อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 61 มลพิษจากสารเคมี

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 61 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

หลี่มู่ประหลาดใจ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็หัวเราะออกมา “เด็กน้อย มันจะมากเกินไปแล้วนะ คุณต้องการให้ฉันคุกเข่าให้กับสาวน้อยคนนี้เหรอ?”

 

“คุณกลัวแพ้?” หลินปู้ฟานยิ้มเยาะ

 

“มาเถอะเด็กน้อย ฉันสอนคณิตศาสตร์มาทั้งชีวิต ฉันไม่มีทางแพ้คุณแน่นอน”

 

ทั้งสองคนหยิบกระดาษและปากกาและเริ่มเขียนแบบทดสอบ โดยตกลงกันว่าจะให้ตั้งคำถามคนละ 10 ข้อ 10 คะแนนสำหรับแต่ละคำถาม ไม่จำกัดขอบเขตของคำถาม

 

หลี่มู่เขียนหัวข้อคณิตศาสตร์ขั้นสูงของมหาวิทยาลัยออกมา และคำถามสุดท้ายก็เป็นแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ระดับโอลิมปิก

 

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงทั้งสองคนก็เขียนคำถามเสร็จ

 

“เด็กน้อย คำถาม 10 ข้อนี้ต่อให้คุณมีเวลาสามวันสามคืนก็ยังทำไม่ได้เลย อย่าเสียเวลาและยอมแพ้ไปเถอะ” หลี่มู่พูดอย่างเหยียดหยาม

 

หลินปู้ฟานยิ้มอย่างมั่นใจ “คุณหลี่ ระดับอย่างคุณยังไม่สามารถทำให้ผมกดดันได้เลย”

 

“ฉันกลัวว่าคุณจะร้องไห้ ตอนที่ตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้น่ะสิ” หลี่มู่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

 

“งั้นก็เลิกพูดเรื่องไร้สาระเถอะ มาเริ่มกันเถอะ”

 

หลินปู้ฟานรับแบบฝึกหัดจากหลี่มู่และดูมัน หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเขาก็ยิ้มออกมา

 

แม้ว่าพวกมันจะเป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์ของระดับมหาวิทยาลัยทั้งหมดก็ตาม แต่แค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะวิทยากรเหรียญทองอย่างหลินปู้ฟาน ในชีวิตก่อนหน้านี้เขานำทีมเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกหลายครั้งและเขายังได้รับรางวัลชนะเลิศกลับมาด้วย

 

หลินปู้ฟานหยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์

 

จูเก๋อซินกระซิบกับหนิงอี้เหยา “เหยาเหยา นักเรียนของเธอเรียนคณิตศาสตร์เป็นยังไงบ้าง?”

 

“ไม่ว่าจะดีแค่ไหนเขาก็เป็นแค่เด็กม.ปลาย เขาจะไปเอาชนะหลี่มู่ได้ยังไง? เด็กคนนี้บ้าบิ่นเกินไปจริงๆ เขาจะต้องแพ้แน่นอน แต่ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้หลี่มู่เอาเงิน 2 หมื่นหยวนไปแน่นอน ใช่สิ ฉันยังไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้เอาเงินมากจากไหน ถ้าเขาขโมยมาจากครอบครัวล่ะก็ ฉันจะฆ่าเขาแน่นอน” หนิงอี้เหยาพูดอย่างโกรธๆ

 

จูเก๋อซินมองไปที่หลินปู้ฟาน “แต่ทำไมเขาดูใจเย็นขนาดนั้น”

 

“เขาก็คงแค่แกล้งทำเท่านั้นแหละ” หนิงอี้เหยาหน้าแดงด้วยความโกรธ

 

เมื่อหลินปู้ฟานกำลังดิ้นรนในการเขียนคำตอบ หลี่มู่ก็เริ่มดูปัญหาคณิตศาสตร์ของหลินปู้ฟาน แล้วก็ตกตะลึง

 

คำถามของหลินปู้ฟานมันเกี่ยวข้องกับเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ สมการเชิงอนุพันธ์ ฟังก์ชันของตัวแปรที่ซับซ้อน ฟังก์ชันของตัวแปรจริง ทฤษฎีแนวคิดสถิติและแม้แต่วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน

 

คำถามสิบข้อเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามทางคณิตศาสตร์ที่ยากที่สุดในอนาคต เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้มันหากไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ในอนาคตอยู่ที่นี่ด้วย

 

เด็กคนนี้ เขาคิดว่าปัญหาเหล่านี้ได้ยังไง? เขาไม่มีทางแก้ได้อย่างแน่นอน

 

หลินปู้ฟานทำเสร็จภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขายื่นกระดาษให้หลี่มู่อย่างง่ายๆ “คุณหลี่เชิญตรวจครับ”

 

หลี่มู่ถูกตบหน้าด้วยความโกรธ “เด็กน้อย คำถามเหล่านี้ที่คุณให้ฉัน คุณสามารถทำมันเองได้ไหม?

 

“แน่นอนสิครับ” หลินปู้ฟานกล่าว

 

“งั้นก็ทำให้ฉันดูสิ” หลี่มู่โยนกระดาษไปด้วยความไม่พอใจ

 

หนิงอี้เหยา อาจารย์ใหญ่เกาและจูเก๋อซินยืนล้อมหลินปู้ฟาน

 

พวกเขาทั้งสามมองลงไปที่กระดาษของหลินปู้ฟาน จากนั้นพวกเขาก็มองหน้ากัน สมองของพวกเขามึนงง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นครูกันทุกคนแต่โจทย์คณิตศาสตร์ที่ยากแบบนี้มันก็เหมือนกับหนังสือสวรรค์สำหรับพวกเขา พวกเขาอ่านไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

 

หลินปู้ฟานหยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มแก้ปัญหา คำถามสิบข้อถูกตอบภายในสิบนาที สมการข้อโต้แย้งและฟังก์ชันถูกเขียนลงบนกระดาษ

 

หลังจากเขียนเสร็จ หลินปู้ฟานก็โยนกระดาษกลับคืนให้หลี่มู่เหมือนกับที่เขาทำ และพูดออกมาอย่างดูถูก “คุณลองอ่านดูเอาเอง”

 

“คุณคิดว่าตัวเองฉลาดนักหรือไง?”

 

หลี่มู่ไม่เชื่อว่าหลินปู้ฟานจะสามารถแก้ปัญหาพวกนั้นได้

 

แต่หลังจากอ่านคำตอบที่เขียนโดยหลินปู้ฟาน หลี่มู่ก็ตกตะลึง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคำตอบพวกนี้ถูกเขียนด้วยปากกาในมือนั่น …

 

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ยิ่งเขามองไปที่คำตอบมากเท่าไหร่หลี่มู่ก็ยิ่งตกใจมากเท่านั้น เพราะแม้ว่าเขาจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้แต่เขาก็เข้าใจคำตอบ

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา มือของหลี่มู่เริ่มสั่น เขามองไปที่หลินปู้ฟานด้วยความตกใจ “คุณเรียนอะไรบนโลกนี้? ความยากของปัญหาคณิตศาสตร์พวกนี้ยังยากยิ่งกว่าคณิตศาสตร์โอลิมปิกเสียอีก ฉันไม่ได้มีความเข้าใจพอที่จะแก้มันได้ “

 

“ผมเรียนศิลปะ” หลินปู้ฟานยิ้ม จากนั้นเขาก็หลีตาลง “ตอนนี้คุณควรจะตรวจคำตอบของผมได้แล้ว”

 

หลี่มู่หยิบแบบทดสอบของเขาขึ้นมา หลังจากอ่านอีกครั้ง เขาก็พูดอย่างสั่นๆ ว่า “คุณทำถูกทั้งหมด”

 

“อืมดี ในเมื่อคุณไม่สามารถของผมได้เลย” หลินปู้ฟานยิ้มอย่างชั่วร้าย “ได้โปรดทำตามข้อตกลงระหว่างเราก่อนหน้านี้ด้วยครับ”

 

ผู้เฒ่าหลี่มู่หน้าแดงเขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าเขาจะแพ้

 

หนิงอี้เหยาและอาจารย์ใหญ่เกาก็ตกใจเช่นกัน

 

หนิงอี้เหยาอ้าปากค้างและมองไปที่หลินปู้ฟาน …

 

หลี่มู่ยืนตัวสั่น เขาเดินไปที่ด้านข้างของหนิงอี้เหยา แต่หัวเข่าของเขาไม่สามารถก้มลงไปได้

 

“ลืมมันไปเถอะค่ะ!” หนิงอี้เหยาถอนหายใจ เธอไม่ต้องการให้ชายชราคุกเข่าต่อหน้าเธอ

 

“ฉันผิดเอง” หลังจากความทนงตนของหลี่มู่ถูกทำลายโดยหลินปู้ฟาน ตอนนี้ดเหมือนว่าเขาเริ่มจะรับรู้ข้อผิดพลาดของตัวเองขึ้นมาแล้ว “ถ้าคุณไม่สนใจอดีต ฉันยินดีที่จะอยู่ต่อและจะสอนเด็กๆ ให้ฟรี”

 

“เป็นไปได้จริงๆ เหรอคะ? ขอบคุณค่ะคุณครูหลี่” หนิงอี้เหยากล่าวอย่างตื่นเต้นพลางจับมือของหลี่มู่

 

“จริงตามที่พูดไป”

 

หลินปู้ฟานหยิบเงิน 2 หมื่นหยวนแล้วเดินเข้าไป “ครูหลี่ครับเงินนี่สำหรับคุณครับ เรื่องของเด็กๆ ต่อจากนี้ต้องขอรบกวนครูด้วยนะครับ สำหรับเด็กบนภูเขาการเรียนคือเส้นทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปรงอนาคตของพวกเขาได้”

 

“ไม่ไม่ ฉันไม่สามารถรับเงินนี้ได้”

 

“รับมันไปเถอะครับ” หลินปู้ฟานยัดเงินใส่มือของหลี่มู่

 

 

ช่วงบ่ายคณะทีมสำรวจก็มาถึง

 

หัวหน้าทีมเป็นผู้นำจากมณฑล มีล่ามอยู่ในทีมนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีชาวต่างชาติผมเหลืองอีกสองสามคน

 

ทีมสำรวจมีมากกว่าสิบคน และมีคนจากคณะกรรมการหมู่บ้านคอยติดตาม

 

เมื่อพวกเขามาถึงห้องเรียน หัวหน้าคนนั้นพูดประโยคจูงใจซ้ำซากออกมา

 

“นักเรียนทุกคน ตราบใดที่โรงงานของเรายังคงตั้งถิ่นฐานที่นี่ พวกคุณจะมีโต๊ะเรียนใหม่หนังสือเรียนใหม่ห้องเรียนใหม่ … “

 

ชาวต่างชาติพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในจีนมาหลายปีแล้ว

 

ที่ประตูห้องเรียน หลินปู้ฟาน จูเก๋อซินและหนิงอี้เหยามองดูเหตุการณ์ทั้งหมด

 

“ตอนนี้หมู่บ้านจิ่วเจี๋ยกำลังจะพัฒนาแล้ว มันยอดเยี่ยมจริงๆ” หนิงอี้เหยาดีใจ “ชาวต่างชาติคนนี้คงมีมนุษยธรรมมากแน่ๆ”

 

“ฉันได้ยินมาจากครูใหญ่ว่าชาวต่างชาติจะสร้างโรงงานในหมู่บ้าน”

 

“ใช่ เราจะสร้างอาคารเรียนใหม่ด้วย จากนั้นเราจะมีสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนที่ดีขึ้นและเราจะสามารถนำเด็กๆ เข้าชั้นเรียนของเราได้มากขึ้น”

 

“ดีดี”

 

“นั่นไม่แน่ว่าจะดีเสมอไป” หลินปู้ฟานขมวดคิ้ว และพูดออกมาอย่างไม่สบายใจ

 

หลินปู้ฟาน รู้ดีว่าการตั้งโรงงานเคมีนี้จะส่งผลร้ายต่อชีวิตของชาวบ้านที่นี่มากแค่ไหน

 

“เธอหมายความว่ายังไง? หมู่บ้านพัฒนามันก็ต้องเป็นเรื่องที่ดีสิ” หนิงอี้เหยาพูดอย่างไม่พอใจ

 

“ครูรู้ไหมว่าชาวต่างชาติเหล่านี้กำลังจะสร้างโรงงานอะไรที่นี่?” หลินปู้ฟานถาม

 

“ไม่ว่าโรงงานจะเป็นโรงงานอะไรก็ส่งเสริมการพัฒนาหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยทั้งนั้น”

 

“คุณไร้เดียงสาเกินไป” หลินปู้ฟานคิดว่าเขาควรป้องกันไม่ให้เรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นดีไหม?

 

“ขอบคุณครับลุง … ” เด็กๆ ทุกคนยิ้มขอบคุณชาวต่างชาติ

 

เมื่อเห็นรอยยิ้มอันไร้เดียงสาของเด็กๆ หลินปู้ฟานก็ตัดสินใจได้ทันที เขาต้องป้องกันไม่ให้ชาวต่างชาติมาสร้างโรงงานเคมีที่นี่

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมาสมาชิกของทีมสำรวจก็มาที่ห้องทำงานของครู

 

อาจารย์ใหญ่เกา หนิงอี้เหยาและจูเก๋อซินรินน้ำให้ทุกคน ห้องทำงานเล็กๆ อัดแน่นไปด้วยผู้คน อาจารย์ใหญ่เกา หนิงอี้เหยาและจูเก๋อซินรวมถึงหลินปู้ฟานตอนยืนเพราะที่ไม่พอ

 

ชาวต่างชาติจมูกโด่งพูดภาษาฝรั่งเศส บางครั้งเขาก็พูดภาษาจีน บางครั้งเขาก็ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสารกับเพื่อนชาวต่างชาติ

 

“เราพอใจกับสภาพแวดล้อมที่นี่มาก เราจะจ่ายเงินเพื่อสร้างถนนที่นี่ในภายหลังเพื่อสดวกในนำสินค้าออกไปนอกจากนี้ เราจะรับสมัครคนงานในพื้นที่มาทำงานในโรงงานของเราด้วย เพื่อให้ทุกคนในหมู่บ้านของคุณจะได้มีรายได้” ฝรั่งจมูกโด่งกล่าว

 

“โรงงานมันเป็นแบบไหน” ชาวบ้านถาม

 

ผู้นำมณฑลไม่พอใจกับคำถาม “ไม่ว่าโรงงานจะเป็นอย่างไร มันก็เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของหมู่บ้านของพวกคุณทั้งนั้น”

 

“ใช่ใช่ใช่ สิ่งที่ผู้นำพูดถูกที่สุด” ชาวบ้านนั้นพยักหน้าอย่างรีบร้อน

 

ชาวต่างชาติที่มีจมูกโด่งยิ้มและกล่าวว่า “เรากำลังสร้างโรงงานเคมีแห่งใหม่ที่มีมาตรฐาน CIA”

 

ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้ที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกเขาจะเข้าใจไหมว่ามาตรฐานของ CIA คืออะไร

 

“ใช่ใช่ ตราบเท่าที่เราสามารถสร้างโรงงานที่นี่ได้ย่อมดีที่สุด”

 

ชาวต่างชาติจมูกโด่งยิ้มอย่างดูถูก เขาหันศีรษะไปพูดกับเพื่อนชาวต่างชาติของเขาเป็นภาษาฝรั่งเศส “ชาวบ้านพวกนี้ช่างโง่เขลา พวกเขาไม่รู้ว่าโรงงานเคมีจะสร้างมลพิษมากน้อยเพียงใด”

 

เพื่อนของชาวต่างชาติกล่าวว่า “ยังไงมันก็ยังเป็นแค่ประเทศที่ล้าหลังเท่านั้น หน้ามืดตามัวต้องการแค่การพัฒนาโดยไม่รู้ว่าความอันตรายของมลพิษมันน่ากลัวขนาดไหน ให้ความหวานไปสักเล็กน้อย มันจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่างได้”

 

“ฮ่าฮ่า หมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ แห่งนี้อยู่ห่างไกล เราสามารถทำโรงงานที่นี่ได้อย่างน้อยก็ 5 ปี รอให้ที่นี่ทนรับมลพิษไม่ไหว เมื่อถึงตอนนั้นเราก็แค่ขายโรงงานนี้ทิ้งไปและทิ้งประเทศโกโรโกโสนี่แล้วกลับไปบ้านของเรากัน”

 

“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

 

นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว หลินปู้ฟานก็ยังเก่งภาษาฝรั่งเศสอีกด้วย

 

ชาวต่างชาติสองคนคิดว่าไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่พวกเขาคุยกัน ทำให้พวกเขาพูดเรื่องชั่วช้าออกมาอย่างเปิดเผย

 

“ไอ้หมาหัวเหลืองสองตัวนี่อย่าคิดว่าทุกอย่างมันจะจบสวยอย่างที่พวกแกต้องการ พวกเราคนจีนไม่ใช่คนที่มาจะรังแกกันง่ายๆ” พูดด้วยน้ำเสียงต่ำเป็นภาษาฝรั่งเศส

 

ชาวต่างชาติสองคนนั้นมึนงง…

 

ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลแบบนี้ยังมีคนที่สามารถเข้าใจภาษาฝรั่งเศสได้อีกเหรอ?

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด