ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 52 ไม่เป็นมิตร

อ่านนิยายจีนเรื่อง ประธานสาวโหดมว๊าก ตอนที่ 52 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

วันที่ผมเข้าบริษัท ผู้ช่วยฝ่ายบุคคลคนนั้นเคยพูดกับผมว่า ไป๋เวยเป็นลูกสาวของท่านประธาน เธอต้องเป็นคนในตระกูลไป๋ของยู่เฟิงกรุ๊ปอย่างแน่นอน เหตุผลที่เธอมาทำงานในบริษัทลูกที่ไม่โดดเด่นอย่างบริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์ก็เพื่อฝึกฝนตัวเอง

นอกจากนี้ ในยู่เฟิงกรุ๊ปยังมีผู้บริหารระดับสูงหลายคนแซ่กง น่าจะเป็นคนในตระกูลของกงเจิ้งเหวิน

ในหนึ่งองค์กรจะมีคนของหลายตระกูลรวมกัน มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลก ตัวอย่างเช่น คนรุ่นก่อนรวมตัวกันเปิดบริษัทและทำธุรกิจร่วมกัน คนรุ่นหลังของพวกเขาก็จะช่วยกันบริหารบริษัทเหล่านี้

ส่วนเรื่องที่พวกเขาจะแก่งแย่งชิงอำนาจกันหรือไม่ เรื่องนี้มันก็พูดยาก

หลังจากใช้ชีวิตอย่างว่างๆไปสองวัน ในที่สุดไป๋เวยก็มาหาผมในตอนเย็น ขณะที่ผมกำลังนั่งอุจจาระอยู่ในห้องน้ำ จู่ๆเธอก็โทรศัพท์มาหาผม

หลังจากรับสาย ผมยังไม่ทันได้ทักทายเธอ ก็ได้ยินเสียงอันเย็นชาของเธอทันที “ฟางหยาง ฉันเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับBTTแล้ว”

“อืม ก็ดีแล้ว แต่ฟังจากน้ำเสียงของคุณ ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยดีใจ”

“ฉันดีใจ แต่ฉันอยากบอกคุณ คืนนี้ทีมโปรเจกต์ทุกคนจะร่วมกันทานอาหาร และอาจจะไปร้องเพลงที่KTV เพื่อเลี้ยงฉลอง ฉันอยากจะถามว่าคุณจะไปด้วยไหม”

“ฮ่าๆๆ”ฉันหัวเราะและใช้แรงเบ่งอุจจาระออกมาและถามด้วยรอยยิ้ม “ประธานไป๋ คุณอยากให้ผมไปด้วยหรือเปล่า?”

“ไม่อยาก” ไป๋เวยตอบโดยไม่ลังเล “แต่คุณก็เป็นพนักงานของบริษัท เป็นสมาชิกของทีมโปรเจกต์ ดังนั้นฉันก็เลยอยากแจ้งให้คุณทราบเฉยๆ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมคงต้องไปอยู่แล้ว”

ไป๋เวยเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นค่อยพูด ” คุณค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ของฉันทางวีแชทและแอดฉันเป็นเพื่อน ถ้าจองร้านอาหารได้ ฉันจะส่งที่อยู่ของร้านอาหารไปให้คุณ”

เมื่อพูดจบ ไป๋เวยก็กดวางสายทันที

ผมพึ่งนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้เป็นเพื่อนทางวีแชทกับไป๋เวยเลย และไม่ได้เป็นเพื่อนทางQQกับเธอด้วย ในฐานะที่ผมเป็นเลขาของเธอ ผมขาดตกบกพร่องในหน้าที่มากๆ

หลังจากเพิ่มเธอเป็นเพื่อนทางวีแชท ผมพบว่ารูปโปรไฟล์ในวีแชทของเธอ คือภาพที่เธอยืนอยู่บนชายหาดและชมพระอาทิตย์ตกดินอย่างเงียบๆ พระอาทิตย์ลับฟ้าและน้ำทะเลที่เงียบสงบบวกกับแสงสนธยาในยามที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ใบหน้านิ่งสงบของเธอและเส้นผมยาวๆที่ปลิดไปมาตามสายลม ภาพนี้ช่างสวยมากๆ

ผมมองดูรูปภาพนี้อย่างเงียบๆ จู่ๆผมก็สงสัยขึ้นมาทันที ไป๋เวยยังมีอีกด้านหนึ่งหรือเปล่า?

นอกจากเป็นคนเย็นชาและเย่อหยิ่งแล้ว เธออาจจะมีด้านที่อ่อนโยนและเงียบสงบก็ได้?

ผ่านไปชั่วครู่ ผมส่ายหัวและปฏิเสธความคิดโง่ๆของตัวเอง เธอเป็นคนที่ชอบมโน เย็นชา เย่อหยิ่ง และเจ๋งอย่างแน่นอน

เมื่อปิดวีแชท ผมก็หันไปดูคลิปวิดีโอสั้นๆ ผ่านไปไม่นานไป๋เวยก็ส่งที่อยู่และเวลาในการทานอาหารมาให้ผม นอกจากเรื่องนี้ เธอไม่ได้ส่งอะไรมาอีกเลย

เพื่อที่จะตามจีบไป๋เวยให้ได้ งานเลี้ยงฉลองนี้ผมต้องไปอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ผมต้องการทำงานที่บริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์ให้ได้ นี่เป็นงานที่มีรายได้ดีและมีความก้าวหน้าในหน้าที่สูง

สำหรับงานในมือตู้หมิงเฉียง ถ้าไม่จนตรอกจริงๆผมไม่ไปแน่นอน เพราะผมไม่เชื่อว่าตู้หมิงเฉียงจะสามารถทำธุรกิจของตัวเองให้ใสสะอาดได้ และไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถหยุดธุรกิจที่มีความเสี่ยงแบบนั้นได้ ถ้าผมเดินเข้าวงการนั้น ก็คงออกมาไม่ได้ง่ายๆ

หลังจากอุจจาระเสร็จ ฉันก็อาบน้ำแต่งตัวทันที ใสเสื้อผ้าที่ไป๋เวยพาผมไปซื้อ ถึงแม้ผมจะยังใส่ตาข่ายที่ตลกๆบนศีรษะอยู่ แต่ก็แต่งตัวอย่างเนี้ยบก่อนออกจากห้อง

เมื่อมาถึงร้านอาหาร ผมก็เปิดประตูห้องอาหารส่วนตัวและเดินเข้าไป ผมเห็นไป๋เวยกับคนอื่นๆในทีมโปรเจกต์มาถึงกันอย่างพร้อมหน้า แต่พวกเขายังไม่ได้เริ่มทานอาหาร โจงคังหนิงยืนขึ้นและพูดอะไรบางอย่างด้วยความกระตือรือร้น

เมื่อเห็นผมเข้ามา เสียงของโจงคังหนิงก็เงียบทันที คนอื่นๆในทีมโปรเจกต์ก็หันมามองที่ผม ผ่านไปชั่วครู่สายตาของทุกคนก็จ้องมาที่ตาข่ายที่อยู่บนศีรษะของผม

“ต้องขอโทษด้วยที่ผมมาสาย”

ผมยิ้ม จากนั้นก็เดินไปตบไหล่หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆไป๋เวยเบาๆและพูด “เพื่อน ผมขอที่นั่งตรงนี้ได้ไหม?”

“อ้า?” หญิงสาวคนนั้นอึ้งไปชั่วครู่

“คือว่า……ยังไงผมก็เป็นเลขาของประธานไป๋ ต้องนั่งข้างๆเธอและรับคำสั่งของเธอตลอดเวลา ผมต้องขอโทษคุณจริงๆ”

“อ้อ”

ไป๋เวยยังไม่ได้เอ่ยปากเพื่อหยุดหญิงสาวคนนั้น หญิงสาวคนนั้นก็พยักหน้าทันที จากนั้นเธอก็ลุกขึ้น เดินไปนั่งที่อื่นทันที

ห้องส่วนตัวของร้านอาหารนี้ใหญ่มากๆ โต๊ะอาหารก็ใหญ่ด้วย อย่างน้อยนั่งได้สิบสองคน คนในทีมโปรเจกต์และผมกับไป๋เวยรวมกันก็แค่สิบคน มีที่นั่งมากพออยู่แล้ว

ผมยิ้มให้ไป๋เวย จากนั้นก็นั่งลงข้างๆเธอ

เธอหน้าบึ้งและไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากสนใจผม

“ประธานไป๋ เขามาได้ยังไง? เขาโดนตำรวจจับตัวไป แล้วก็โดนประธานไป๋ไล่ออกแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ไป๋เวยไม่พูดอะไร แต่โจงคังหนิงไม่พอใจ ชี้มาที่ผมและถามขึ้น

เมื่อวานผมพึ่งรู้ว่าโจงคังหนิงเป็นผู้จัดการแผนกกิจการต่างประเทศ บริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์แบ่งฝ่ายการตลาดเป็นสามส่วน มีแผนกกิจการทางรัฐ แผนกกิจการส่วนตัว และแผนกกิจการต่างประเทศ และโจงคังหนิงเป็นหัวหน้าของแผนกกิจการต่างประเทศ ครั้งนี้เป็นเพราะไป๋เวยให้ความสำคัญกับโปรเจกต์ของBTTมากๆ ดังนั้นเธอก็เลยลงมาดูแลโปรเจกต์นี้ด้วยตัวเอง เธอเป็นหัวหน้าทีมโปรเจกต์ ส่วนโจงคังหนิงเป็นรองหัวหน้าทีมโปรเจกต์ ตำแหน่งของเขาเป็นรองก็แค่ไป๋เวยคนเดียว

ก่อนหน้านี้ผมเคยเถียงกับเขาหลายครั้ง เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่ค่อยพอใจผม

แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้พูดอะไร ดูสิว่าไป๋เวยจะอธิบายยังไง

ในห้องส่วนตัวของร้านอาหารเงียบทันที บางคนมองมาที่ผมหรือไป๋เวยด้วยความสงสัย มีบางคนก้มหน้าลงและพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ อาจจะเป็นเพราะตาข่ายตลกๆที่อยู่บนศีรษะของผมก็ได้

ไป๋เวยดูปฏิกิริยาของคนอื่นๆแล้วก็พูดอย่างใจเย็น “ผู้จัดการโจง หลายวันก่อนฟางหยางถูกตำรวจจับตัวไป แต่นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิด หลังจากได้ตรวจสอบอย่างชัดเจน เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดๆของที่นี่”

ผมพูดด้วยรอยยิ้มต่อจากคำพูดของเธอ “ไม่งั้น ตอนนี้ผมคงอยู่ในคุก ไม่สามารถนั่งอยู่ตรงนี้และดื่มเหล้ากับผู้จัดการโจงแล้ว ผู้จัดการโจง คุณคิดว่าผมพูดถูกไหม?”

โจงคังหนิงพูดอย่างเย็นชา “ใครอยากจะดื่มเหล้ากับคนเลวอย่างคุณ”

“พวกคุณอย่าทะเลาะกันอีกเลย ถ้าใครยังทะเลาะกันอีกก็ออกไปจากห้องอาหารนี้” จู่ๆไป๋เวยก็ทำหน้าบึ้งและพูดอย่างเย็นชา

“รับทราบ” ผมตอบไป๋เวยด้วยรอยยิ้ม

โจงคังหนิงเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นเขาก็นั่งลงและไม่พูดอะไรอีก

เมื่อเห็นความโกรธบนใบหน้าของเขา ผมก็รู้สึกแปลกใจ ก็แค่ทานอาหารด้วยกันเฉยๆ เขาต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ?

อันที่จริงผมกับเขาก็ไม่ได้มีเรื่องที่บาดหมางกัน ทำไมเขาถึงไม่เป็นมิตรกับผมขนาดนี้

มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน

ผมจ้องมองไปที่โจงคังหนิงตลอด เมื่อเห็นเขากระซิบกับคนข้างๆ ผมก็ตระหนักได้ในทันที เป้าหมายของเขาไม่ใช่ผม แต่เป็นไป๋เวยต่างหาก

เขาจงใจทำให้ผมโกรธ และให้ไป๋เวยช่วยผม ทำให้คนอื่นๆในทีมโปรเจกต์เห็นใจเขา ทำให้คนอื่นๆตั้งคำถามการบริหารงานของไป๋เวย และค่อยๆลดบารมีของไป๋เวยลง

อืม น่าจะเป็นอย่างนี้แหละ เพราะผมเป็นคนที่ไป๋เวยเลือกเข้ามา ตั้งคำถามกับผมก็เท่ากับตั้งคำถามกับการบริหารงานของไป๋เวย และไป๋เวยก็ช่วยผมพูดเกือบทุกครั้ง ซึ่งจะทำให้คนอื่นๆคิดว่าเธอเป็นคนเผด็จการและไม่ยุติธรรม

ตอนที่ไป๋เวยตัดสินใจให้ผมเป็นคนอธิบายโปรเจกต์กับBTT ตอนนั้นโจงคังหนิงเป็นแกนนำในการต่อต้านเรื่องนี้ จากนั้นมีเพื่อนร่วมงานหกคนร่วมกันต่อต้านพร้อมกับเขาด้วย เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขามีอิทธิพลต่อพนักงานในบริษัท

และเห็นได้ชัดว่าไป๋เวยยังขาดบารมีอยู่

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด