ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 26 เหลือเชื่อ

อ่านนิยายจีนเรื่อง ประธานสาวโหดมว๊าก ตอนที่ 26 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ไป๋เวยไม่ขยับ และไม่ได้พูดอะไร แต่โจงคังหนิงที่อยู่ข้างๆเธอทนไม่ไหวแล้ว เขาก้าวมาด้านหน้าของไป๋เวยหนึ่งก้าว แล้วชี้มาที่ผมอย่างประชดประชัน พูดว่า”ฟางหยาง ขยะสังคมแบบคุณ อย่าเอาแต่เกาะแกะประธานไป๋อยู่เลย ลาออกซะเถอะ จริงสิ เกือบลืมบอกคุณไปเลยว่า โปรเจ็กต์ของBTTกรุ๊ปเราคว้ามาได้แล้วนะ ไม่ได้พึ่งฝีปากของคุณเลย หลังจากที่คุณทำมันพัง ประธานไป๋ก็รีบไปคุยที่BTTกรุ๊ปอีกเพื่อเอามันกลับมา ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรของคุณแล้ว ดังนั้นเจียมตัวหน่อยก็ออกไปจากที่นี่ซะเถอะ”

ผมมองดูโจงคังหนิงที่โง่เง่าเต่าตุ่นด้วยความสงสัย เขาไม่พอใจผมสามารถเข้าใจได้ ก่อนหน้านี้เคยมีการปะทะกัน แต่มาวันนี้ระดับสติปัญญาของเขา……เขาจะตบหน้าผมทั้งๆที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริงเนี่ยนะ?ความรู้สึกเหนือกว่านี้ได้มาจากไหนกัน?

ยังมีคนอื่นๆในทีมโปรเจ็กต์อีก แต่ละคนมองเหมือนผมเป็นคนโง่ สีหน้าแสดงออกถึงความรังเกียจ เยาะเย้ยถากถาง สติปัญญาของพวกเขาตัดการเชื่อมต่อแล้วจริงๆ

“ผู้จัดการโจงคะ คำพูดเหล่านี้มันเกินไปหน่อยนะคะ ฉันคิดว่าคุณน่าจะต้องขอโทษฟางหยางนะคะ”จู่ๆไป๋เวยก็เอ่ยปากพูดขึ้น พูดสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ น่าจะเป็นเพราะรู้สึกว่าลูกน้องของตัวเองน่าขายหน้าไปหน่อย

โจงคังหนิงตกตะลึง”ประธานไป๋ครับ ทำไมผมต้องขอโทษเขาด้วย?”

ไป๋เวยไม่ได้ลังเล”ที่พวกเราคว้าโปรเจ็กต์นี้มาได้ เป็นเพราะความพยายามของฟางหยาง เขาทำหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกคุณไม่รู้ในช่วงสองวันที่ผ่านมา สิ่งนี้พลิกสถานการณ์ทำให้สำเร็จ วันนี้ที่ฉันไปBTTกรุ๊ปก็เพื่อไปเซ็นสัญญาเจตจำนงในกับร่วมงานเท่านั้น”

คราวนี้ ไม่เพียงแค่โจงคังหนิงที่ตกตะลึง คนอื่นๆในทีมโปรเจ็กต์ก็พาตกตะลึงเหมือนกัน ด้วยท่าทางเหลือเชื่อ

ไป๋เวยพูดต่อไปว่า”เนื่องจากเหตุผลพิเศษบางประการ ดังนั้นฟางหยางเลยไม่ได้ไปกับทีมโปรเจ็กต์ แต่เขาก็เป็นคนที่ทำผลงานชิ้นใหญ่ที่สุดในโปรเจ็กต์ เพราะฉะนั้น ผู้จัดการโจงคุณควรจะขอโทษฟางหยางที่พูดกับเขาเมื่อกี้นะคะ”

“เอ่อคือ……ประธานไป๋ ผม……”สีหน้าของโจงคังหนิงเหยเกมากเหมือนกับตับหมูไม่มีผิด

ผมอดไม่ได้ที่จะเขี่ยปลายคางของโจงคังหนิงเล่น”ผู้จัดการโจง ถ้าทัศนคติของคุณจริงใจพอ ผมอาจจะยกโทษให้คุณก็ได้”

“คุณ……”โจงคังหนิงหน้าเขียว

ไป๋เวยขมวดคิ้วขึ้นมา”ฟางหยาง ผู้จัดการโจงทำไม่ถูกก็จริง แต่คุณไม่จำเป็นต้องจงใจเยาะเย้ยเขาแบบนั้น”

ผมถึงกับหัวเราะ”ขอโทษนะครับ ผมมันก็เป็นแค่คนต่ำทรามที่มีแค้นต้องชำระ อีกอย่างนะ คุณคิดว่าผมต้องการคำคำขอโทษจากเขางั้นเหรอ?เขาไม่ควรค่าที่จะอยู่ในสายตาผม ผมแค่ล้อเขาเท่านั้นเอง จริงสิ ประธานไป๋ พวกคุณพึ่งกลับจากกินเลี้ยงฉลองใช่ไหม?คนที่มีผลงานอย่างผมทำไมถึงไม่ได้รับแจ้งเตือนเหรอครับ?ประธานไป๋ลืมผมไปแล้ว หรือคิดว่าคนที่มีผลงานอย่างผมไม่คู่ควรจะไปฉลองกับความสำเร็จ?หรือว่า ประธานไป๋ไม่ได้ปฏิบัติต่อผมเป็นเหมือนคนในบริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์?”

เมื่อได้ยินคำถามที่ผมถามออกไปเป็นชุด สีหน้าของไป๋เวยก็ซับซ้อนมาก มีความรู้สึกผิด ลังเลเล็กน้อย มีความเย็นชาและหยิ่งทะนง ดูเหมือนว่าเธอไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของผมอย่างไรชั่วขณะหนึ่ง

ผมยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ส่ายหัวแล้วเดินออกไปด้านนอก พลางพูดขึ้นมาว่า”ความจริงผมรอสายจากประธานไป๋โทรมาชวน ผมยังไม่ได้ทานอาหารค่ำ ประธานไป๋ควรเลี้ยงอาหารผมสักมื้อรึเปล่าครับ?”

ไป๋เวยดูเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในตอนที่ผมเดินไปที่ประตูของโรงแรม เธอตอบรับว่า”ได้”หนึ่งคำ แล้วเหยียบรองเท้าส้นสูงไล่ตามจากด้านหลัง

สำหรับเรื่องที่ว่าไป๋เวยไม่ชวนผมไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ ผมไม่ได้สนใจอะไร และผมก็ไม่ได้คิดที่จะดื่มโต๊ะเดียวกับโจงคังหนิงและคนอื่นๆ

ผมแค่ยังไม่ทานอาหารเย็น แล้วหิวจริงๆ

อีกทั้งเมื่อครู่ผมยังรู้สึกเหมือนสิ้นหวัง เหงาอ้างว้างและอารมณ์ที่ไม่อาจบอกใครได้อื่นๆ เพราะฉะนั้นผมเลยตัดสินใจหาสาวสวยสักคนไปทานข้าวเป็นเพื่อน ต่อล้อต่อเถียงกันเป็นครั้งคราวเพื่อคลายความเบื่อหน่าย

เมื่อเดินออกจากโรงแรม กำลังคิดว่าจะไปหาอะไรกิน ไป๋เวยเดินตามหลังมา แล้วพูดอย่างเฉยเมย”คุณอย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้มาทานข้าวเป็นเพื่อนคุณ ฉันแค่อยากจะขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณ ดังนั้นแค่อยากจะเลี้ยงข้าวถือเป็นการให้รางวัลคุณเท่านั้น”

ผมหัวเราะและกลอกตาใส่เธอ”ได้ ในเมื่อคุณเป็นคนเลี้ยงงั้นคุณก็เลือกร้านเถอะ ผมจะกินร้านดีที่สุดและแพงที่สุด”

ไป๋เวยกำลังก้าวขาเดินไปข้างหน้า แต่ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ หลังจากนั้นก็หันกลับมามองผมหัวจรดเท้า แล้วพูดขึ้นมาว่า”คุณจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไหม?”

ผมก้มศีรษะลมมอง เพราะสองวันมานี้ไม่ต้องไปBTTกรุ๊ป เพราะฉะนั้นบนตัวของผมจึงสวมชุดลำลองก่อนหน้านี้ พอมองปุ๊บก็รู้ได้เลยว่าเป็นของถูกตามริมถนน

ผมยิ้มและพูดว่า”ไม่ต้องแล้ว ถ้าประธานไป๋คิดว่ารสนิยมเสื้อผ้าของผมไม่คู่ควรกับร้านอาหารระดับไฮเอนด์ พาผมไปกินอาหารข้างทางก็พอแล้ว”

ไป๋เวยเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินตรงไปที่ริมถนนเพื่อโบกแท็กซี่

เธอไม่ได้พาผมไปร้านอาหารข้างทาง แต่พาผมมาร้านอาหารฝรั่งระดับไฮเอนด์

ในตอนที่เดินเข้าไปในประตู พนักงานใช้สายตาที่ระมัดระวังแต่กลับไม่ปกปิดสายตาที่มองสังเกตผม แต่ไม่ได้ขวางผมไว้ เพราะว่าข้างกายของผมคือไป๋เวยที่ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายและกิริยาท่าทางไม่เหมือนคนปกติทั่วไป

มีการตกแต่งอย่างหรูหราแต่สง่างามในทุกที่ภายในร้าน เสียงดนตรีเบาๆสบายๆ อาหารเลิศรส และเหล่าบุคคลที่สง่างาม ซึ่งทั้งหมดมันทำให้ผมที่อยู่ในนั้นรู้สึกอิ่มเอมใจมาก

ไม่มีการจำกัดอิสระแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ภาพลวงตา

หลายปีก่อนที่ผมจะติดคุก ผมก็เคยมาดูแลลูกค้าหรือหัวหน้าในบริษัทหลายครั้งในสถานที่ประเภทแบบนี้ มาวันนี้ผมยังคงรู้สึกสบายใจกับบรรยากาศแบบนี้ แต่ทำให้หวนนึกถึงความมีชีวิตชีวา เหมือนตัวเองได้ย้อนกลับไปในเวลานั้น พูดคุยกับลูกค้าอย่างสนุกสนานเพื่อวางกลยุทธ์

ผมสงบสติอารมณ์ แล้วจัดการสั่งอาหารกับพนักงานอย่างสุภาพและเรียบร้อย พับผ้าเช็ดหน้าเป็นรูปสามเหลี่ยมอย่างชำนาญ

ไป๋เวยซึ่งนั่งตรงข้ามกันแสดงอาการแปลกใจบนใบหน้าของเธอ และมองมาที่ฉันอย่างสงสัย

“ประธานไป๋ มีปัญหาอะไรเหรอครับ?”ผมเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย

ไป๋เวยส่ายหัวไปมา เหมือนจะพูดพึมพำคนเดียว”เหมือนยิ่งอยู่ฉันจะยิ่งมองคุณไม่ออกแล้ว”

“เหอะๆ คุณดูผมทะลุตั้งแต่เมื่อไรเหรอครับ?”

“เมื่อกี้คุณ ไม่เหมือนคุณเลยแม้แต่น้อย”ไป๋เวยตอบไม่ตรงคำถาม

“ผมก็คือผม”

ทันใดนั้นไป๋เวยก็เอนตัวเล็กน้อย แล้วจ้องมองผมอย่างสงสัย พลางพูดขึ้นมาว่า”อันที่จริง ตัวจริงของคุณไม่ใช่แบบนั้น ถูกไหม?ฉันหมายความว่า มันไม่เหมือนกับความอันธพาลที่คุณมักแสดงออกมาแบบนั้น จริงๆแล้วคุณมีอีกด้านหนึ่งของความเป็นจริง อืม……ค่อนข้างกระตือรือร้นทะเยอทะยาน มีด้านที่เรียบร้อยเป็นสุภาพบุรุษ ใช่ไหม?”

ผมหัวเราะ แล้วมองไปที่ดวงตาคู่สวยของเธอที่สงสัยใคร่รู้”คุณชอบคิดไปเองจังเลยนะ”

ไป๋เวยไม่ได้โกรธ และไม่ได้ไล่ถามต่อ แต่ค่อยๆพิงไปกับพนักเก้าอี้ แล้วใช้สายตามองผมอย่างสงสัยใคร่รู้ต่อ

“ถึงคราวขึ้นเตียง คุณก็จะได้เห็นด้านที่แท้จริงของผมเองแหละ”

พูดจบ ผมก็กล่าวขอบคุณกับพนักงานที่ยกเนื้อสเต๊กเข้ามาเสิร์ฟอย่างสุภาพ หลังจากนั้นก็หยิบมีดกับส้อมขึ้นมาเริ่มทาน

ไป๋เวยไม่ได้โกรธอะไร และไม่ได้รบกวนผมทานอาหาร

ในขณะที่ผมกำลังทานอาหารอยู่เงียบๆ จู่ๆเสียงมือถือของเธอก็ดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดู สายตาของเธอมีความแปลกใจและยินดีปรีดาแวบผ่าน หลังจากนั้นเธอก็กดรับสาย”สวัสดี เจิ้งเหวิน”

ผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนเป็นแปลกใจมาก”นายถึงเชียงใหม่แล้ว แล้วตอนนี้นายอยู่ไหนคะ?ฉันกำลังทานอาหารอยู่เลย……นายยังไม่ได้ทานข้าวเหรอ……”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด