มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 57 อินซานเป็นชื่อที่ดี

อ่านนิยายจีนเรื่อง มรรคาสู่สวรรค์ ภาค1 ตอนที่ 57 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

จิ๋งจิ่วมิได้บอกสิ่งที่ตัวเองพบกับเจ้าล่าเยวี่ย เขากล่าวว่า “อาศัยเพียงเสียงถอนใจ มันยังมิพอให้เจ้าต้องทำถึงขนาดนี้”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ตอนแรกข้าเองก็นึกว่าข้าคิดไปเอง แต่หลังจากนั้นมักจะรู้สึกว่ามันไม่ถูก ใจแห่งกระบี่ไม่สงบ หลังจากนั้นครึ่งปี ข้าทนไม่ไหว จึงได้ใช้เส้นสายของทางบ้านสืบเรื่องศิษย์เผ่าหมิงผู้นี้ คิดในใจว่าหากไม่มีอะไร ต่อไปจะได้ไม่ถึงคิดถึงเรื่องนี้อีก”

นับแต่ที่มนุษย์กับเผ่าหมิงหยุดสู้รบกันมา ทั้งสองฝ่ายก็มีการแอบติดต่อกันอย่างลับๆ มาหลายปี ตระกูลเจ้ามีสถานะที่สูงส่งในเมืองเจาเกอ ในกองทัพเองก็ค่อนข้างมีอิทธิพลอยู่เช่นกัน นางจึงมีช่องทางที่จะสืบได้

“แล้วสืบเจออะไรไหม?” จิ๋งจิ่วถาม

“มิใช่ว่าสืบเจออะไร หากแต่สืบไม่เจอคนผู้นี้”

เจ้าล่าเยวี่ยมองดูศพที่อยู่ในหลุมศพนั้นพลางกล่าวว่า “เผ่าหมิงคล้ายจะไม่เคยมีคนผู้นี้อยู่”

จิ๋งจิ่วกล่าว “เขาชื่ออะไร?”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ตอนอยู่บนเหลาสุรา เขาแจ้งนามตัวเองว่าอินซาน”

เผ่าหมิงให้ความสำคัญกับการที่เพลิงวิญญาณกลับสู่บ้านเกิด ผู้ที่เสียชีวิตอยู่ข้างนอกทุกคนจะถูกจดบันทึกลงไปในสมุดแห่งหมิงอย่างละเอียด

หากบนสมุดแห่งหมิงไม่มีชื่ออินซานนี้ ก็อธิบายได้เพียงว่านี่เป็นชื่อปลอม หรือไม่ก็มีความลับที่มากกว่านั้นแอบซ่อนอยู่

“อาจารย์เมิ่ง” จิ๋งจิ่วพลันกล่าวขึ้นมา

เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบเล็กน้อย กล่าวว่า “ถูกต้อง ภายหลังข้าจึงเริ่มสืบอาจารย์เมิ่ง”

อาจารย์เมิ่งเป็นอาจารย์เซียนที่คอยสอนวิชาตอนที่นางยังเป็นศิษย์นอกสำนัก เขาเฝ้าดูแลให้ความรักเจ้าล่าเยวี่ย เหมือนที่อาจารย์หลี่ว์ทำกับหลิ่วสือซุ่ยและจิ๋งจิ่ว

ตอนนี้อาจารย์เมิ่งกำลังเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อ ทั้งยังได้รับยาวิเศษจากผู้เป็นอาจารย์ กำลังมุ่งเข้าสู่ขั้นคเนจร

“อาศัยเพียงความดีที่คอยดูแลเจ้า รางวัลที่เขาได้รับมันมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า”

“ถูกต้อง ข้าจึงได้แต่รู้สึกสงสัยยอดเขาซั่งเต๋อ”

จิ๋งจิ่วมองนาง พลางกล่าว “นอกจากเรื่องที่เขามาจากยอดเขาซั่งเต๋อแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นอีกหรือเปล่า?”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานต่างรู้ว่าอาจารย์ลุงผู้เป็นกฎแห่งกระบี่มิชื่นชอบปรมาจารย์อาจิ่งหยาง ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมิสู้ดีมาโดยตลอด”

จิ๋งจิ่วมิได้ออกความเห็นอะไรกับเรื่องนี้

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวต่อว่า “จากเบาะแสของอาจารย์เมิ่งและอินซาน เจวี่ยนเหลียนเหรินได้สืบพบว่าก่อนที่จะมีการประกาศเขตหวงห้ามสามพันลี้ออกมา ไม้วิญญาณอัศนีของยอดเขาปี้หูได้หายไปสองท่อน เมื่อมีผู้พิทักษ์อยู่ ไม้วิญญาณอัศนีสองท่อนนี้ไม่มีทางถูกส่งออกไปนอกยอดเขาทั้งเก้าแน่ อย่างนั้นตอนนี้มันอยู่ที่ไหน? ขณะที่ข้ากำลังสืบอยู่ก็ได้ไปทำให้ยอดเขาปี้หูรู้ตัวเข้า เรื่องราวหลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เจ้ารู้”

ไม้วิญญาณอัศนีเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของยอดเขาปี้หู ไม่ว่าจะใช้ในการบำเพ็ญพรตไปจนถึงฝึกวิถีกระบี่ หรือรับรู้ถึงพลังของฟ้าดินก็ล้วนแต่มีประโยชน์อย่างมาก

ว่ากันว่าหากผู้บำเพ็ญพรตสามารถบรรลุข้ามขั้นทะลวงสวรรค์ไปได้ เขาผู้นั้นก็จะสามารถใช้ไม้วิญญาณอัศนีในการเคลื่อนย้ายวิญญาณ เท่ากับว่าจะมีชีวิตเพิ่มมาอีกชีวิตหนึ่ง

ของล้ำค้าเช่นนี้ย่อมต้องถูกสำนักชิงซานเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี แต่นี่มันกลับหายไปอย่างลึกลับถึงสองท่อน ไม่ว่าคิดอย่างไรก็รู้ได้ว่าต้องมีปัญหาอะไรอยู่อย่างแน่นอน

เหลยพั่วอวิ๋นอดีตเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูคนก่อนจู่ๆ ก็ธาตุไฟเข้าแทรก จากนั้นถูกกระบี่ของหยวนฉีจิงสั่นสะเทือนจนตายบนที่ราบในหุบเขา ไม่แน่อาจมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

แต่จิ๋งจิ่วกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เขาเพียงแต่มองเจ้าล่าเยวี่ย

เจ้าล่าเยวี่ยมิได้บอกว่าได้เบาะแสอะไรมาจากอาจารย์เมิ่งและอินซาน แต่เขารู้ว่าหากคิดอยากจะเชิญเจวี่ยนเหลียนเหรินมาสืบเรื่องภายในของสำนักกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างสำนักชิงซานนั้นจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่มากมายขนาดไหน ครั้นคิดถึงว่าในช่วงหลายปีมานี้ สาวน้อยผู้นี้ฝึกฝนอย่างยากลำบากอยู่ในยอดเขากระบี่ เพียงเพื่อจะขึ้นไปดูบนยอดเขาเสินม่อ…

เขาพลันยื่นมือออกไปลูบศีรษะของนาง

เจ้าล่าเยว่เบิ่งตาโตจ้องมองเขา

จิ๋งจิ่วจ้องมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบและจริงจังว่า “ไม่ต้องสืบเรื่องนี้ต่อแล้ว”

เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เพราะเหตุใด?”

จิ๋งจิ่วคิดในใจ เพราะข้ากลัวว่าจะคุ้มครองเจ้าไม่ได้

เขาแอบเดินปราณกระบี่ กระบี่เหล็กสั่นสะเทือนขึ้นมาด้วยความเร็วที่สูงจนมิอาจมองทันด้วยตาเปล่า ก่อเกิดเป็นเสียงหวึงๆ คล้ายฝูงผึ้ง

เจ้าล่าเยวี่ยสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย คิดจะหยุดเขา แต่กลับมิทันการ

เพลิงกระบี่จำนวนมากร่วงหล่นลงมาจากกระบี่ ก่อนจะปลิวไปตกอยู่บนศพของศิษย์แห่งเผ่าหมิงผู้นั้น

ศพพลันลุกไหม้ขึ้นมาทันที เพียงแค่พริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่าน

เจ้าล่าเยวี่ยจ้องมองเขา คิดอยากจะได้คำอธิบาย

จิ๋งจิ่วมิได้อธิบาย

เจ้าล่าเยวี่ยขี่กระบี่บินขึ้นไป กลายเป็นสำแสงสวยงามหายไปในท้องฟ้า

จิ๋งจิ่วมองขึ้นบนท้องฟ้าอันว่างเปล่า ในใจครุ่นคิดดูเหมือนสาวน้อยจะโกรธแล้วจริงๆ ถึงกับปล่อยให้ตัวเองเดินกลับไป…

ตามหลักแล้ว เขาซึ่งตอนนี้บรรลุสภาวะขั้นตั้งมั่นจนบริบูรณ์น่าจะสามารถขี่กระบี่บินได้แล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงไม่เคยขี่กระบี่มาก่อน

เขามองดูกระบี่เหล็กพลางส่ายหัว

จากนั้น สายตาเขามองตามกระบี่เหล็กลงไปยังเถ้าถ่านที่อยู่ด้านล่างหลุม

“อินซาน…ชื่อนี้ไม่เลว”

……

……

เมืองอวิ๋นจี๋ บนเหลาสุรา ตรงข้างราวกั้น หม้อไฟหม้อหนึ่งกำลังเดือดพล่าน

จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ข้างโต๊ะ สายตามองดูอาหารที่เดี๋ยวลอยเดี๋ยวจมอยู่ในหม้อไฟเหล่านั้น มิได้มีทีท่าว่าจะคีบขึ้นมากิน

ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญพรต เขามิค่อยมีความปรารถนาในเรื่องทางโลกเท่าไรนัก สำหรับอาหารที่มีแหล่งกำเนิดจากมณฑลอี้โจว และเป็นที่นิยมในดินแดนหมิงเช่นนี้ เขาก็มิได้มีความสนใจอะไร

หลายปีก่อนเคยมีคนกล่าวกับเขาว่า ผู้บำเพ็ญพรตแสวงหาอายุยืนยาว ก็ยิ่งสมควรเข้าใจในความงดงามของชีวิต เช่นนี้ถึงจะมีแรงขับเคลื่อนจากภายในที่เต็มเปี่ยม

เขามิค่อยเข้าใจคำพูดประโยคนี้เท่าไรนัก ก็เหมือนกับที่ไม่เข้าใจคำพูดที่ว่าคนเราไม่อาจย่ำลงไปในแม่น้ำสายเดิมได้

ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของคนผู้นั้นแล้ว แล้วก็พอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

ไส้เป็ดตกลงไปก้นหม้อ จมตายไปแล้ว

ฮวาเจียวยังลอยขึ้นลง ร้องขอความช่วยเหลือไม่หยุด

ผ้าขี้ริ้วแลหลอดเลือดหัวใจเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ มิรู้เป็นหรือตาย

“ใช้ชื่อนี้ช่างมั่นใจยิ่งนัก การแกล้งตายช่างหยาบกระด้างยิ่งนัก แต่เจ้าน่าจะคิดไม่ถึงว่าข้าจะกลับมาได้”

จิ๋งจิ่วมองดูที่นั่งว่างเปล่าที่อยู่ตรงข้าม กล่าวว่า “หวังว่าจะได้พบเจ้าอีกครั้งโดยเร็ว”

พูดจบประโยคนี้ เขาพลันลุกขึ้นเดินออกไปจากเหลาสุรา

หม้อไฟยังคงเดือดพล่าน ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนกระจายออกมา มิรู้เมื่อถึงจึงจะเดือดจนแห้ง

……

……

ตกเย็น จิ๋งจิ่วกลับมาถึงยอดเขาเสินม่อ

เขาเดินไปตามทางแคบๆ ขึ้นไปบนยอดเขา

ระหว่างทางเงาไม้สั่นไหว เหล่าวานรคอยตามเขาอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังคอยยื่นผลไม้ต่างๆ นาๆ ให้ตลอดเวลา อบอวลไปด้วยบรรยากาศการเอาอกเอาใจ

“ไม่กิน” จิ๋งจิ่วกล่าว

ยอดเขาเสินม่ออยู่ในส่วนลึกของชิงซาน เป็นยอดเขาที่อยู่ห่างไกลที่สุดในบรรดายอดเขาทั้งเก้า

แม้นเมืองอวิ๋นจี๋จะอยู่ตรงชายขอบของชิงซาน แต่เดินจากตรงนั้นกลับมาก็เป็นระยะทางหลายร้อยลี้

จิ๋งจิ่วใช้เวลาครึ่งวันเดินกลับมา รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย อีกทั้งการเดินเป็นการเคลื่อนไหวซ้ำไปซ้ำมาที่เขาไม่ชอบมากที่สุด ดังนั้นอารมณ์ในตอนนี้จึงมิค่อยดีเท่าไร

แน่นอน สาเหตุที่เขาอารมณ์ไม่ดี ไม่มีใครรู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับศพที่อยู่นอกเมืองอวิ๋นจี๋นั้นหรือไม่

เหล่าวานรรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเขา จึงมิกล้าส่งเสียงวุ่นวาย เพียงแค่ตามเขาอย่างเงียบๆ ทั้งส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ในบางครั้ง

จิ๋งจิ่วหยุดฝีเท้า พบว่ามีวานรสองตัวที่ได้รับบาดเจ็บ คิดว่าน่าจะเป็นผลจากการต่อสู้กับฝูงลิงของยอดเขาซื่อเยวี่ยเมื่อหลายวันก่อน

เขาเอายาเม็ดหนึ่งโยนเขาไปในป่า พลางกล่าวว่า “แบ่งกันกิน”

ยาเม็ดนี้เป็นยาลับของยอดเขาซื่อเยวี่ย มีชื่อว่ายาอี้ซิน มันมิได้ช่วยในเรื่องของการบำเพ็ญเพียรมากนัก แต่กลับมีผลอย่างมหัศจรรย์ในเรื่องของการรักษาอาการบาดเจ็บและบำรุงเลือดลม เรียกได้ว่าเป็นยาที่ล้ำค่าอย่างมาก

หากเหล่าผู้อาวุโสของยอดเขาซื่อเยวี่ยรู้ว่าเขาเอายาอี้ซินมาให้ลิงกิน เกรงว่าพวกเขาคงต้องโมโหอย่างมากแน่

จิ๋งจิ่วเดินหน้าต่อจนมาถึงตรงไหล่เขา ตรงหน้าผาขาดมีต้นไม้ขนาดใหญ่วางกองอยู่สิบกว่าต้น

กู้ชิงกำลังง่วนอยู่กับงาน เขาจะสร้างที่พักขึ้นมาจริงๆ

จิ๋งจิ่วมิได้หยุด แล้วก็มิได้พูดคุยกับเขา หากแต่เดินผ่านผาขาดไป ก่อนจะไปถึงปลายสุดของยอดเขาอย่างรวดเร็ว

เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ริมผา เสื้อผ้าพลิ้วไหว หากมองข้ามผมสั้นที่ยุ่งเหยิงของนางไปล่ะก็ ดูไปก็คล้ายเซียนอยู่ทีเดียว

นางหมุนตัวกลับมามองจิ๋งจิ่ว กล่าวว่า “ข้าจะยังสืบต่อไป”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้ามั่นใจแล้วมิใช่หรือว่าท่านได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ไม่มีทางเป็นอะไรได้?”

เจ้าล่าเยวี่ยมองดวงตาของเขา พลางกล่าว “แต่ว่า ท่านไม่เคยปรากฏตัวเลย”

…………………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด