Late Night Bookstore ร้านหนังสือยามดึก – 76 – ฉีกทิ้ง

อ่านนิยายจีนเรื่อง Late Night Bookstore ร้านหนังสือยามดึก ตอนที่ 76 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

76 – ฉีกทิ้ง

นี่อาจเป็นอาการบาดเจ็บที่ลึกที่สุดของซูชิงหลาง

ครั้งนี้เขาคุยโม้โอ้อวดต่อหน้าหญิงสาวคนนั้นเหมือนกับลิงชิมแปนซีที่ชอบทุบหน้าอกของตัวเองแล้วส่งเสียงร้องว่า

“โอ้ โอ้ โอ้ โอ้!”

ในมุมมองของโจวเจ๋อ คิดว่านี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ซูชิงหลางตั้งใจจะเริ่มต้นสัญญาณการเกี้ยวพาราสี

น่าเสียดายหญิงสาวคนนั้นบอกว่าบ้านของเขาตั้งอยู่ในโครงการที่ครอบครัวของเธอเป็นเจ้าของ

ซูชิงหลางอยากจะคุกเข่าและใช้มือข้างหนึ่งกุมที่หน้าอกของตัวเอง มันเป็นความเจ็บปวด มันเป็นการเสียหน้าครั้งใหญ่สำหรับเขา

หญิงสาวค่อยๆลุกขึ้นและพูดกับโจวว่า “เถ้าแก่ เพิ่ม wechat กันหน่อยในอนาคตเขาจะได้ติดต่อกันได้”

“ตกลง” โจวเจ๋อไม่ปฏิเสธ

หลังจากเพิ่ม wechat แล้ว หญิงสาวก็ออกไปพร้อมกับสุนัข คอร์กี้ตัวโปรดของเธอ

ซูชิงหลางถอนหายใจยาว โบกมือครั้งหนึ่งค่อยๆหันหลังกลับและออกจากร้านหนังสือไป

เขาต้องการเวลาในการรักษาบาดแผลในครั้งนี้

ปากของโจวเจ๋อมีรอยยิ้ม อย่างน้อยในไม่กี่วันหลังจากนี้คำว่า “มีคอนโดมากกว่า 20 ห้อง” จะไม่ปรากฏออกจากปากของซูชิงหลางอีก

เมื่อมองย้อนกลับไป โจวเจ๋อเห็นว่าไป๋อิ่งนั่งอยู่บนม้านั่งพลาสติกและมึนงงไม่ได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้น พูดตรงๆก็คือเธอกำลังอ่านหนังสือเรื่อง “บันทึกการล่มสลายของราชวงศ์หมิง”

“เจ้านายฉันไม่เข้าใจ อ่านแล้วมันงงๆยังไงไม่รู้” ไป๋อิ่งบ่นพึมพำกับหนังสือที่เธออ่าน

ความทรงจำส่วนใหญ่เกี่ยวกับไป๋อิ่งนั้นสืบทอดมาจากคุณหนูไป๋ ในยุคนั้นผู้หญิงรู้หนังสือไม่มากนัก โดยธรรมชาติแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงจะ “มีความรู้กว้างขวาง” ได้เท่ากับผู้ชายที่ต้องใช้ความรู้เพื่อไขว่คว้าหาชื่อเสียง

สำหรับผู้หญิงเต็มที่ก็มีเพียงความฝันในหอแดงเท่านั้นที่พวกเธอได้อ่าน

“เป็นวรรณกรรมในสมัยราชวงศ์หมิงตอนปลาย ดูเหมือนว่าคนแต่งจะเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ กองทัพของชิงบุกเข้ามาแล้วและต้าหมิงกำลังจะตาย สุดท้ายเขาเลยยอมจำนนต่อแมนจู “

“แล้วหลังจากเขายอมจำนนเขาเป็นยังไงต่อ?” ไป๋อิ่งถาม

“ในความเป็นจริง แม้ว่าเขาจะถูกปลดออกจากราชการไม่ได้ถูกประหาร แต่หลังจากนั้นเขาก็ยังแอบให้ความสนับสนุนกองทัพต่อต้านชิงกอบกู้หมิง”

“นี่” ไป๋อิ่งไม่รู้จะประเมินผู้ชายคนนั้นอย่างไรดี เธอเป็นเพียงคนโบราณที่ไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับบ้านเมือง

“สรุปแล้วว่าคนคนนี้เป็นคนดีหรือเปล่า”

สำหรับหลายๆคนพวกเขาไม่เข้าใจถึงความซับซ้อนของคนมีเพียงต้องการข้อสรุปว่าคนคนนั้นเป็นคนดีหรือคนเลว

“คนคนนี้ก็มีพฤติกรรมแบบเดียวกันกับคนที่ผมเพิ่งส่งไปนรก” โจวเจ๋อยิ้ม หยิบถ้วยแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์

โจวเจ๋อส่ายหัว “คุณสงสารเขาเหรอ”

“การรักชีวิตนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์หรือเปล่า” ไป๋อิ่งกล่าวว่า “ฉันตายไปแล้ว แต่ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ฉันก็ไม่คิดว่าการตายร่วมกับฮ่องเต้นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ความตายเป็นสิ่งที่แย่เสมอ”

โจวเจ๋อวางถ้วยน้ำลง “ผมตายแล้วและกลับมาจากความตาย ผมพยายามจะมีชีวิตอยู่ ดังนั้นผมจึงไม่มีสิทธิ์จะถามใครว่าควรตายหรือไม่ควรตาย”

ไป๋อิ่งพยักหน้า

“ทุกอย่างต้องอยู่ในสถานการณ์เฉพาะ หากคุณต้องการเข้าใจความคิดของคนโบราณคุณก็ต้องใส่ตัวเองเข้าไปในยุคนั้น และพยายามทำความเข้าใจกับธรรมเนียมหรือค่านิยมของยุค

จากมุมมองปัจจุบัน แน่นอนความสามัคคีของชาติเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังตั้งแต่คนจีนเกิดขึ้นมา แต่ในปลายราชวงศ์หมิงทุกคนมีจุดยืนของตนเอง

คุณคงไม่รู้ว่าชาวนาสมัยก่อนนั้นล้วนแต่คิดว่าฮ่องเต้จะต้องกินซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่ 10 ลูกทุกวันในตอนเช้า สำหรับพวกเขาแล้วซาลาเปา 10 ลูกเป็นอาหารหรูหราที่สุดที่พวกเขาจะคิดได้

ดังนั้นในเมื่อจุดยืนแตกต่างกันเราจึงไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปประเมินคนอื่น จริงอยู่ที่ชายคนนี้เคยสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ชิงอีกทั้งยังพยายามให้การสนับสนุนคนที่ก่อกบฏแต่นั่นมันก็ยากที่จะบอกว่าเขาเป็นคนดี “

“ทำไม? เขาต้องตายตามฮ่องเต้ไปเท่านั้นหรือถึงจะเป็นคนดี? “ไป๋อิ่งไม่เข้าใจ

“ใช่! เขาต้องตาย” โจวเจ๋อตอบอย่างจริงจัง “รวมทั้งผีที่ผมพึ่งส่งไปนรกในคืนนี้ด้วย!”

หลังจากนั้นโจวเจ๋อก็สูดหายใจเข้าลึกๆและชี้แจงว่า

“เมื่อกองทัพชิงเข้าสู่หนานจิง เฉียนยี่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่สุดในหนานจิงขณะนั้น เขานำผู้คนคุกเข่าต้อนรับกองทัพชิงเข้ามาในเมืองและยอมจำนนต่อชาวแมนจู

เขาไม่สามารถยอมแพ้และไม่มีสิทธิ์ยอมแพ้

ชื่อเสียง ตัวตน อำนาจ สถานะของเขา เขาเพลิดเพลินในสิ่งพวกนี้มาตลอดชีวิตของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นราชวงศ์หมิงมอบให้

ดังนั้นในเมื่อเขาได้รับผลประโยชน์มาอย่างมากมายจากราชวงศ์หมิงเขาก็สมควรที่จะต้องรับใช้ราชวงศ์หมิงจนตาย นี่ต่างหากถึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

คุณต้องเข้าใจว่าเขาเป็นข้าราชการระดับสูงซึ่งมันไม่เหมือนกับปัจจุบัน ผลประโยชน์ที่เขาได้รับนั้นมากมายมหาศาลแม้แต่ครอบครัววงศ์ตระกูลของเขา พวกเขาก็ได้รับผลประโยชน์ไปด้วย “

ไป๋อิ่งฟังแล้วพยักหน้า

“ยกตัวอย่างเช่นชายในวัดขงจื๊อซึ่งมีตำแหน่งเป็นจิ่วชิง ซึ่งเทียบเท่ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงในปัจจุบัน หลังจากที่เขายอมจำนนแล้วไม่เพียงไม่ตายเท่านั้นตำแหน่งของเขายังสูงขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเขาจำเป็นต้องลงนรกเพื่อรับใช้กรรมของตัวเอง “

“ฟังแล้วเวียนหัว” ไป๋อิ่งส่ายหัว

“นี่คือร้านหนังสือ คุณก็ค่อยๆอ่านไปจะได้เสริมความรู้ให้กับตัวเอง” โจวเจ๋อทุบไหล่เบาๆแล้วพูดว่า “คุณไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว”

ไป๋อิ่งเหลือบมองโจวเจ๋อคล้ายจะบอกว่าเธอมีงานต้องทำมากมาย

โจวเจ๋อลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้า หลังจากที่ออกจากห้องน้ำเขาก็เห็นไป๋อิ่งกำลังเล่นเกมอยู่ เขาจึงเดินกลับมาที่เก้าอี้หลังเคาน์เตอร์ของตัวเอง

เจ้านายและสาวใช้แม้ว่าจะอยู่ร่วมกันมานานแต่จริงๆแล้วประโยคที่พวกเขาได้พูดกันอย่างจริงจังก็มีน้อยมาก

แน่นอนว่าบรรยากาศดีๆแบบนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะไป๋อิ่งทิ้งหนังสือไว้ทันทีที่เขาเผลอจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมอย่างสนุกสนานเหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม มีแขกอีกคนอยู่ในร้าน เขาเป็นชายวัยกลางคน สวมเสื้อแจ็กเก็ตสีดำ ใบหน้าของเขาหยาบกร้านและเสื้อผ้าของเขาค่อนข้างจะมอซอ เขาดูเรียบง่ายและซื่อสัตย์

“เถ้าแก่ ผมขอติดประกาศไว้ตรงนี้ได้ไหมครับ” ชายคนนั้นถามโจวเจ๋ออย่างนอบน้อม

“ประกาศอะไรครับ” โจวเจ๋อถาม

“ประกาศหาคนครับ” ชายคนนั้นตอบอย่างตรงไปตรงมามาก

“ติดไว้เลยครับ.” โจวเจ๋อลุกขึ้นเดินไปที่ประตูร้านและมองดูฝ่ายตรงข้ามติดป้ายประกาศอยู่ที่หน้าร้านของเขา

“ไม่มีรูป?” โจวเจ๋อเห็นว่ามีเพียงคำพูดและไม่มีรูปถ่ายอยู่ในประกาศ

“ตอนที่เธอถูกพาตัวไป เธอเพิ่งอายุได้ไม่กี่เดือน ผมไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลย” ชายคนนั้นหยิบบุหรี่ของตัวเองออกมามอบให้กับโจวเจ๋อ “อย่ารังเกียจเลยครับ”

โจวเจ๋อหยิบบุหรี่แล้วถาม “ลักพาตัว?”

“ไม่ เธอถูกส่งไปอุปถัมภ์ ตอนนั้นเธอมีพี่สาวคนหนึ่งแล้วและนโยบายเรื่องการมีลูกคนเดียวยังถูกใช้อยู่ ผมไม่มีเงินจ่ายและมันกระทบกับงานของผมดังนั้นเราจึงมอบเธอให้กับผู้อุปถัมภ์ไป”

“อ๋อ”

“หลังจากนั้นเรามีลูกชายอีกคน ตอนนี้น้องชายของเธอป่วย เขาเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผมรู้แค่ว่าครอบครัวที่เลี้ยงเธออาศัยอยู่ใกล้ที่นี่เมื่อสิบปีก่อน เลยหาได้แค่ที่นี่

พี่สาวคนโตของเด็กมีสเต็มเซลล์ไม่ตรงกัน ตอนนี้มีแต่เธอเท่านั้นที่ช่วยชีวิตน้องชายได้ พวกเราทั้งครอบครัวจะได้พบกันอีกครั้งด้วย “

“น้องชาย?” โจวเจ๋อขมวดคิ้วและถามว่า “ปีนี้เธออายุเท่าไหร่?”

“สิบเจ็ด.”

“น้องชายของเธออายุเท่าไหร่”

“สิบหก”

“น่าสงสาร” โจวเจ๋อถอนหายใจ

“ใช่แล้ว เขาเป็นเด็กดีมาก เถ้าแก่ผมขอรบกวนหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมจะไปติดประกาศอยู่ที่ร้านอื่นอีก คาดว่าอีกไม่นานพวกเราคงได้พบกัน จากนั้นครอบครัวของเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้า “

ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างจริงใจ แล้วเดินไปที่ซอยอื่น

หลังจากที่ชายวัยกลางคนเดินไปโจวเจ๋อก็บ่นออกมาเบาๆว่า

“แย่จริงๆ”

จากนั้นโจวเจ๋อก็ฉีกป้ายประกาศทิ้ง

ลูกสาวคนที่สองอายุ 17 ปี และลูกชายคนสุดท้องอายุ 16 ปี

กล่าวคือ ชายวัยกลางคนที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์คนนี้หลังจากส่งลูกสาวคนที่สองออกไป ก็ได้ให้กำเนิดบุตรอีกคนหนึ่งกับภรรยาทันทีด้วยความรู้สึกเสียใจและโหยหา

ดังนั้นการไม่มีเงินเสียค่าปรับนั้นจึงเป็นเรื่องโกหก เขาแค่อยากจะมีลูกชาย ลูกคนแรกคือลูกสาว ลูกคนที่สองคือลูกสาว เขาเลยยกลูกคนที่สองให้กับคนอื่น

พวกเขาไม่เคยติดต่อกับครอบครัวอุปถัมภ์ที่รับลูกสาวของพวกเขาไปเลี้ยงด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถหาตัวครอบครัวนั้นเจอ นั่นแสดงว่าครอบครัวนี้ไม่เคยรักลูกสาวคนที่สองของตัวเองเลย

ตอนนี้เนื่องจากลูกชายของพวกเขาเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว พวกเขาจึงต้องหาคู่ที่ตรงกัน เนื่องจากลูกสาวคนโตของพวกเขาไม่สามารถจับคู่ได้ พวกเขาจึงคิดถึงลูกสาวอีกคนของพวกเขา

เป็นเวลากว่าสิบกว่าปีแล้วที่ลูกสาวของพวกเขาถูกส่งตัวไป พวกเขาอาจรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่เสียใจ ไม่เช่นนั้นก่อนหน้านี้พวกเขาคงออกค้นหาเธอแล้ว

ตามจิตวิทยาแล้วคนเราเมื่อโกหกซ้ำๆพวกเขาก็จะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองโกหก อย่างเช่นชายวัยกลางคนคนนี้

เขารู้สึกว่าเขายังคงรักและคิดถึงลูกสาวคนที่สองของเขา เขารู้สึกว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องส่งเธอไป เขารู้สึกว่าเขาถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น

พวกเขาไม่คิดว่าลูกสาวที่พวกเขาส่งไปตอนนี้อายุ 17 ปีแล้ว เธอควรจะไปโรงเรียนมัธยม มีสังคมของเธอเอง และมีชีวิตที่ไม่ต่างจากเพื่อนของเธอ

แม้แต่พ่อแม่บุญธรรมของเธออาจไม่ได้บอกเธอว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่บุญธรรมเลย เธอคิดว่าพ่อแม่บุญธรรมเป็นพ่อแม่แท้ๆ ของเธอเอง

วันเวลาที่ควรจะผ่านไปอย่างสงบของเด็กสาวกลับต้องพังทลายลงด้วยสิ่งที่ชายคนนี้ตามหา! คิดว่าเด็กสาวคนนั้นจะดีใจหรือเปล่าที่เธอได้ทราบความจริง?

“เจ้านายคุณเป็นอะไร” ไป๋อิ่งมองไปที่โจวเจ๋อที่ยืนอยู่ที่ประตูและถาม

“ผมนึกถึงอะไรบางอย่าง” โจวเจ๋อส่ายหน้าแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้หลังเคาเตอร์อีกครั้ง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด