แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 179 ความเข้าใจของมั่วหลี

อ่านนิยายจีนเรื่อง แม่ครัวยอดเซียน ตอนที่ 179 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เสวียนหั่วนึกว่าเพียงครู่เดียวศิษย์จะกลับมา ปรากฏว่าต้องรออยู่นานกว่าจะมา โดยอุ้มเด็กสาวคนหนึ่งในอ้อมแขน แถมมีเด็กผู้ชายเดินตามมาด้านหลัง ลูกศิษย์ของเขาก็สัมผัสได้เช่นเดียวกับเขา รับลูกศิษย์กลับมาสองคน ทำภารกิจสำเร็จเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้งั้นหรือ

“ศิษย์ข้า นี่คือศิษย์หลานหรือนี่” เด็กผู้หญิงยังดูอะไรไม่ค่อยออกนัก แต่เด็กผู้ชายที่ดูซื่อๆคนนี้ น่าจะไม่ได้มีคุณสมบัติที่ศิษย์เขาต้องการนัก

“ไม่เจ้าค่ะ อาจารย์เลิกคิดเรื่องศิษย์หลานไปได้เลย ข้าว่าจะไม่รับศิษย์แล้ว ตอนแรกกะจะฝืนรับศิษย์สักคนหนึ่ง แต่เอาเถอะ น่าเสียดาย คนพวกนี้มีแต่พวกไม่ได้ความ หาว่าพวกเขาไม่ได้ความเหมือนจะเป็นการให้ค่าพวกเขาเกินไปเสียด้วยซ้ำ ไม่มีคนที่ข้าพอใจสักคน แล้วเด็กในอ้อมแขนของข้าคือน้องสาวแท้ๆของข้าเอง มั่วหลี ส่วนเด็กผู้ชายข้างๆคนนี้ เหมือนจะเกี่ยวข้องกับสกุลฮัว แต่ยังไม่แน่ชัดนัก ข้าคงต้องรอคนตรวจสอบ” หลิวหลีชี้เด็กสาวในอ้อมแขน นี่น้องสาวแท้ๆของนาง ส่วนเด็กผู้ชายคนข้างๆ อาจจะเป็นคนของสกุลฮัว

“อย่างนี้เองหรือเนี่ย ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะไม่บังคับเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวเจ้า?” ก็ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่สำนักนอกไม่ใช่หรือ ทำไมถึงกลับมาเร็วแบบนี้ล่ะ ทนความลำบากไม่ได้หรือ แต่ดูแล้วไม่น่าจะใช่สักหน่อย

“เฮ้อ นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมข้าถึงบอกพวกนั้นเป็นคนไม่ได้ความ เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้ว่าหยกคุ้มครองที่ข้าให้น้องสาวของข้าไว้เกิดความเคลื่อนไหว ข้าจึงรีบไปดู ผลคือมีคนมาชิงของของน้องสาวข้า แถมกำลังจะลงมือทำร้ายนาง ก็เลยถูกข้ากันออกไป พอข้าถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทุกคนก็ตัวสั่นราวกับลูกนก ไม่มีใครยอมพูดสักคน พอรู้ว่าข้าคือท่านปรมาจารย์หลิวหลี หวาดกลัวแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร น่าผิดหวังจริงๆ” หลิวหลีแสดงความรู้สึกเป็นห่วงเด็กรุ่นใหม่พวกนั้น

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่อย่าฝืนเลย” ไม่มีศิษย์หลานก็ดีเหมือนกัน จะบังคับให้นางต้องรับศิษย์ใจคด ศิษย์จะรั้งทำให้นางลำบากเปล่าๆ

“อาจารย์เข้าใจก็ดีแล้ว ข้าพาเด็กสองคนกลับไปตรวจร่างกายเสียหน่อย” หลิวหลีเป็นห่วงน้องสาว กลับไปตรวจสักหน่อยน่าจะสบายใจดี ส่วนเด็กผู้ชายคนนี้นางเห็นแก่ที่เขาออกหน้าช่วยน้องสาวของนาง จึงพามาด้วยกัน เขาจะเป็นคนสกุลฮัวหรือไม่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเอง

นางวางน้องสาวลงบนเตียง พลังเซียนของหลิวหลีไหลเวียนในร่างมั่วหลี นางพบว่าน้องสาวทำตามคำสั่งนางเป็นอย่างดี ภายในร่างกายไม่มีอาการบาดเจ็บ พลังบำเพ็ญเพียรก็พัฒนาขึ้นอย่างมั่นคง เหลือเพียงนิดเดียวก็จะบรรลุช่วงฝึกฝนลมปราณชั้นที่ 7 เส้นลมปราณเป็นเหมือนอย่างที่นางคิดไว้ เส้นลมปราณเองก็ค่อยๆขยายตัวช้าๆนางถือว่าทัน เส้นลมปราณของนังหนูยังไม่เสียหายเพียงแต่เมื่อนางมองเข่ากับฝ่ามือที่ถลอกปอกเปิกของน้องสาว คนชั่วนั่นบังคับให้นางต้องคุกเข่า ดูแล้วตัวเองคงจะลงมือเบาเกินไป

หลิวหลีรักษาอาการบาดเจ็บบนตัวของน้องสาวด้วยความชำนาญ แผลภายนอกร่างกายรักษาจนหายแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะหลงเหลือแผลในใจหรือเปล่า

เมื่อเหลือบเห็นเด็กชายที่กำลังมองมาด้วยแววตาอิจฉา หลิวหลีจึงลากเขามาตรวจภายในร่างกาย แล้วจึงได้พบว่าเด็กผู้ชายคนนี้อายุน้อยนัก แต่กลับมีบาดแผลซ่อนอยู่ในร่างกายจำนวนไม่น้อย บางบาดแผลเกิดตั้งแต่เขาอายุขวบสองขวบด้วยซ้ำ ดูท่าแล้วพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของเขาคงจะไม่ได้เลี้ยงเขาดีเท่าไหร่นัก

นางยกมือขึ้นเรียกอ่างน้ำขนาดใหญ่ออกมา ใส่ยาหลายชนิดลงไป ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนใส่ยาชะล้างไขกระดูกที่นางปรุงขึ้นเข้าไปครึ่งหลอด เพราะนางกลัวว่าฤทธิ์ยาจะรุนแรงเกินไป เด็กอาจทนไม่ไหว ใส่น้ำแร่ธรรมชาติเข้าไปในอุณหภูมิที่เหมาะสม ยกมือขึ้นปัดอีกครั้ง เด็กชายปรากฏตัวขึ้นในอ่างน้ำ รอบๆตัวเป็นผ้าผืนบางๆ

“หยางจิงหู่ แช่อยู่ในอ่างยา ถึงจะเจ็บก็ต้องอดทน” เดิมหยางจิงหู่คิดจะลุกขึ้น แต่พอได้ยินคำพูดของหลิวหลีก็ตัดสินใจไม่ขยับ เพราะเขาเจ็บปวดมาก เจ็บเหมือนกับมีมดหลายตัวกำลังรุมกัดเขา

“มั่วหลี สหายผู้นี้ของเจ้าไม่เลว ถึงแม้จะดูเป็นคนซื่อๆ แต่ดูเป็นคนขยัน”หลิวหลีเห็นว่าหยางจิงหู่เจ็บปวด แต่ไม่ส่งเสียงใดๆ ก็รู้ได้เลยว่าเป็นเด็กที่มีความอดทนอดกลั้นนัก

“เสี่ยวหู่เป็นคนดีมาก มักถูกพี่สาวบุญธรรมของเขารังแกอยู่เสมอ ข้าเคยยุให้เสี่ยวหู่ไม่ต้องไปช่วย ปรากฏว่าหยางชุ่ยก็มาร้องห่มร้องไห้ บอกว่าหากไม่มีพ่อแม่ของนาง เสี่ยวหู่ก็คงตายไปนานแล้ว เสี่ยวหู่ก็เลยต้องคอยช่วยเหลือนาง เพื่อจะตอบแทนบุญคุณ” มั่วหลีพูดถึงหยางชุ่ยก็ต้องกัดฟัน รู้อยู่ว่าคนผู้นั้นใจคด ตัวเองระวังตัวขนาดนั้น ก็ยังโดนเข้าจนได้

“คนที่รายงานว่าเจ้าขโมยของคือหยางชุ่ย เป็นพี่สาวบุญธรรมของหยางจิงหู่หรือ กินข้าวหม้อเดียวกันแต่นิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง ดูแล้วพ่อแม่ของหยางชุ่ยคงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่นัก คาดว่าคงจะเลี้ยงเสี่ยวหู่ให้มีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ เสี่ยวหู่ดูเหมือนจะแข็งแรง แต่บนเนื้อตัวมีบาดแผลที่มองไม่เห็นจำนวนมาก บางแผลมีตั้งแต่เขายังเด็กเลยด้วยซ้ำ”

“รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ใช่คนดี ดูลูกสาวก็พอจะรู้ว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนอย่างไร ท่านพี่ ข้ายากที่จะขจัดความโมโหในใจออกไปได้ ข้าไม่เคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อนตั้งแต่เด็กจนโต” มั่วหลีพูดพลางกำหมัดแน่น

“พี่รู้ พี่จะไม่โน้มน้าวให้เจ้าปล่อยวาง หรือแก้แค้น เจ้ารู้หรือไม่วิธีการแก้แค้นที่ดีที่สุดคืออะไร นั่นคือยามเจ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุด แล้วมองคนที่เคยเป็นศัตรูราวมองมดปลวก ให้พวกเขาต้องนับถือเจ้าไปตลอดชีวิต นี่คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” หลิวหลียังไม่ได้พูดต่อ ผู้ที่มีจิตใจมุ่งมั่นแน่วแน่ จะก้าวหน้า ส่วนคนที่จิตใจอ่อนแอ จะโมโหละทิ้งทุกสิ่งอย่าง กฏธรรมชาติจะวนอยู่เช่นนี้

ตอนที่หลิวหลีเล่าหลักสัจธรรมให้น้องสาวฟัง ข่าวเรื่องหลิวหลีปฏิเสธจะรับลูกศิษย์ก็กระจายไปทั่วสำนักเมฆาคล้อย เหตุผลก็คือเด็กพวกนั้นไม่ได้ความ ไม่มีใครเข้าตาสักคน มีคนที่ไม่ยอมรับก็ไปแอบสืบเรื่องราว พบว่าน้องสาวของท่านปรมาจารย์ไปอยู่ที่สำนักนอกช่วงหนึ่งถูกคนรังแกเข้า ถึงแม้คนที่ทำผิดจะถูกลงโทษ แต่คนพวกนั้นก็ยังคงกัดฟัน ปลาเน่าตัวเดียว เหม็นไปทั้งข้อง

ผู้บำเพ็ญระดับสูงของสำนักเมฆาคล้อยได้ยินเรื่องนี้ ตกใจจนเหงื่อท่วม ใครจะนึกว่า ปรมาจารย์ท่านนี้จะยอมให้น้องสาวที่อ่อนแอของตัวเองไปเจอกับความยากลำบากที่สำนักนอก ดูจากข่าวที่ได้รับน้องสาวของท่านปรมาจารย์หลิวหลีคนนั้นก็ไม่ใช่เด็กสาวที่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย เวลาทำงานกระฉับกระเฉง อีกทั้งฟืนที่ผ่าออกมาก็มีขนาดเท่ากันสม่ำเสมอ หลังจากได้ยินคำวิจารณ์จากปรมาจารย์หลิวหลี ทางสำนักตัดสินใจจะเข้มงวดกวดขันในนิสัยของลูกศิษย์ช่วงฝึกฝนลมปราณกลุ่มนี้ รวมไปถึงช่วงพื้นฐานก็ไม่เว้น

มั่วหลีประมวลคำพูดของพี่สาว คิดไปอยู่นาน

“ท่านพี่ ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะไม่เข้าใจ แต่ข้าเชื่อว่าไม่นานว่าข้าจะเข้าใจความหมายของมัน” ความหมายของพี่สาวคือการสังหารพวกเขาเป็นเรื่องที่ง่ายดาย แต่การให้พวกเขามีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน มองเห็นตัวเองที่ดีกว่าพวกเขาหลายสิบ หลายร้อยเท่าถึงจะเป็นการแก้แค้นที่ดีที่สุด

“สมแล้วที่เป็นน้องสาวของข้า ในเมื่อคิดได้แล้วก็ไปแช่ยาที่ทำขึ้นมาเพื่อเจ้า ไปผ่อนคลายเสียหน่อยเถอะ” หลิวหลีนำอ่างน้ำขนาดใหญ่แบบเดียวกันออกมา และเทยาลงไป แล้วบอกให้น้องสาวตนเองเข้าไป

“ท่านพี่ มีท่านอยู่ด้วยช่างดีจริงๆ” พูดจบมั่วหลีก็หลับตาลง นางยังจำภาพตอนนั้นได้อย่างชัดเจน เมื่อรู้ว่าพี่สาวของนางคือท่านปรมาจารย์หลิวหลี ทุกคนต่างพากันรู้สึกเสียดาย บางคนรู้สึกโมโหตัวเอง ทำไมถึงไม่รู้ให้เร็วกว่านี้ว่าตัวเองมีเพื่อนที่มีคนยิ่งใหญ่หนุนหลังแต่แล้วมันจะอย่างไร ตนเองโชคดีกว่าพวกเขามากจริงๆ อย่างน้อยเวลาพวกเขาต้องการใช้ยา ก็จำเป็นต้องใช้แรงกายเพื่อไปแลกมา คุณภาพได้มาก็ไม่ได้ดีนัก ตั้งแต่เกิดมาก็มียาคุณภาพชั้นเลิศให้เลือกใช้เป็นจำนวนมาก กินอาหารที่พี่สาวทำที่มีราคาแพงที่สุดในโลกบำเพ็ญเพียร เมื่อนางมีจุดเริ่มต้นที่สูงกว่าคนอื่น จะต้องรู้จักทะนุถนอม แล้วก็ต้องพยายามมากกว่าเดิม

“ทำไมรู้สึกว่านังหนูโตขึ้นไม่น้อยเลย” หลิวหลีรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวของน้องสาว นังหนูเริ่มจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เลวเลย ถึงแม้เวลาจะสั้นไปหน่อย แต่ผลที่ได้กลับมาก็ใช้ได้ทีเดียว

ณ โลกอสูรเทพ ตอนฮัวจิงเฟยได้ข้อความจากหลิวหลี ตอนแรกตื่นเต้นอย่างยิ่งแล้วเริ่มทำหน้าประหลาด หรือว่าเขาไปมีพี่น้องที่พลัดพรากจากไหน หรือว่าพ่อของเขาไปมีลูกที่ข้างนอกหรือ? นี่ไม่น่าจะถูกต้อง พ่อของเขาขี้เกียจออกจากบ้านด้วยซ้ำ จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่พี่น้องแท้ๆของเขา เอาเถอะ ไปถามท่านลุงที่รู้ทุกเรื่องภายในบ้านสกุลฮัวจะดีกว่า

“อะไรกัน คนดังของสกุลฮัวมีเวลามาหาลุงอย่างข้าด้วยหรือ ไม่ง่ายจริงๆ” ฮัวเชียนหนิวมองหลานชายที่หัวเราะอย่างประจบประแจง แต่รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่

“ท่านลุง หากไม่มีเรื่องอะไรข้าคงไม่มา” ฮัวจิงเฟยถูมือ

“พูดเถอะ มีเรื่องอะไร ถึงขนาดทำให้คนดังอย่างเจ้าต้องจัดการด้วยตัวเอง” เขาต้องสมองพังไปแล้วแน่ๆ ที่ไม่ให้พ่อของเขาลงมือกับเขา ดูท่าทางจะห่างหายจากการโดนซ้อมมานาน

“ท่านลุง บ้านสกุลฮัวของเรา มีลูกหลานใครคนไหนหลุดไปอยู่ข้างนอกบ้างหรือไม่” ฮัวจิงเฟยสงสัย บ้านสกุลฮัวของเขาคงไม่เหมือนสกุลหลงที่มีนังมารหลุดรอดออกไปข้างนอกกระมัง

“หลุดไปอยู่ข้างนอกหรือ เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีคนสกุลฮัวหลุดไปอยู่ภายนอก” ฮัวเชียนหนิวย้อนถาม

“เหมือนจะมีอยู่คนหนึ่ง หลิวหลีกลับสำนักเมฆาคล้อย ไปเก็บเด็กชายนามหยางจิงหู่ได้ หลิวหลีบอกว่ารู้สึกเหมือนเด็กคนนี้จะมีเชื้อสายสกุลฮัว แต่นางไม่แน่ใจนัก เลยให้ข้าไปตรวจสอบความสัมพันธ์ทางสายโลหิต แล้วถือโอกาสไปเที่ยวสำนักเมฆาคล้อยด้วย” ฮัวจิงเฟยกล่าว ส่วนประโยคสุดท้ายเขาเป็นคนพูดเสริมเอง

“เป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าเช่นนั้นข้าจะลองถามคนอื่นดู” ฮัวเชียนหนิวได้ยินเข้าก็เริ่มไม่แน่ใจ

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปดูว่าใช่คนสกุลฮัวหรือไม่” ฮัวจิงเฟยรู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องไปดูสักหน่อย

“ได้ ลองไปหาหลงหลิวหลีดู นังหนูคนนั้นสายตาแหลมคม ช่างน่าเชื่อถือ” หากถามว่าฮัวเชียนหนิวนับถือใคร หลิวหลีคือคนแรก สายตาของนังหนูถือว่าไม่เลวทีเดียว

“จริงด้วย ข้าพบว่าหลิวหลีมักจะได้เจอเรื่องดีๆที่คนอื่นไม่มีทางได้เจอ” ฮัวจิงเฟยก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

 ………………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด