War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3362

อ่านนิยายจีนเรื่อง War Sovereign Soaring The Heavens สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ ตอนที่ 3362 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 3362 : เผ่าพยัคฆ์ขาว

หลังเสี่ยวจินกล่าวจบคํา นางก็หลับตาลงทันที ร่างมหึมาเริ่มห่อหุ้มไปด้วยพลังสายเลือด

พลังงานสายเลือดสีแดงฉานที่ปกคลุมร่างดังงกล่าว สามารถปิดกั้นได้กระทั่งสํานึกเทวะ ทําให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ไม่อาจตรวจสอบสถานการณ์ความเป็นไปของเสี่ยวจินได้เลย

อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องดีกับเสี่ยวจิน ไม่ใช่เรื่องร้าย

ให้ถอยไปหมื่นก้าว ถึงเสี่ยวจินจะล้มเหลว แต่ก็แค่เท่าทุนไม่มีอะไรเปลี่ยน

ทว่าหากประสบผลสําเร็จดั่งที่นางพูดล่ะก็…นางจะพัฒนาไปเป็นสัตว์เทพทันที!

“ฮ่วนเอ๋อ”

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนแผ่สํานึกเทวะออกไปตรวจสอบระวังภัยโดยรอบ ก็อดส่งเสียงผ่านพลังถามฮ่วนเอ๋อไม่ได้ “เสี่ยวจินสามารถพัฒนาไปเป็นสัตว์เทพได้ด้วยวิธีนี้”

“ไม่ได้หมายความว่า การกลืนกินสัตว์เทพจะทําให้สัตว์อมตะชั้นยอดวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เทพได้หรอกหรือ?”

ในสายตาของต้วนหลิงเทียน ในมรดกความทรงจําที่ฮ่วนเอ๋อได้รับสืบทอดมา ต้องมีเรื่องราวพวกนี้บันทึกไว้แน่

“พี่หลิงเทียน”

ฮ่วนเอ๋อส่ายหัวไปมาพลางตอบผ่านพลังว่า “มีเพียงสัตว์อมตะชั้นยอดบางชนิดเท่านั้น ที่สามารถใช้วิธีกลืนกินสายเลือดสัตว์เทพเพื่อยกระดับพัฒนาสายเลือดของตัวเอง…สัตว์อมตะไม่เว้นสัตว์อมตะชั้นยอดส่วนใหญ่ ไม่มีความสามารถแบบนี้”

“เสี่ยวจินเป็นสัตว์อมตะชั้นยอดที่มีความสามารถเช่นนี้พอดี”

“และเป็นธรรมดาว่าในฐานะที่เป็นสัตว์อมตะชั้นยอดแล้ว เสี่ยวจินจะมีโอกาสวิวัฒนาการไป เป็นสัตว์เทพก็ต้องกลืนกินเลือดของสัตว์เทพเท่านั้น…หากไปกลืนกินสัตว์อมตะชั้นยอดอื่นๆ ไม่ว่าจะมากแค่ไหนก็ไม่มีทางพัฒนาไปเป็นสัตว์เทพได้”

ฮ่วนเอ๋อกล่าวออกรวดเดียวจบ

ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจเรื่องราวทันที ขณะเดียวกันก็บังเกิดความคาดหวังใจอยู่บ้างโดยหวังว่าเสี่ยวจินจะสามารถยกระดับสายเลือดกลายไปเป็นสัตว์เทพได้สําเร็จ

“เสี่ยวจิน”

ต้วนหลิงเทียนไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าหนูขนทองตัวเล็กๆที่เคยอยู่กับเขาในระนาบโลกียะตอนนั้น จะเติบโตมาได้ถึงขนาดนี้ และกําลังจะมีโอกาสพัฒนาไปเป็นสัตว์เทพแล้ว

เรื่องราวทั้งหมดในปัจจุบัน วันแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้พบเจอเสี่ยวจิน เขาไม่แม้แต่จะฝันถึง

เสี่ยวจินกลืนกินเลือดเนื้อของพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ จนอยู่ในสภาพดักแด้วิวัฒนาการแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็จําต้องคอยปกป้องคุ้มครองนางเอาไว้ไม่ห่าง

ทั้งคู่ไม่กล้าออกไปมองหาศัตรูอะไร

แน่นอนว่าที่นี่คืออเวจีหมื่นแปลง ต่อให้พวกเขาจะไม่ออกไปหาคนอื่น คนอื่นก็จะมาหาพวกเขาอยู่ดี

แต่แล้วไง?

ต้วนหลิงเทียนกระทั่ง 1 ใน 2 แม่ทัพระดับ 7 ที่สมควรแข็งแกร่งที่สุดในสมรภูมิอเวจียังฆ่าได้ เขายังต้องกลัวคนอื่นอีกเหรอ?

ต่อให้มีคนมามากแค่ไหน ก็ตายมากขึ้นเท่านั้น

และในปัจจุบัน หากมีคนที่คอยติดตามตารางจัดอันดับยศแต้มรบอยู่ล่ะก็จะพบว่า 1 ใน 2 อันดับแรกบนหัวตาราง “ไป๋สุ่ยหาน” ที่เป็นอันดับ 2 นั้น นามของมันได้อันตรธานหายไปจากตารางแล้ว

ไป๋สุ่ยหานก็เป็นชื่อปลอมของพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ที่ตกตายด้วยน้ํามือต้วนหลิงเทียนในพื้นที่อเวจีหมื่นแปลงแห่งนี้เมื่อครู่

ชื่อจริงของมันไม่ใช่ไป๋สุ่ยหาน

แต่มีชื่อว่า “ไป๋หนิง”

ไป๋สุ่ยหานเป็นแค่ชื่อปลอมเท่านั้น

ถึงแม้จะเป็นสัตว์เทพที่จะอุบัติขึ้นในรอบ 100,000 ปีของเผ่าพยัคฆ์ขาว ทําให้เผ่าพยัคฆ์ขาวให้ความสําคัญกับการปกป้องมันเต็มที่ แต่ไป๋หนิงก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนในสมรภูมิอเวจี

เพราะหากเรื่องที่มันครอบครอง 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุอย่างวารีเทพชําระโลกาแพร่ออกไป ตัวมันไม่เว้นทั้งเผ่าพยัคฆ์ขาวก็จะตกเป็นเป้าของสาธารณชนทันที

ถึงตอนนั้น เผ่าพยัคฆ์ขาวก็คงไม่มีกําลังปกป้องมันได้

ความเย้ายวนใจของเทพเบญจธาตุ โดยเฉพาะเทพเบญจธาตุขั้นสูงแล้ว มันมหาศาลเกินไป

วารีเทพชําระโลกาขั้นที่ 7 ไม่พ้นต้องทําให้ขุมกําลังระดับสวรรค์ที่แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าเผ่าพยัคฆ์ขาวเคลื่อนไหวแน่ และแม้แต่ขุมกําลังของจักรพรรดิสวรรค์ก็อาจจะเคลื่อนไหวเช่นกัน!

ถึงแม้เผ่าพยัคฆ์ขาวจะแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตามหากต้องเผชิญหน้ากับขุมกําลังระดับสวรรค์นับสิบหรือนับร้อยเล่า? ไหนจะยังมีขุมกําลังของจักรพรรดิสวรรค์ที่ไม่อ่อนแอไปกว่าเผ่าพยัคฆ์ขาวเลยสักนิดเข้ามาผสมโรง พวกมันจะไปต้านไหวได้อย่างไร?

“โอทวยเทพ! แม่ทัพระดับ 7 ไป๋สุ่ยหานถูกฆ่าตายแล้ว?!”

“ผู้ใดฆ่ามันกันแน่?”

“ข้าก็ไม่อาจทราบได้ไม่มีแม่ทัพระดับ 7 คนใหม่ปรากฏขึ้น เห็นได้ชัดว่าไป๋สุ่ยหานสมควรตกตายด้วยน้ํามือของแม่ทัพระดับ 7 อีกคน หรือไม่ก็เป็นแม่ทัพสักคนที่ยังไม่ได้ผ่านการทดสอบทําลายขีดจํากัดครั้งที่ 7”

ไป๋สุ่ยหาน 1 ใน 2 แม่ทัพระดับ 7 ที่ครองอันดับ 2 ในตารางจัดอันดับยศแต้มรบของสมรภูมิอเวจี ตาย!

จังหวะนี้ ทั่วทั้งสมรภูมิอเวจีอดไม่ได้ที่จะแตกตื่นฮือฮากันไปพักหนึ่ง

แน่นอนว่าไม่มีใครล่วงรู้ว่าไป๋สุ่ยหานตกตายด้วยน้ํามือของต้วนหลิงเทียน แม่ทัพระดับ 6 ที่ใช้นามแฝงว่า เซี่ยเฟยหวู่

ในสมรภูมิอเวจีถึงแม้จะห้ามใช้ยันต์อมตะใดๆ

อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่เข้ามาตกตายและวิญญาณถูกทําลายในนี้ ลูกแก้ววิญญาณของมันที่อยู่นอกสมรภูมิอเวจีก็จะตอบสนองทันที

ไป๋หนิง ที่ทุกคนในสมรภูมิอเวจีรู้จักกันในนามไป๋สุ่ยหาน แม่ทัพระดับ 7 ที่ท่องไปทั่วสมรภูมิอเวจีได้ราวปลาในน้ํา ทันทีที่มันถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตาย ลูกแก้ววิญญาณของมันก็แตกลงเช่นกัน

เป็นธรรมดาว่าลูกแก้ววิญญาณของไป๋หนิงถูกกพบว่าแตก หลังเกิดเรื่องไม่ถึงครึ่งชั่วยาม

ทําให้เผ่าพยัคฆ์ขาวสะเทือนกันยกใหญ่

สถานที่ตั้งเผ่าพยัคฆ์ขาวสาขาหลักนั้น อยู่ในระนาบเทวโลกนาม “ล่างจี้เทียน” และสถานที่ตั้งเผ่าก็อยู่ในพื้นที่ราบสูง โดยมีภูเขานับหมื่นๆลูกห้อมล้อม

และตอนนี้ในพื้นที่หุบเขาแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใจกลางภูเขานับหมื่นลูกนั่น ก็ปรากฏร่างมากมายเหินกันมาจากทั่วสารทิศ

ไร้ซึ่งข้อยกเว้นใด ทุกคนที่มาล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นผู้อาวุโสของเผ่าพยัคฆ์ขาวทั้งสิ้น!

ไม่นาน โถงใหญ่ใจกลางหุบเขา เหล่าอาวุโสทั้งหลายก็มาประชุมกันพร้อมหน้าพร้อมตา

“ไป๋หนิง ตายแล้ว”

หัวหน้าเผ่าพยัคฆ์ขาว เป็นชายรางกายกําสูงใหญ่มาในชุดคลุมยาวสีขาว สองตามันดั่งสายฟ้าฟาด ชักสีหน้าถมึงทิ้งเอ่ยคําเสียงเข้ม

“ข้าบอกไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้วว่าอย่าได้ปล่อยให้ไป๋หนิงไปสมรภูมิอเวจี! พวกท่านมีผู้ใดฟังข้าบ้าง!!”

อาวุโสคนหนึ่งของเผ่าพยัคฆ์ขาวเอ่ยออกเสียงหนัก มันเป็นชายชราที่มีใบหน้าอ่อนวัยปานทารก เส้นผมขนเคราทั้งหางคิ้วที่ยาวเฟื้อยล้วนเป็นสีขาวโพลน บัดนี้ใบหน้าอ่อนวัยของมันบิดเบี้ยวยากดูชมนัก

“เฮ่อ ไป๋หนิงจะอย่างไรก็เป็นพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ที่จะปรากฏตัวขึ้นทุกๆรอบแสนปีของเผ่าพยัคฆ์ขาวเรา ไม่เพียงด่านพลังถึงจอมราชันอมตะ 10 ทิศ และมีภาพวารีเทพสมบัติประจําเผ่าของพวกเรา แต่มันยังครอบครองวารีเทพชําระโลกาอีก ผู้ใดจะไปคิดว่าในสมรภูมิอเวจีจักมีคนสามารถฆ่ามันได้เล่า? เป็นไปได้หรือไม่ที่มันถูกผู้ใดดักฆ่าหลังกลับออกมาจากสมรภูมิอเวจี ?”

อาวุโสอีกคนของเผ่าพยัคฆ์ขาว เอ่ยข้อสันนิษฐาน

“ไม่น่าใช่”

สตรีรูปลักษณ์สง่างามในชุดคลุมขาวประดับประดาไปด้วยมณีล้ําค่าเอ่ยขึ้น “ทุกครั้งที่หนิงเอ๋อเข้าออกสมรภูมิอเวจี ล้วนแล้วแต่ส่งข้อความมาแจ้งข้าตลอด…”

“ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้รับข้อความจากหนิงเอ๋อ ก็ตอนที่กําลังจะเข้าสมรภูมิอเวจี”

สตรีสง่างามคลุมขาวคนนี้ ก็คือมารดาขอไป๋หนิง ภรรยาของอาวุโสใหญ่แห่งเผ่าพยัคฆ์ขาว และยังเป็นผู้อาวุโสลําดับที่ 7 ของเผ่าพยัคฆ์ขาว นางนับเป็นสตรีที่แข็งแกร่งอย่างหาได้ยาก โดดเด่นที่สุดในเผ่าพยัคฆ์ขาวรุ่นก่อน เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่ง

“ด้วยพลังของไป๋หนิง ในสมรภูมิอเวจีไม่น่าจะมีผู้ใดทําอันตรายมันได้ให้กล่าวว่าอยู่คงกระพันก็ไม่เกินเลย…ภาพวารีเทพ วารีเทพชระโลกาขั้นที่ 7 พลังระดับนี้ยังจะมีใครทําอะไรมันได้อีก?”

“จะอย่างไรก็ช่าง ตอนนี้ไป๋หนิงตกตายไปแล้วจริงๆ”

“ไป๋หนิงเป็นดั่งความหวังของเผ่าเราในรอบแสนปีหากมันบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ และเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งได้ยอดเยี่ยมเพราะวารีเทพชะระโลกาขั้นที่ 7 สักวันต้องนําพาเผ่าพยัคฆ์ขาวเรากวาดสะท้านไปทั่วล่างงี้เทียนแน่นอน กระทั่งมันคิดจะขึ้นดํารงตําแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แห่งล่างงี้เทียนยังไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้!”

“บัดซบ! หากผู้ใดบอกได้ว่าใครฆ่าไป๋หนิง ข้าจักไปฆ่าสารเลวนั่นให้ตาย ยังจะสับร่างมันให้แหลกเป็นชิ้นๆ เผากระดูกมันให้เป็นขี้เถ้า!”

เหล่าระดับสูงของเผ่าพยัคฆ์ขาวเดือดดาลกันยกใหญ่

พวกมันโกรธจนตัวสั่น แต่ไม่อาจทําอะไรได้

เพราะหากไป๋หนิงตกตายภายในสมรภูมิอเวจี โอกาสที่พวกมันจะพบเจอคนร้ายก็เรียกว่าแทบจะเป็นศูนย์

“ข้าจักลองไปตรวจสอบเรื่องนี้ดูก่อนเพราะมีจุดที่น่าสงสัยมากเกินไป”

อาวุโสคนหนึ่งของเผ่าพยัคฆ์ขาวกล่าวออกเสียงหนัก “บางทีอาจเป็นได้ ที่ครั้งนี้ไป๋หนิงกลับออกมาจากสมรภูมิอเวจี แต่ไม่มีโอกาสได้แจ้งอาวุโส 7 ก็ถูกใครเล่นงานไปเสียก่อน พวกท่านไม่คิดว่าเป็นไปได้หรือไร?”

“ก็จริง! เรื่องนี้ต้องไปตรวจสอบดูก่อน!”

ถึงแม้เผ่าพยัคฆ์ขาวจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ โอกาสที่จะคลําพบเบาะแสมันน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่ในเมื่อมันเกี่ยวพันถึงการตายของไป๋หนิง และภาพวารีเทพอันเป็นอุปกรณ์เทพประจําเผ่าพยัคฆ์ขาว เช่นนั้นก็ไม่อาจนิ่งดูดายไม่ทําอะไรได้

จริงอยู่ที่ไป๋หนิงตกตายไปแล้ว และทําอย่างไรคนตายก็ไม่อาจฟื้นคืน

ทว่าหากสามารถสืบหาจนพบว่าใครเป็นคนฆ่าไป๋หนิง ไม่เพียงจะได้ล้างแค้นแต่ยังมีโอกาสได้ภาพวารีเทพกลับคืนสู่เผ่า

สําหรับเผ่าพยัคฆ์ขาว ไป๋หนิงย่อมมีความสําคัญมากกว่าภาพวารีเทพ

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ในเมื่อไป๋หนิงก็ตกตายไปแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่มีความสําคัญเป็นลําดับแรกของเผ่าพยัคฆ์ขาวก็คือการตามหาภาพวารีเทพกลับคืน ส่วนการแก้แค้นให้ไป๋หนิงมันกลายเป็น เรื่องรองลงไป เพราะถึงจะฆ่าคนล้างแค้นได้ ไป๋หนิงก็ไม่อาจฟื้นคืน

ต่อมาคนของเผ่าพยัคฆ์ขาว ก็เริ่มออกไปสืบค้นหาเบาะแสทั่วทั้งล่างงี้เทียน

เรื่องราวทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ได้ล่วงรู้อะไรเป็นธรรมดา และเป็นไปไม่ได้ที่จะล่วงรู้

แต่ถึงจะรู้เขาก็ไม่สนใจ

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนฆ่าไป๋หนิง เว้นเสียแต่เขาจะเดินไปบอกเองว่า “เฮ่ ข้าเป็นคนฆ่ามันนะ”

วันเวลาผันผ่านดั่งอาชาขาวปลอดทะยานข้ามทุ่ง

พริบตา ก็ล่วงเลยไปอีก 10 ปีแล้ว

ในสมรภูมิอเวจี ทั้งยังเป็นพื้นที่หมื่นแปลง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็คอยปกป้องคุ้มครองเสี่ยวจินเอาไว้ตลอดเวลา

และตอนนี้ พลังสายเลือดที่ปกคลุมเสี่ยวจินดั่งรังไหมโลหิตยิ่งมากยิ่งพุ่งพล่านทอประกายแดงฉาน แลดูลี้ลับนัก

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภายในรังไหมสีเลือดเป็นอย่างไร ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ไม่อาจทราบได้เลย

ทั้งคู่รู้เพียงต้องปกป้องเสี่ยวจินให้ดีที่สุด ไม่ให้อะไรมาส่งผลกระทบกับการพยายามวิวัฒนาการครั้งนี้ของนางได้อย่างเด็ดขาด

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีผู้คนจํานวนมากมายนับไม่ถ้วนที่ปรากฏตัวในพื้นที่แห่งนี้ เรียกว่าพาตัวมาให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อฆ่าถึงหน้าประตู ที่สําคัญในรรดาผู้คนที่พากันมาตาย ยังมีไม่น้อยที่ครอบครองเทพเบญจธาตุ

แน่นอนว่าล้วนแล้วแต่เป็นเทพเบญจธาตุขั้นต่ํา

ทว่าแม้จะด้อยคุณภาพ แต่เมื่อมีปริมาณมากเข้าว่า ก็ยังพอทําให้เทพเบญจธาตุๆหนึ่งในร่างต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงขั้นที่ 8 ได้อย่างราบรื่น

และเทพเบญจธาตุที่กลายไปเป็นขั้นที่ 8 ได้สําเร็จก็คือ เพลิงเทพโลกาหล

เพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 8 นั้นก็สามารถช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนในรูปแบบใหม่นอกจากส่งพลังออกมา

เพราะตอนนี้ มันสามารถรวมรั้งอณูพลังธาตุไฟในฟ้าดิน ก่อร่างเพลิงขึ้นมาช่วยต้วนหลิงเทียนรับมือศัตรูด้านนอก…แน่นอนว่าร่างเพลิงของมันไม่อาจอยู่ห่างจากต้วนหลิงเทียนได้มากเกินไป

“พี่สาวสุ่ย ท่านมีความรู้มากกว่าใคร เช่นนั้นท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าสถานการณ์ของเสี่ยว จินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว…นางจะพัฒนาเป็นสัตว์เทพได้สําเร็จหรือไม่?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามวารีเทพชําระโลกาด้วยความสงสัย

ในสายตาเขา วารีเทพชําระโลกาที่อยู่กับตัวตนระดับเทพที่กําลังจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดคนแรกด้วยพฤกษาเทพกําเนิดชีพในสวรรค์และโลก สมควรมีความรู้มากที่สุด และควรจะเข้าใจถึงสถานการณ์ตอนนี้ได้ไม่มากก็น้อย

“จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ข้าบอกได้แค่ว่ามันดีมากกว่าร้าย”

วารีเทพชําระโลกากล่าว “เพราะสุดท้ายนี่มันก็ผ่านมาสิบปีแล้ว หากจะล้มเหลวจริง คงล้มเหลวไปแต่แรกไม่อยู่ในสภาพรังไหมวิวัฒนาการนานถึงขนาดนี้หรอก”

“ พี่สาวสุ่ย รอให้เสี่ยวจินวิวัฒนาการเสร็จเมื่อไหร่ ข้าว่าจะออกจากสมรภูมิอเวจีเลย”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว “ด้วยเทพเบญจตธาตุระดับต่ํา พวกท่านคงแทบไม่อาจพัฒนาอะไรได้ แล้วเช่นนั้นอยู่ต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่า”

ตลอดระยะเวลา 10 ปีหลังที่ผ่าน แม้เขาจะพบเจอเทพเบญจธาตุมากมาย และช่วยให้เพลิงเทพโกลาหลเปลี่ยนเป็นขั้นที่ 8 ได้อย่างราบรื่น

อย่างไรก็ตาม ที่เพลิงเทพโกลาหลเปลี่ยนเป็นขั้นที่ 2 ได้นั้น เป็นเพราะการดูดซับที่สะสมมาก่อนหน้า

“หลังจากกลับออกไป ข้าคิดจะทะลวงให้ถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ และเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งสักพัก จากนั้นก็จะเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกทันที”

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายจ้าขึ้นมาด้วยความวาดหวัง “ในสมรภูมิ 9 ยมโลกต้องไม่ขาดจักรพรรดิอมตะที่ถือครองเทพเบญจธาตุระดับสูงๆแน่!”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด