ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่84 ความจริง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ประธานสาวโหดมว๊าก ตอนที่ 84 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

จางอี้หลินดูแคลน “ฟางหยาง นึกไม่ถึงว่าคุณจะนึกวิธีต่ำช้าแบบนี้ได้ ทำให้เห็นว่าคุณมีปัญหาด้านความประพฤติ”

“เหอะๆ ประธานจางพูดแบบนี้มันดูงี่เง่าไปนะครับ โบราณกล่าวไว้ว่าธุรกิจดั่งสนามรบ ผมใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ทุกวิถีทางเพื่อบริษัทจะได้มาซึ่งโปรเจ็กต์ แต่ทำไมพอฟังคุณพูดมันสุดจะรับได้ล่ะครับ?ยิ่งไปกว่านั้น เฉาเหวินหวยร่วมกับนักเลงท้องถิ่นทำร้ายผมก่อน อนุรักษ์รู้อยู่แก่ใจแต่กลับไม่ทำอะไร แล้วทำไมผมต้องใช้วิธีที่ดีด้วยล่ะครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดของผม สีหน้าของจางอี้หลินเปลี่ยนไป ดูออกชัดเจนว่าโกรธมากกับคำพูดของผมที่ว่า”งี่เง่า”มาก แต่ก็แสดงอะไรออกมาไม่ได้

สีหน้าของระดับสูงคนอื่นๆดูแตกต่างไป บ้างก้มหน้ากลั้นหัวเราะ บ้างก็สีหน้าไม่พอใจเหมือนกับจางอี้หลิน

โจวปิ่นคุนจ้องผม ด้วยท่าทีครุ่นคิด

จางอี้หลินค่อยๆปรับอารมณ์ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฟางหยาง งั้นผมถามคุณหน่อย ได้โปรเจ็กต์มาแล้ว แล้วทำไมคุณยังต้องแพร่คลิปอีก?คุณไม่รู้เหรอว่าการกระทำนี้จะทำลายภาพพจน์ของลูกค้า และอาจถึงขั้นลูกค้ายกเลิกสัญญากับทางเราได้?ถ้าเรื่องถึงขั้นนั้น คุณรับผิดชอบไหวมั้ย?”

ผมตอบกลับอย่างสงบ “ประธานจาง แก้ไขหน่อยนะครับ ผมไม่ได้เป็นคนโพสต์คลิป แต่เป็นกงเจิ้งเหวิน คนนี้พวกคุณรู้จักกันอยู่แล้วสินะ รองผู้จัดการฝ่ายธุรกิจจินฝูของยู่เฟิง”

เมื่อได้ยินชื่อของกงเจิ้งเหวิน ผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากที่ฝั่งตรงข้ามสีหน้าไม่ค่อยธรรมชาติ ดูออกชัดเจนว่าพวกเขารู้จักกงเจิ้งเหวินคนนี้

แล้วผมก็พูดต่อ “เรื่องคลิปกงเจิ้งเหวินใช้เงินฟาดหัวเพื่อนร่วมห้องของผมคนหนึ่ง ให้เพื่อนร่วมห้องของผมคนนั้นก๊อบปี้คลิปไป เพราะผมมีปัญหากับเขา เขาจึงอยาก……”

จู่ๆจางอี้หลินก็ขัดจังหวะผม “ฟางหยาง พูดอะไรต้องมีหลักฐาน มีหลักฐานแน่ชัดที่สามารถพิสูจน์สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดนี้เป็นความจริงมั้ย?”

โจวปิ่นคุนที่ไม่พูดไม่จามาโดยตลอดก็พูดแทรกขึ้นมา “ฟางหยาง ผมอยากถามอะไรหน่อย ทำไมคุณถึงขัดแย้งกับกงเจิ้งเหวิน?”

ผมไม่ได้รีบตอบออกไป แต่หันไปมองไป๋เวย

ไป๋เวยขมวดคิ้ว ส่ายหน้าเบาๆ

เห็นได้ชัด ว่าเธอไม่อยากให้ผมพูดออกมา ต่อให้คนที่อยู่ในห้องได้ยินมาบ้างแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของผมกับเธอปิดบังคนที่อยู่ในที่ประชุมไม่ได้แน่นอน

แต่ผมเพียงยิ้มให้เธอ แล้วกล่าว “เพราะผมกับเขาเป็นศัตรูหัวใจกัน ผมชอบประธานไป๋ กงเจิ้งเหวินก็ชอบประธานไป๋ด้วยเช่นกัน”

สีหน้าของคนที่อยู่ในห้องประชุมยิ่งดูไม่ธรรมชาติเข้าไปอีก ไป๋เวยหน้าบอกบุญไม่รับ หน้าตาไม่พอใจแต่กลับหน้าแดงขึ้นมา

ผมพูดต่อไป “กงเจิ้งเหวินเคยพูดไว้ว่าจะให้ผมสองล้าน ให้ผมถอนตัวออกไป แต่ผมปฏิเสธ เพราะผมชอบประธานไป๋ เธอเป็นของล้ำค่า ไม่สามารถใช้เงินมาประเมินค่าได้ ด้วยเหตุนี้กงเจิ้งเหวินจึงจงเกลียดจงชังผม ตอนที่อยู่เชียงใหม่ยังให้เงินใต้โต๊ะกับตำรวจท้องที่ลากผมเข้าห้องขัง แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ”

“เมื่อไม่กี่วันมานี้ยังข่มขู่ผม ให้ผมถอนตัว มิเช่นนั้นจะเล่นเอาตาย ผมปฏิเสธอีกครั้ง เพราะผมสามารถทุ่มเททุกอย่างเพื่อประธานไป๋ได้ รวมทั้งชีวิต”

เมื่อได้ยินดังนี้ นอกจากจางอี้หลินแล้ว ระดับสูงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ดูไม่สงบอีกต่อไป แต่ล่ะคนต่างก้มหน้าหรือคลำๆหน้าผาก บ้างก็นวดตา ล้วนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

แม้แต่โจวปิ่นคุนก็ลูบจมูกปกปิดรอยยิ้มของเขา

ไป๋เวยหน้าแดงขึ้นไปอีก มองผมด้วยความอายทั้งโมโห

“ประธานไป๋ สิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงทั้งหมดเลยนะ” ผมพูดเสริมอีกประโยค

“ลองพูดมั่วๆต่อดูสิ” ไป๋เวยยืนขึ้นอย่างโมโหชักตาใส่ผม

โจวปิ่นคุนรีบโบกมือขัดจังหวะ “เอาล่ะๆ บริษัทไม่สนับสนุนให้มีความรักกันเอง ผ่านเรื่องนี้ไป กลับไปเรื่องหลัก ฟางหยาง คุณพูดต่อ ไม่อนุญาตให้พูดเรื่องเมื่อกี๊ที่ไม่เกี่ยวข้องแล้วนะ”

ผมพยักหน้า ละสายตาจากไป๋เวย แล้วเริ่มพูดถึงเรื่องเมื่อคืนว่าอู๋เฉิงจื้อยืมมือถือผมไปโทรศัพท์ได้อย่างไร

ขณะนี้ มือถือที่ไป่เวยวางไว้บนโต๊ะสั่นขึ้น เธอหยิบมือถือขึ้นมา แล้วกล่าว “ฉันรับสายแป๊บนะคะ” จากนั้นเดินออกจากห้องประชุมไป ราวกับหลังจากที่ผมสารภาพรักต่อหน้าผู้คนอีกครั้งแล้วอยู่ต่อไปไม่ได้ จึงฉวยโอกาสนี้ออกไป

หลังจากที่ผมพูดจบ จางอี้หลินถามผมอีกครั้งว่ามีหลักฐานมั้ย ผมไม่มีหลักฐานอะไรที่ว่านั่นอยู่แล้ว ทำได้เพียงพูดว่าอู๋เฉิงจื้อหนีไปนานแล้ว มีเพียงเพื่อนร่วมห้องอีกคนที่เห็นอู๋เฉิงจื้อก๊อบปี้คลิป

จางอี้หลินจับประเด็นที่ผมไม่มีหลักฐาน ถามและหักล้างอย่างไม่หยุด ราวกับไม่อยากให้ผมมีโอกาสได้พลิกสถานการณ์ได้เลย

ก็เป็นตามนี้จริง ผมไม่มีวิธีที่จะแสดงหลักฐานอะไรนั่น

หลังจากที่โยนกันไปมา จางอี้หลินดูแคลน แล้วกล่าว “ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องบุคลากร เมื่อเช้าผมได้ตัดสินใจไล่ฟางหยางออก แล้วยังออกเอกสารยกเลิกสัญญา แต่ประธานไป๋ของฝ่ายขายไม่ยินยอมเซ็นชื่อ ผมทำอะไรไม่ได้จึงได้จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้นมา มีเพียงเป้าหมายเดียว บริษัทของเราไม่สามารถรับคนที่ไม่มีศีลธรรมอย่างฟางหยางได้”

“ตอนนี้ผมแนะนำว่าให้ข้ามสิทธิ์แผนกประธานไป๋ไปเลย การไล่ฟางหยางออกใช้วิธีการโหวตมาตัดสิน ถ้าใครเห็นด้วยให้ยกมือขึ้น”

พูดจบ จางอี้หลินยกมือขึ้นก่อนเลย หญิงแก่ที่อยู่ข้างๆเขาคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นตาม

จากนั้น หลังจากที่คนที่เหลือต่างมองหน้ากันแล้ว ก็ยกมือขึ้น ในห้องประชุมมีทั้งหมดหกคนมีเพียงโจวปิ่นคุนและคนวัยกลางคนที่อายุค่อนข้างมากแล้วอีกคนที่ไม่ได้ยกมือ

สี่ต่อสอง ถึงขั้นสี่ต่อหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะโจวปิ่นคุนในฐานะผู้บริหาร ปกติจะไม่ออกความคิดเห็นใดๆ โดยตรง แต่จะดูท่าทีของระดับล่างแล้วตัดสินตามนั้น

ดูๆแล้ว จางอี้หลินชนะแล้วล่ะ ผมยังต้องไปอยู่ดี

ในขณะที่จางอี้หลินเหลือบมองผม ตอนที่กำลังจะพูด ประตูของห้องประชุมถูกผลักออกอีกครั้ง ไป๋เวยเดินเข้ามา ด้านหลังตามมาด้วยหญิงสาวที่ค่อนข้างสวยคนหนึ่ง นั่นคือโจงหลิง

“โจงหลิง? คุณมาได้ยังไง?” ผมพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว

เมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ราวกับว่าโจงหลิงค่อนข้างตื่นเต้น หลังจากที่ทักทายโจวปิ่นคุนและคนอื่นๆด้วยมารยาทแล้ว จึงได้ตอบกลับว่า “ฉันกลัวคุณจะถูกไล่ออก ดังนั้นจึงได้มา คืนนั้นคุณช่วยฉัน ฉันจะไม่ดูดำดูดีเลยก็ไม่ได้”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ จู่ๆโจงหลิงก็หยิบมือถือขึ้นมา เอาหน้าจอมาส่องที่หน้าผม แล้วกล่าว “ฟางหยาง คนรวยที่คุณทำผิดต่อเขา ใช่คนนี้มั้ย?”

ผมชะงักไป หรี่ตามองเพราะมองไม่ค่อยถนัด โจงหลิงรีบเดินเข้ามายื่นมือถือให้ผม

หน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปของคนคนหนึ่ง รถมาเซราติที่เลขท้ายทะเบียนรถเป็นเลขแปดสามตัว ข้างๆรถยืนอยู่ด้วยกันสี่คน ด้านหนึ่งคือกงเจิ้งเหวินและคนขับรถของเขา อีกด้านคืออู๋เฉิงจื้อและโจวเมี่ยว

ผมชะงัก “โจงหลิง คุณมีรูปนี้ได้อย่างไรกัน?”

“ฉันรู้จักเพื่อนร่วมงานของพวกเขาไม่ใช่เหรอ หลังจากช่วงเที่ยงที่คุณออกไปกินข้าวแล้ว ฉันโทรหาเพื่อนคนนั้นติด ถามว่าอู๋เฉิงจื้อกับโจวเมี่ยวลาออกแล้วยัง แล้วเล่าเรื่องของคุณให้ฟัง ใครจะรู้ว่าเพื่อนของฉันพูดว่าเมื่อสองวันก่อนตอนเธอเลิกงาน เห็นอู๋เฉิงจื้อและโจวเมี่ยวคุยกับคนที่ขับรถหรูคนหนึ่งที่ด้านล่างตึก แล้วเห็นว่าทะเบียนรถคันนั้นสวยมาก เธอจึงได้ถ่ายรูปเก็บไว้

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด