แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 136 มิติสมบูรณ์แล้ว

อ่านนิยายจีนเรื่อง แม่ครัวยอดเซียน ตอนที่ 136 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“ทั้งหมดนี้ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง” รู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ นึกไม่ถึงเลยว่านังหนูจะมีความลับขนาดนี้อยู่กับตัว คาดว่าคนบ้านสกุลหลงและสกุลจ้านคงไม่มีใครรู้ นังหนูเก็บความลับไว้ได้มิดชิดจริง ๆ

“เวิ่นเทียน เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ” เฟิ่งอิงเสวี่ยกล่าวถาม

“อิงเสวี่ย เจ้าก็รู้สึกว่าเหมือนไม่จริงเลยใช่ไหม” หนานกงเวิ่นเทียนถาม

“ใช่ แต่ทั้งหมดนี้คือของจริง” เฟิ่งอิงเสวี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน

“ขอโทษที ทั้งหมดนี้คือของจริง ข้าก็นึกว่านังหนูจะบอกพวกเจ้าหลังจากที่แต่งงานกัน คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้” เอ๋าเลี่ยเดินเข้ามาพูด

“ท่านเอ๋าเลี่ย หลิวหลีไม่เป็นอะไรใช่ไหม” หนานกงเวิ่นเทียนถามด้วยความกังวล

“เฮ้อ นังหนูทำอะไรไม่คิด เป็นเช่นนี้ทุกครั้งเลย ครั้งนี้นางถูกเพลิงอัคคีทำร้ายจนอาการบาดเจ็บไม่น้อย คงต้องใช้เวลารักษาตัวสักพักอย่างน้อยก็ต้อง 10 ปีบวกกับนางจะต้องดูดซึมเพลิงอัคคีชนิดนี้ก็คงต้องใช้เวลานานกว่านั้น” เอ๋าเลี่ยถอนหายใจแล้วพูดขึ้น

“แต่โชคดีที่เวลาในนี้กับข้างนอกแตกต่างกัน นังหนูรักษาตัวหายก่อนการจัดอันดับผู้ถูกเลือกจะเริ่มต้นขึ้นแน่นอน” เอ๋าเลี่ยถอนหายใจแล้วพูดเสริม

“จะทันการจัดอันดับผู้ถูกเลือกไหมก็ช่างมันเถอะ ขอแค่นังหนูปลอดภัยก็พอ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้สนใจการจัดอันดับผู้ถูกเลือกมากนัก

“ตอนนี้ข้าเริ่มรู้สึกเชื่อสายตาของนังหนูขึ้นมาแล้ว” ตอนนี้เอ๋าเลี่ยพอใจในตัวหนานกงเวิ่นเทียนเป็นอย่างมาก

“เจ้าหนู น้ำในสระศักดิ์สิทธิ์นั้นก็มีประโยชน์ต่อเจ้าเช่นกัน หากไม่รังเกียจที่นังหนูแช่อยู่ก็ตักมาดื่มสักแก้วแล้วไปเข้าฌานสิ อยู่ที่นี่เจ้าจะได้อะไรกลับไปไม่น้อยเช่นกัน” เอ๋าเลี่ยกล่าว

ใช่แล้ว เมื่อหลิวหลีเข้ามาในมิติก็ถูกเอ๋าเลี่ยจับแช่สระน้ำวิญญาณ เพราะนังหนูได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงต้องการพลังเซียนจำนวนมาก

หลิวหลีอยู่ในสระน้ำวิญญาณ อดทนกับความเจ็บปวดทางร่างกายและประสาทเซียน พยายามที่จะฟื้นฟูตัวเอง อดทนกับความเจ็บปวดที่คนทั่วไปไม่สามารถทนได้

“ก็ได้ ข้าล้อเจ้าเล่น ก่อนที่ข้าจะวางนังหนูลงไป ข้าเก็บไว้ให้เจ้าขวดหนึ่งแล้ว” จริงๆเลย ดูท่าทางของเจ้าหนูนี่คงจะดื่มลงไปอย่างไม่ลังเลใจแน่

“ท่านเอ๋าเลี่ยข้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม เด็กคนนั้นเป็นใคร ทำไมมองข้าแปลกๆตลอดเลย” หนานกงเวิ่นเทียนชี้ไปที่เด็กที่กัดนิ้วอยู่ด้านข้าง เขาไม่รู้จักอีกฝ่ายแต่ทำไมสายตาที่มองเขาถึงได้ดูแค้นเคืองขนาดนั้น เขามั่นใจว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน และไม่มีลูก

“เจ้าหมายถึงโม่หรานงั้นหรือ เขาคือภูติอาวุธที่อยู่ในมิตินี้ แต่ว่าทำไมถึงมองเจ้านั้นข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” เอ๋าเลี่ยมองไปที่โม่หราน บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจว่าภูติอาวุธตนนี้คิดอะไรอยู่

“เจ้าอยากจะช่วยนายท่านไหม” โม่หรานกัดฟันเดินไปข้างหน้าหนานกงเวิ่นเทียนแล้วพูดขึ้น

“นายท่าน” นี่เป็นศัพท์ใหม่ หมายถึงหลิวหลีหรือ

“อืม ก็นายท่านนั่นล่ะ เจ้าสามารถช่วยนางได้” โม่หรานกล่าว

“ช่วยอย่างไร” หนานกงเวิ่นเทียนถามด้วยความสงสัย

“นางบอกว่าต้องให้เจ้ายินยอมเท่านั้น” โม่หรานยังคงจำคำพูดของหลิวหลีได้ หากคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ยินยอมล่ะก็ เขาก็จะถูกนายท่านโยนกลับเข้าไปในเตาปรุงยา

“ได้ ข้ายินยอม เจ้าพูดเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“นำหยกของเจ้าออกมาให้ข้าใช้หน่อย” โม่หรานกล่าว ในใจกลับรู้สึกดีใจเล็กน้อย ในที่สุดก็จะสมบูรณ์แล้ว

“หยกหรือ นี่” หนานกงเวิ่นเทียนหยิบหยกของตัวเองออกมา

“ไม่ใช่ชิ้นนี้ อีกชิ้นหนึ่ง” โม่หรานส่ายหัว

“ชิ้นนี้หรือ” หนานกงเวิ่นเทียนนำหยกประจำสกุลที่ลุงของเขาให้ออกมาแล้วถามขึ้น

“ใช่ ชิ้นนี้แหละ ไม่ต้องเป็นห่วงไม่เสียหายอย่างแน่นอน” โม่หรานพูดด้วยความดีใจ

“หรือข่าวลือที่ว่าท่านอาซินเยว่ได้รับความช่วยเหลือจากหยกประจำสกุลคือเรื่องจริง” หนานกงเวิ่นเทียนตื่นเต้นเล็กน้อย

“อะไรคือเรื่องจริงเรื่องเท็จล่ะ สิ่งที่ต้องการคือมิติในหยกประจำสกุลของเจ้าต่างหาก” เอ๋าเลี่ยยังไม่ทันดูจบก็อดที่จะบ่นขึ้นมาไม่ได้

 “เจ้าหนูลืมคำพูดของนังหนูแล้วหรือ นังหนูฟื้นขึ้นมารู้เข้าเจ้าจะต้องกลับไปอยู่ในเตาแน่ เจ้าเชื่อไหมล่ะ” เอ๋าเลี่ยพูดอย่างไม่เห็นด้วย

“ข้ารู้ แต่ว่าเขาพูดแล้วนี่ว่าเขายินยอม” โม่หรานมองเอ๋าเลี่ยด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น ฮือ ฮือ ฮือ คู่พันธสัญญาคนนี้ของนายท่านโหดชะมัดเลย

“เจ้าพูดไม่ชัดเจน มันแตกต่างอะไรจากการหลอกเอาหยกจากเขา” เอ๋าเลี่ยพูดเสียงเข้ม

“พูดมาให้ชัดเจน เจ้าต้องการหยกชิ้นนี้เพื่อไปช่วยหลิวหลีอย่างไร” หนานกงเวิ่นเทียนก็เริ่มไม่ค่อยเชื่อภูติอาวุธตนนี้แล้ว

“ก็ได้ ข้าจะพูด มิตินี้ขาดแค่หยกชิ้นสุดท้ายแล้ว หลังจากมิติสมบูรณ์ก็จะกลายเป็นดินแดนน้อย ๆ สระน้ำวิญญาณก็จะมีความเข้มข้นมากขึ้น อัตราส่วนเวลาก็จะเพิ่มมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้นายท่านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาก็จะสามารถไปทันการจัดอันดับผู้ถูกเลือกได้ ไม่แน่ว่านายท่านอาจจะมีความก้าวหน้าขึ้นมากก็ได้” โม่หรานมองคนพวกนั้นแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีหวาดกลัว

“อ่ะเอาไป” หนานกงเวิ่นเทียนฟังจบก็มอบหยกให้ภูติอาวุธตนนี้อย่างไม่ลังเลใจ

“ไม่ต้องเป็นห่วง หยกนี้จะไม่เสียหายอย่างแน่นอน” โม่หรานถือหยกชิ้นนี้ ยิ้มตาหยีอย่างมีความสุข ในที่สุดเขาก็จะสมบูรณ์แล้ว

โม่หรานถือหยกไว้ในมือพลางหลับตาลง เอ๋าเลี่ย หนานกงเวิ่นเทียนกับเฟิ่งอิงเสวี่ยสัมผัสได้ว่าแผ่นดินท้องฟ้าเกิดความเคลื่อนไหว จื่อฉีที่เข้าฌานอยู่ก็ออกมาจากฌาน

“เกิดอะไรขึ้น พระเจ้า” จื่อฉีมองดูความเปลี่ยนแปลงด้านนอกแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง

หลิวหลีที่กำลังเผชิญอยู่กับความเย็นจัดกับร้อนจัดก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสระน้ำวิญญาณเช่นกัน เหมือนจะมีความเข้มข้นมากขึ้น ดูดซึมและโจมตีเพลิงดาราทมิฬอย่างเต็มที่ หลิวหลีตัดสินใจว่าจะต้องพิชิตเพลิงอัคคีจนอยู่หมัดได้

“นี่ก็คือมิติที่สมบูรณ์” เอ๋าเลี่ยสูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง พลันสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของพลังเซียนที่อยู่ภายในร่างกาย

“พลังเซียนนี้มีความเข้มข้นกว่าด้านนอกหลายสิบเท่า” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดด้วยความประหลาดใจ

“สามีของนายท่าน นี่หยกของเจ้า” โม่หรานคืนหยกให้หนานกงเวิ่นเทียน เพียงแต่โม่หรานซึมไปเล็กน้อย เดิมเพราะนึกว่ามิติสมบูรณ์แล้วเขาก็จะโตขึ้นไปด้วย ผลคือเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่เหมือนเดิม

“ทำไมล่ะโม่หราน มิติที่เจ้าหวังไว้สมบูรณ์แล้ว ทำไมไม่เห็นเจ้าจะดีใจ” เอ๋าเลี่ยตีไปที่โม่หรานเบาๆแล้วพูดขึ้น

“คู่พันธสัญญาของนายท่าน ข้านึกว่ามิติสมบูรณ์แล้วข้าก็จะโตขึ้นด้วยแต่ผลปรากฏว่าไม่เลย” โม่หรานรู้สึกผิดหวังอย่างมาก

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าได้อะไรมาบ้างหรือไม่” เอ๋าเลี่ยถามต่อ

“ก็มีอยู่บ้าง ภารกิจในภายภาคหน้าของนายท่านหนักหนานัก คำนวณเวลาดูแล้วภายในร้อยปีนี้จะต้องเกิดสงครามใหญ่ระหว่างเทพกับมารขึ้นแน่” โม่หรานทำสีหน้าเคร่งเครียดแล้วพูดขึ้น

“เจ้าคำนวณอย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ” เอ๋าเลี่ยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ไม่ได้ล้อเล่น ความทรงจำของข้าสมบูรณ์แล้วไม่ได้กระจัดกระจายอีกต่อไป มิตินี้บุคคลในตำนานเป็นคนทิ้งเอาไว้ เจ้าของมิติทุกรุ่นจะเป็นผู้กอบกู้โลกและถือกำเนิดมาเพื่อกอบกู้โลกใบนี้” โม่หรานกล่าว

“ให้นังหนูเป็นผู้กอบกู้โลก อย่าล้อเล่นเลย นิสัยของนังหนูไม่เข้ากับการเป็นผู้กอบกู้โลกเลยสักนิด” เอ๋าเลี่ยไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

“มันคือเรื่องจริง ข้าไม่ได้ล้อเล่น” โม่หรานร้อนใจอยู่บ้างเพราะเขาไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ

“ท่านอาเอ๋าเลี่ย ทำไมถึงพาคู่หมั้นของท่านพี่เข้ามาล่ะ” จื่อฉีถามขึ้นด้วยความสงสัย ท่านพี่บอกว่าอย่าเพิ่งบอกพี่เขยในอนาคตไม่ใช่หรือ

“เอ่อ จื่อฉี ทำไมเจ้าออกฌานมาแล้วล่ะ” เอ๋าเลี่ยไม่ได้บอกจื่อฉีที่เข้าฌานอยู่ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

“เมื่อครู่เกิดแผ่นดินไหวข้าก็เลยออกฌาน จึงพบว่าบรรยากาศข้างนอกเปลี่ยนไปเล็กน้อย” จื่อฉีพูดอธิบาย

“ไม่มีอะไร โม่หรานได้รับมิติในหยกประจำสกุลของพี่เขยเจ้าก็เลยสมบูรณ์แล้ว” เอ๋าเลี่ยหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาแล้วอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น

“อย่างนี้นี่เอง ท่านพี่บอกว่าห้ามบังคับว่าที่พี่เขยไม่ใช่หรือ อีกอย่างทำไมมาอยู่ที่นี่กันหมด แล้วท่านพี่ล่ะ” จื่อฉีกวาดตามองรอบ ๆด้วยความสงสัย ทำไมถึงไม่เห็นท่านพี่นะ

“ท่านพี่ของเจ้าสัมผัสบางอย่างได้จึงไปเข้าฌานแล้ว” เอ๋าเลี่ยโกหกหน้าตาย

“อาเอ๋าเลี่ย ข้าไม่ใช่เด็กๆแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านพี่อีกแล้วใช่ไหม ตรงนั้นไม่ปลอดภัยก็เลยพาพี่เขยเข้ามาด้วย พี่เขยจะตัดใจแยกจากท่านพี่ได้อย่างไร ท่านพี่น่าจะบาดเจ็บไม่น้อย” จื่อฉีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ท่านพี่คนนี้ไม่รักชีวิตอีกแล้ว

“อ่ะแฮ่ม เอาเถอะ ท่านพี่ของเจ้าได้เพลิงอัคคีชนิดที่ 6 มาทำให้บาดเจ็บเล็กน้อย จึงไปเข้าฌานเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพิชิตเพลิงอัคคีชนิดที่ 6 ไปด้วย ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่เป็นอะไรหรอก” เอ๋าเลี่ยพูดเรื่องจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง หนานกงเวิ่นเทียนก็ไม่กล้าพูดอะไร

“ท่านพี่ได้เพลิงอัคคีมาอีกแล้วหรือ” จื่อฉีดีใจแทนหลิวหลี ถ้าเป็นเช่นนี้ท่านพี่ก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นสิ

“เพราะฉะนั้น จื่อฉีเจ้าจะต้องไปเข้าฌาน ตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝน ไม่เช่นนั้นจะเป็นตัวถ่วงของท่านพี่เจ้ามากเกินไป” เอ๋าเลี่ยพูดด้วยความหนักแน่น

“รู้แล้ว ท่านอาเอ๋าเลี่ยข้าจะพยายาม ข้าจะไปบำเพ็ญฝึกฝนแล้ว” จื่อฉีเดินจากไปด้วยความมุ่งมั่น

“ท่านเอ๋าเลี่ย โกหกเขาเช่นนี้จะดีหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนยืนดูโดยไม่ปริปากพูดอะไร

“ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไร พูดความจริงไป เจ้าเด็กนั่นก็ดื้อด้านเหมือนเจ้า หากรู้ว่าหลิวหลียังไม่พ้นจากอันตรายก็จะรอจนกว่าหลิวหลีพ้นขีดอันตรายแล้วถึงจะสามารถไปทำเรื่องอื่นได้อย่างสบายใจ” เอ๋าเลี่ยส่ายหัวแล้วพูดขึ้น

“ก็จริง ข้าเองก็วางแผนว่ารอให้แน่ใจว่าหลิวหลีปลอดภัยแล้ว ค่อยดื่มน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์แล้วไปฝึกบำเพ็ญ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว

“เห็นไหมล่ะ เจ้าเป็นคนมีวาสนา ตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝน พยายามบรรลุเป็นเซียนพร้อมกับหลิวหลีให้ได้” เอ๋าเลี่ยตบไหล่หนานกงเวิ่นเทียนเบา ๆแล้วพูดขึ้น

“ข้าจะพยายาม ในหนทางแห่งธรรมมีคู่ครองร่วมทางด้วยเป็นเรื่องที่มีความสุข ข้าอยากจะมีความสุขเช่นนี้ตลอดไป” ในขณะที่หนานกงเวิ่นเทียนพูดประโยคนี้ แววตาก็เผยความอบอุ่นออกมา

การเสียสละของนังหนูก็จะได้รับสิ่งตอบแทนที่เท่าเทียมกัน เอ๋าเลี่ยมองไปยังทิศทางสระน้ำวิญญาณที่หลิวหลีอยู่ นังหนูจะออกฌานได้เมื่อไรนะ

ส่วนด้านนอก คนทั้งสองย่อมไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในค่ายกลวงกตและค่ายกลภาพลวงตาได้ออกมาหมดแล้ว แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของคูมู่ คนจำนวนไม่น้อยพากันสงสัยว่าใครกันที่ทำความดีแล้วไม่ยอมบอกชื่อ จื่ออีได้ยินเรื่องนี้เข้าแต่ไม่พบอาจารย์อาก็เกิดสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา แล้วอาจารย์อาล่ะ

……………………………………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด