อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 58 ผู้จัดการโรงพิมพ์เป็นคนเลว

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 58 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 58 ผู้จัดการโรงพิมพ์เป็นคนเลว

 

 

“ทำไมถึงมีแค่เตียงเดียว? นี่ไม่ใช่ห้องเตียงคู่เหรอ? เถ้าแก่ไม่ได้ฟังที่เราบอกเหรอ?” หนิงอี้เหยาหน้าแดงและหันหลังเดินลงไปที่แคชเชียร์ชั้นหนึ่ง

 

 

เจ้าของร้านอาหารกำลังดูละครโทรทัศน์อย่างจดจ่อ

 

 

“เถ้าแก่ ทำไมในห้องมีแค่เตียงเดียวจะให้พวกเรานอนกันยังไง?” หนิงอี้เหยาถามอย่างโกรธๆ

 

 

เจ้าของบ้านม้วนเปลือกตาและพูดอย่างไม่อดทน “ทำไม? ทั้งสองคนนอนเตียงเดียวกันไม่ได้เหรอ? เราเป็นแค่โรงแรมเล็กๆ เป็นเรื่องปกติที่จะมีแค่เตียงเดียวเพราะที่นี่ไม่ค่อยมีแขกที่ต้องการเตียงเสริมมาเข้าพักสักเท่าไหร่ ถ้าคุณมีเงินก็ไปหาโรงแรมใหญ่ๆ เข้าพักเถอะ”

 

 

“งั้นเปิดอีกห้องหนึ่งเถอะ” 3 ทุ่มแล้วหลินปู้ฟานขี้เกียจหาโรงแรมใหม่

 

 

“ห้องที่พวกคุณเข้าพักเป็นห้องสุดท้ายที่เราเหลืออยู่” เจ้านายหญิงมองไปที่หลินปู้ฟานและพูดออกมาอย่างมีความหมาย “โอกาสอยู่ที่เธอแล้วหนุ่มน้อย”

 

 

 

หลินปู้ฟานได้แต่เกาหัว เขาไม่รู้จะพูดอะไร

 

 

ทั้งสองกลับไปที่ห้องอย่างไม่เต็มใจ

 

 

หนิงอี้เหยาหยิบผ้าห่มออกมาจากตู้และเริ่มปูมันที่พื้น “ครูจะนอนที่พื้นเอง คืนนี้เธอนอนบนเตียงไปละกัน”

 

 

หลินปู้ฟานยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่เป็นไรครับครู ผมเป็นผู้ชาย เดี๋ยวผมจะนอนที่พื้นเอง”

 

 

“พูดอะไรอย่างนั้น ฉันเป็นครูและเธอก็เป็นนักเรียน ครูจะให้นักเรียนนอนที่พื้นได้ยังไงกัน หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วรีบๆ ไปอาบน้ำได้แล้ว ครูง่วงมากแล้ว”

 

 

“ครับ!”

 

 

เมื่อหลินปู้ฟานอาบน้ำเสร็จ เขาก็พบว่าหนิงอี้เหยาที่นอนอยู่บนพื้นได้หลับไปแล้ว

 

 

“นอนกรนซะด้วย” หลินปู้ฟานยิ้ม

 

 

เขาอุ้มหนิงอี้เหยาขึ้นมานอนบนเตียง และคลุมตัวเธอด้วยผ้าห่ม

 

 

เมื่อมองไปที่หนิงอี้เหยา หลินปู้ฟานก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

 

 

“ตอนนี้เธอก็เป็นพียงแค่เด็กผู้หญิงสำหรับฉันเหมือนกัน หนิงอี้เหยา” หลังจากถอนหายใจ หลินปู้ฟานก็นอนลงบนพื้นและหลับไป

 

 

วันรุ่งขึ้น แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้อง หลินปู้ฟานหาวและลุกขึ้นมองไปที่เตียง เขาก็พบว่าหนิงอี้เหยากำลัง… เปลือยเปล่า

 

 

หัวใจของหลินปู้ฟานเต้นตูมตามอย่างไม่เป็นจังหวะ

 

 

หลินปู้ฟานพยายามข่มใจตัวเองเพื่อไปอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็ไปหาซื้ออาหารเช้าข้างนอก

 

 

เมื่อเขากลับมา หนิงอี้เหยาก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้เธอกำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ

 

 

หนิงอี้เหยาได้ยินเสียงจึงโผล่หัวออกมาจากช่องประตูห้องน้ำ “ทำไมครูถึงขึ้นไปนอนบนเตียงได้?”

 

 

หลินปู้ฟานหันหน้าออกทันที ใบหน้าของเขากลายเป็นแดงก่ำ “อย่าๆๆ อย่าพึ่งออกมา”

 

 

“หึ ครูไม่มีทางให้เธอเห็นร่างกายของครูอีกครั้งแน่นอน เมื่อคืนนี้เธอแอบพาครูขึ้นไปนอนด้วยเหรอ?”

 

 

หลังจากพูดจบหนิงอี้เหยาก็หน้าแดง เธอรู้สึกว่าคำพูดของเธอดูคลุมเครือมาก

 

 

“ผมกลัวว่าครูจะเป็นหวัด ผมก็เลยพาครูไปที่เตียง”

 

 

“เด็กดี มีแฟนหรือยัง?”

 

 

“ยังครับ”

 

 

“ครูคิดว่าเธอจะมีแฟนแล้วซะอีกนะเนี่ย”

 

 

“ครูหนิงผม… ผมซื้ออาหารเช้ามาให้แล้ว รีบอาบน้ำเถอะครับ” หลินปู้ฟานรีบตัดบท

 

 

“จ้าๆ” หนิงอี้เหยาที่เพิ่งกลับเข้าไปอาบน้ำตะโกนถามออกมาอีกครั้ง “เมื่อคืนครูกรนหรือเปล่า?”

 

 

“ไม่ครับ!” หลินปู้ฟานโกหก

 

 

“แล้วเขาบอกว่าฉันนอนกรนได้ยังไง?”

 

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น หลินปู้ฟานก็ถามออกมา “ครูหนิง ครูมีแฟนแล้วเหรอครับ?”

 

 

“จะบ้าเหรอ!”

 

 

“แล้วใครบอกว่าครูนอนกรน?”

 

 

“ครูหญิงในหอพักของโรงเรียนหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยน่ะ เธอบอกว่าฉันนอนกรนเสียงดังมาก”

 

 

“อ๋อ.. เป็นครูที่สอนด้วยกันเหรอครับ?”

 

 

“ใช่ ฉันได้ยินมาว่าเธอเป็นลูกสาวของครอบครัวที่ร่ำรวยอย่างมากด้วย”

 

 

“เด็กสาวที่ร่ำรวยไปทำอะไรที่นั่น?” หลินปู้ฟานถามด้วยความสงสัย

 

 

“ใครจะรู้? บางทีเธออาจจะอยากสัมผัสชีวิตที่ยากลำบาก เธอคงจะเคยชินกับการใช้ชีวิตที่สุขสบายเลยอยากจะลองมีชีวิตที่ยากจนดูบ้าง ครูไม่เข้าใจความคิดของลูกคนรวยเลยจริงๆ”

 

 

หลังจากอาบน้ำเสร็จ หนิงอี้เหยาก็เช็ดผมแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ หลินปู้ฟานได้กลิ่นหอมที่ทำให้สดชื่น

 

 

“ว้าว เสี่ยวหลงเปา” (ซาลาเปามังกรน้อย) หนิงอี้เหยาเอนตัวเข้ามาใกล้หลินปู้ฟาน เพื่อมองไปที่อาหารเช้าบนโต๊ะ

 

 

เมื่ออยู่ในระยะประชิดทำให้หลินปู้ฟานได้กลิ่นหอมออกมาจากตัวหนิงอี้เหยาอย่างชัดเจน มันทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เขาลุกขึ้นยืนและรีบเดินไปที่ระเบียงเพื่อสงบสติอารมณ์ทันที

 

 

หลังจากรับประทานอาหารเช้า หนิงอี้เหยาก็บอกว่าเธอจะไปพบผู้อำนวยการของโรงพิมพ์ฉินโจว เธอบอกว่าผู้อำนวยการมีหนังสือโรงเรียนประถมและหนังสือเกี่ยวกับการเรียนอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้เยอะ

 

 

สิ่งเหล่านี้เป็นของเหลือจากการพิมพ์จากโรงเรียนและสำนักพิมพ์อื่นๆ

 

 

หลินปู้ฟานเสนอตัวไปกับเธอด้วย เพราะเขาไม่ได้รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว

 

 

ระหว่างทางไปโรงพิมพ์กวงฟา หนิงอี้เหยาก็ถามหลินปู้ฟานว่า “ทำไมเธอถึงเลือกไปหมู่บ้านจิ่วเจี๋ย? มีที่อื่นตั้งมากมายที่มีธรรมชาติสวยว่าที่นั่น”

 

 

หลินปู้ฟานคิดอยู่พักหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ผมอ่านแผนที่ภูมิศาสตร์โบราณของหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยมาครับ ภูเขาที่นั่นทอดยาวไปไกลมาก ต้นไม้สูงตระหง่าน มีสัตว์เล็กๆ มากมายและที่สำคัญที่นั่นเงียบสงบ หมู่บ้านจิ่วเจี๋ยเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ สิ่งก่อสร้างในหมู่บ้านมีมานานหลายปีแล้ว ผมถือว่าสถานที่นั่นเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการวาดภาพมากที่สุด”

 

 

“ใช่ บ้านในหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยเก่ามาก นอกจากนี้หมู่บ้านจิ่วเจี๋ยก็ยังมีสัตว์ขนาดเล็กมากมายอย่างที่เธอว่าจริงๆ ฮิฮิ ฉันไม่คิดเลยว่าเสี่ยวหลินจะชอบสัตว์ตัวเล็กๆ ด้วย”

 

 

“ผมชอบมัน พวกมันอร่อยดีครับ”

 

 

“ห๊ะ?” หนิงอี้เหยาเอียงคอด้วยความประหลาดใจ “นายชอบกินพวกมันจริงเหรอ?”

 

 

“ฮ่าฮ่า ผมล้อเล่น”

 

 

หลังจากนั้นไม่นานหนิงอี้เหยาก็ทำสีหน้าจริงจัง “ทำไมเธอถึงอยากเป็นจิตรกรล่ะ? มันเป็นถนนที่ยากลำบากมากเลยนะ”

 

 

“เพราะผมชอบ” หลินปู้ฟานเก๊กหล่อ

 

 

“ทำไมเธอถึงชอบมันล่ะ?”

 

 

“การที่เราจะชอบหรือรักอะไรสักอย่างมันต้องใช้เหตุผลด้วยเหรอครับ?”

 

 

“ไม่จำเป็นเหรอ?”

 

 

“ใครต้องการเหตุผลพวกนั้นกันครับ?”

 

 

ทั้งสองคุยกันไปตลอดทาง

 

 

ไม่นานพวกเขาก็มาถึงโรงพิมพ์กวงฟา หลังจากติดต่อกับผอ. โรงงานแล้ว พากเขาก็รออยู่ที่หน้าประตู

 

 

“ดูเหมือนว่าผอ. โรงงานคนนี้จะเป็นคนดีนะ เขาบริจาคหนังสือให้เด็กๆ ในหมู่บ้านด้วย แล้วครูไปรู้จักกับผอ. คนนี้ได้ยังไงครับ?” หลินปู้ฟานกล่าวชื่นชมและถามออกมา

 

 

“ครูโพสต์กระทู้ลงบนฟอรั่มและผอ. ยิ๋งคนนี้ก็ตอบกลับมาว่า โรงงานของเขามีสื่อการเรียนการสอนที่มีข้อบกพร่องอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งสามารถบริจาคให้กับเด็กๆ ในหมู่บ้านได้”

 

 

ไม่นานยิ๋งจุนก็มาถึงทางเข้าโรงงาน เขาสวมสูทขนาดใหญ่ข้างใต้เป็นกางเกงยีนส์และอายุมากกว่า 40 ปี หวีผมแสกกลางที่เป็นทรงที่นิยมกันในเวลานี้

 

 

“ผมไม่คิดเลยว่าครูหนิงจะเด็กและสวยมากขนาดนี้” ยิ๋งจุนยื่นมือออกมาและทักทายหนิงอี้เหยา “นี่มันก็เที่ยงแล้ว เราไปคุยกันระหว่างทานข้าวดีไหมครับ?”

 

 

ทั้งสามมาที่ร้านอาหารใกล้โรงพิมพ์

 

 

เจ้าของร้านอาหารออกมาต้อนรับเป็นการส่วนตัว

 

 

แต่สิ่งที่แปลกก็คือ เจ้าของร้านอาหารเข้ามาบอกกับหลินปู้ฟานว่าผอ. ยิ๋งจะคุยกับครูหนิงเป็นการส่วนตัว เลยขอเชิญหลินปู้ฟานไปทานอาหารเย็นที่ล็อบบี้ เหลือยิ๋งจุนและหนิงอี้เหยาที่อยู่ในห้องเพียงสองต่อสอง

 

 

“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการบริจาคเหรอ? ทำไมต้องคุยกันแค่สองคนด้วย?” หลินปู้ฟานถามเจ้าของร้านอาหาร

 

 

เจ้าของร้านอาหารเป็นชายหัวโล้นวัยกลางคน แก้มลิงปากแหลม เห็นแวบแรกก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี

 

 

“เด็กอย่างแกจะไปรู้อะไร? ทำตามที่บอกเถอะ” หลังจากพูดจบเจ้าของร้านอาหารก็เดินเข้าไปในห้องเพื่อทักทายแขกคนอื่นๆ

 

 

“ผอ.ยิ๋ง ทำไมต้องให้นักเรียนของฉันไปกินข้าวที่อื่นด้วยล่ะคะ?”

 

 

“ผู้ใหญ่กำลังจะพูดคุยกัน มันไม่เหมาะสมที่จะปล่อยให้เด็กๆ มารบกวน จริงไหมครับ?” ยิ๋งจุนหรี่ตาเพื่อสื่อความหมายของเขา น่าเสียดายที่หนิงอี้เหยามีประสบการณ์ทางสังคมน้อยเกินไป เธอจึงดูไม่ออก

 

 

เจ้าของร้านอาหารเดินเข้ามาเขาเสิร์ฟอาหารตามออเดอร์ก่อน จากนั้นเขาก็เริ่มกล่าวชมยิ๋งจุนต่างๆ นาๆ เขาเริ่มสาธยายว่ายิ๋งจุนได้ทำสิ่งดีๆ มามากมาย ทั้งบริจาคสิ่งของให้กับโรงเรียนประถม สร้างสะพานสำหรับบ้านเกิดและออกทุนสนับสนุนให้เด็กกำพร้าได้ไปโรงเรียน

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนิงอี้เหยาก็เชื่อว่ายิ๋งจุนเป็นคนดีจริงๆ

 

 

บนโต๊ะมีอาหารมากมายรวมไปถึงเหล้าที่ตั้งอยู่ด้วย

 

 

“มาครับ ผมจะรินให้คุณ” ยิ๋งจุนลุกขึ้นแล้วรินเหล้า

 

 

“ฉันไม่ดื่มค่ะ” หนิงอี้เหยาบอกปัด

 

 

“ไหนๆ วันนี้เราก็ได้พบกันแล้ว แล้วผมก็ยินดีมากที่ได้พบกับคนสวยๆ แบบคุณหนิง ให้เกียรติดื่มกับผมสักสองสามแก้วเถอะครับ”

 

 

ตามคำร้องขอของผอ. หนิงอี้เหยาพยายามดื่มในสิ่งที่เธอไม่ต้องการ

 

 

นี่คือเหล้า 52 ดีกรี

 

 

หลังจากดื่มไปถ้วยหนึ่ง ใบหน้าของหนิงอี้เหยาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง

 

 

ยิ๋งจุนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และคิดในใจ ไม่มีอะไรในโลกที่ได้มาฟรีๆ หรอกสาวน้อย ฉันจะบริจาคหนังสือให้เธอ เธอเองก็ต้องให้บางอย่างกับฉันด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า

 

 

“ผอ.ยิ๋ง คุณเป็นคนดีจริงๆ ตอนนี้โรงเรียนของเราขาดแคลนหนังสืออย่างมาก ต้องขอบคุณแทนนักเรียนของเราจริงๆ ที่ได้คนใจดีอย่างคุณช่วยเหลือ”

 

ยิ๋งจุนแสร้งพยักหน้าด้วยความเห็นอกเห็นใจขณะที่รินเหล้าให้หนิงอี้เหยา

 

 

เมื่อเธอดื่ม หนิงอี้เหยาก็เริ่มพูดมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

เวลาผ่านไป ตอนนี้เหล้า 52 ดีกรีเกือบจะหมดแล้ว แต่หนิงอี้เหยายังแค่หน้าแดงเท่านั้น เธอยังมีสติชัดเจนดูไม่เมาเลยแม้แต่น้อย

 

 

ผอ.แปลกใจมาก “ครูหนิงดื่มเก่งจังเลยนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นคนที่ไหนครับ?”

 

 

“ฉันเป็นคนแดนทุ่งหญ้าค่ะ”

 

 

เมื่อเขาได้ยินว่าเป็นคนแดนทุ่งหญ้า ยิ๋งจุนก็ตะลึง

 

 

มีเพื่อนคนหนึ่งของเขาเล่าให้ฟังว่า เขาเคยถามเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่แดนทุ่งหญ้าว่า การดื่มของคุณเป็นอย่างไร? เพื่อนแดนทุ่งหญ้าตอบว่า มองออกไปที่ทะเล ถ้าเกาะฉินเตาไม่ตกฉันก็จะไม่ตก ถ้าเกล็ดหิมะไม่ลอยฉันก็จะไม่ลอย คนปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางสีไม่เชื่อเรื่องน้ำตา คนแดนทุ่งหญ้าก็ไม่เชื่อเรื่องเมามาย

 

 

เมื่อเขาได้ยินว่าหนิงอี้เหยาเป็นคนแดนทุ่งหญ้า ยิ๋งจุนก็จุดประกายศักดิ์ศรีของผู้ชายขึ้นมา

 

 

ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะเมาไม่เป็น

 

 

ยิ๋งจุนสั่งเหล้า 52 ดีกรีเพิ่มมาอีกสองขวด

 

 

หลังจากดื่มไปหนึ่งชั่วโมง หนิงอี้หนานก็ไม่เมาสักที แต่กลับเป็นเขาเองที่ตอนนี้เดินแทบไม่ไหวแล้ว หัวของเขาบวมตาของเขาแดงก่ำ

 

 

ด้วยความมึนเมา ยิ๋งจุนจึงลุงขึ้นมานั่งข้างๆ หนิงอี้เหยา “ครูหนิง คุณสวยมากเลยรู้ตัวไหมครับ”

 

 

“ผอ. ยิ๋งคุณนั่งใกล้เกินไปแล้วนะคะ” หนิงอี้เหยาขยับตัวออกอย่างกระอักกระอ่วนเพื่อรักษาระยะห่าง

 

 

“ครูหนิงผมจะบอกความจริงกับคุณ ผมสนใจคุณมากจริงๆ นะครับ ตราบใดที่คุณเต็มใจเป็นของผม ผมจะสนับสนุนหนังสือการสอนทั้งหมดของโรงเรียนของคุณในอนาคต คิดว่าไงครับ?”

 

 

“นี่คุณ!” หนิงอี้เหยาแสดงสีหน้ารังเกียจ

 

 

“ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลยนี่ครับ เด็กก็ได้รับความช่วยเหลือจากผม ส่วนผมกับคุณก็ได้กันทั้งคู่”

 

 

“ต่ำทราม” หนิงอี้เหยายืนขึ้นอย่างโมโห

 

 

เมื่อเห็นหนิงอี้เหยากำลังจะจากไป ยิ๋งจุนก็ลุกขึ้นยืนและรีบไปขวางไว้ทันที

 

 

ในตอนนั้นเอง ประตูห้องก็ถูกเตะเข้ามา

 

 

หญิงวัยกลางคนที่ดูแข็งแรงคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา เธอตะโกนด้วยความโกรธแค้น “ยิ๋งจุน ไอ้ชาติหมา แกกล้าทำอย่างนี้ได้ยังไง?”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด