาระมาอีกเลย ฉันไม่ต้องการเงิน”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการบ้านในที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ไหม?”

 

 

“เฮ้อ บ้านที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ของคุณเป็นภูเขาหัวโล้นผืนดินแห้งแล้ง ที่นั่นไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างมันไม่สามารถทำกำไรอะไรได้”

 

 

“ถ้าคุณไม่ต้องการเงินไม่ต้องการบ้าน…แล้วคุณต้องการอะไร? “

 

 

“ฉันต้องการแลกเปลี่ยน”

 

 

“คุณหมายถึงอะไร? ” จางเหอถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

 

 

“เถิงเฟยกรุ๊ปกำลังจะสร้างอาคารเชิงพาณิชย์ในกุ้ยซานใช่ไหม? ฉันต้องการแลกเปลี่ยนบ้านหนึ่งหลังเป็นอาคารพาณิชย์ 4 หลังของคุณ ฉันต้องการแค่นี้” จางอี้หนี่กล่าวอย่างหนักแน่น

 

 

จางเหอเผลออุทาน”อ่า”ออกมา สายตาของเขามองไปที่จางอี้หนี่ด้วยความประหลาดใจ

 

 

ผู้หญิงคนนี้ฉลาดเกินไป

 

 

บรรยากาศกลายเป็นแข็งค้าง ทั้งสองหันหน้าจ้องตากัน

 

 

“คุณนายจาง คุณขอมากเกินไปหรือเปล่าครับ? เราไม่สามารถยอมรับข้อตกลงนี้ได้”

 

 

“แล้วคุณยอมรับดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายอยู่ตอนนี้ไหวเหรอ?” จางอี้หนี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

 

“คุณนายจาง ในเมื่อคุณรู้จักเราแล้ว คุณไม่กลัวเราหรือไง?” จางเหอขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจ

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า… ทุกๆ คนมีเพียงแค่ชีวิตเดียว ถ้าถามว่าฉันกลัวไหม ฉันก็คงต้องบอกว่าฉันกลัว แต่ฉันคิดว่าคนที่ควรจะกลัวกว่าควรจะเป็นพวกคุณมากกว่านะคะ เถิงเฟยกรุ๊ปของคุณเป็นหนี้ธนาคารอยู่เท่าไหร่? เวลาทุกๆ วันที่คุณเสียไปมันก็เท่ากับว่าคุณต้องจ่ายดอกเบี้ยธนาคารเพิ่มอีก 1 วันฟรีๆ แต่ฉันไม่ ฉันไม่ได้กู้ยืม ไม่มีหนี้ ไม่มีสินแล้วฉันจะต้องกลัวอะไร? ” จางอี้หนี่มองจางเหออย่างรุนแรง

 

 

“คุณนายจาง ทั้งคุณและผมต่างก็มีนามสกุลจางเหมือนกัน เราอาจจะมีเชื้อสายเดียวกันก็ได้ คุณจำเป็นต้องกินเลือดกินเนื้อกันขนาดนี้จริงๆ เหรอครับ?”

 

 

“คุณจาง ไม่มีพ่อไม่มีลูกในวงการธุรกิจ ฉันได้ระบุเงื่อนไขของฉันไปหมดแล้ว ถ้าคุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ คุณก็ควรกลับไปพูดคุยกับหัวหน้าของคุณจะดีกว่า”

 

 

ใบหน้าของจางเหอกลายเป็นสีตับหมู เขาไม่เคยหงุดหงิดขนาดนี้มาก่อน แต่การดีลแบบนี้เขาก็ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้จริงๆ

 

 

“คุณนายจาง แผนการตั้งถิ่นฐานใหม่ของเราได้รับการอนุมัติและการสนับสนุนจากรัฐบาล หากคุณปฏิเสธที่จะขายมันก็เท่ากับว่าเป็นการต่อต้านรัฐบาลนะครับ คุณคิดว่าคุณจะรับผลที่ตามมาไหวเหรอ?” จางเหอขู่

 

 

“บ้านทุกหลังเป็นสมบัติส่วนตัวของฉัน ถ้าฉันไม่ยอมขายก็ไม่มีใครสามารถมาบังคับฉันได้ หรือคุณจะมารื้อถอนบ้านเหล่านั้นเองเลยก็ได้นะ”

 

 

“พวกเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้”

 

 

“จริงเหรอ? แสดงว่าฉันประเมินความสามารถเถิงเฟยกรุ๊ปของพวกคุณสูงเกินไป” จางอี้หนี่ยิ้มเยาะและเดินไปเปิดประตู “เชิญ”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด