มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 51 ยกนิ้วขึ้นมาถึงคิ้ว

อ่านนิยายจีนเรื่อง มรรคาสู่สวรรค์ ภาค2 ตอนที่ 51 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บนสมุดของเจวี่ยนเหลียนเหริน อันดับในการประลองหมากล้อมของจิ๋งจิ่วอยู่อันดัยที่สิบเจ็ด ถงเหยียนอยู่ในอันดับที่หนึ่ง เชื่อว่าอัตราต่อรองที่บ่อนพนันแอบพนันกันอย่างลับๆ นั้นน่าจะมิต่างกันเท่าไร

หากพนันว่าเขาจะได้ที่หนึ่งในการประลองหมากล้อม และเขาทำได้จริงๆ เช่นนั้นก็น่าจะได้เงินเป็นจำนวนมาก

แม้นเขาจะสามารถให้ใบไม้ทองคำแก่ครอบครัวนี้ลังหนึ่งได้เลย แต่มันก็มิได้สะอาดปลอดภัยเหมือนอย่างวิธีนี้

ตระกูลจิ๋งพนันข้างลูกชายตัวเอง มันก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว

แต่ก็อยู่ที่ว่าครอบครัวนี้จะหนักแน่นพอหรือพูดอีกอย่างก็คือโง่พอที่จะเชื่อคำพูดของเขา เอาเงินจำนวนมากไปพนันว่าเขาจะชนะหรือไม่

……

……

แผ่นดินเฉาเทียนกว้างใหญ่ไพศาล พื้นที่ที่มีพลังวิญญาณในธรรมชาติรวมตัวอยู่เยอะที่สุดกระจายตัวไปทั่วทั้งพื้นที่ใจกลางของแผ่นดินกลายเป็นนกชิงหลวน[1]ตัวหนึ่ง มณฑลจงโจวที่เมืองเจาเกอตั้งอยู่นั้นคือส่วนหัวของนกชิงหลวน หากว่ากันถึงปริมาณและความหนาแน่นของพลังวิญญาณเพียงอย่างเดียวแล้ว เรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งในแผ่นดิน ปีกทั้งสองข้างของนกชิงหลวนคือพื้นที่ที่มีภูเขาลูกใหญ่ปกคลุมเอาไว้ ความหนาแน่นของพลังวิญญาณมีน้อยกว่า แต่มีความบริสุทธิ์มากกว่า

จนถึงทุกวันนี้โลกแห่งการบำเพ็ญพรตก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าสองที่นี้ ที่ไหนเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรมากกว่ากัน เพียงแต่สำหรับเด็กในครรภ์มารดาที่หายใจเอาพลังแห่งธรรมชาติเข้าไปเหล่านั้น ความหนานแน่นของพลังวิญญาณถือว่ามีความสำคัญมากกว่า และเป็นเพราะเหตุนี้ มณฑลจงโจวจึงมีอัจฉริยะถือกำเนิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้สำนักจงโจวกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในปัจจุบันนี้

สำนักชิงซานซึ่งตั้งอยู่ในแผ่นดินทางตอนใต้ย่อมไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะเฟ้นหาศิษย์รอบๆ เมืองเจาเกอไป ในบรรดาศิษย์หลายสิบคนที่มาเข้าร่วมการประลองและร่วมรับชมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยก็มีอยู่หลายคนที่เป็นคนเจาเกอ เจ้าล่าเยวี่ยคือตัวอย่างที่สำเร็จที่เป็นแบบฉบับได้ดีที่สุด แล้วก็เป็นความเสียใจอันใหญ่หลวงของสำนักจงโจวในช่วงหลายปีมานี้

เมื่อมาถึงเมืองเจาเกอ เจ้าล่าเยวี่ยย่อมมิต้องไปพักยังที่พักเซียน

หลังได้รับจดหมายฉบับนั้น นางก็บอกกล่าวกับทางบ้าน สวมหมวกลี่เม่า แล้วเดินฝ่าสายฝนที่ละเอียดดุจดั่งเส้นไหมมายังตรอกที่อยู่ไม่ไกลจากวัดไท่ฉาง

ประตูไม้ส่งเสียงเบาๆ จากนั้นจึงเปิดออก หัวหน้าครอบครัวตระกูลจิ๋งออกมาต้อนรับนางอย่างเป็นมิตร

เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ตรงลานด้านหน้า สายตามองไปรอบๆ ในใจรู้สึกบรรยากาศที่นี่ค่อนข้างแปลก

จริงอยู่ที่ที่นี่คือบ้านตระกูลจิ๋ง แต่ครอบครัวแบบนี้มิคล้ายว่าจะสามารถเลี้ยงคนแบบจิ๋งจิ่วขึ้นมาได้

แต่เวลาผู้บำเพ็ญพรตกลับมายังบ้านในโลกปุถุชนก็มักจะมีความรู้สึกไม่เคยชินต่างๆ นาๆ เมื่อคนในครอบครัวค่อยๆ แก่ชราจากนั้นตายลงไป ความรู้สึกไม่เคยชินเหล่านี้จึงจะสิ้นสุดลง

ในตอนนั้น ผู้บำเพ็ญพรตจึงจะถือว่าเหยียบไปบนเส้นทางของตัวเองอย่างแท้จริง

เจ้าล่าเยวี่ยนึกว่าความรู้สึกในเวลานี้มาจากปัญหาอมตะของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเช่นนี้ จึงมิได้คิดอะไรมาก แต่ไม่นานนางก็ได้รับคำตอบที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากจิ๋งจิ่ว

“พวกเขามิใช่ครอบครัวที่แท้จริงของข้า ตัวตนของข้าล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นมา”

จิ๋งจิ่วเชิญนางมาที่นี่ มิเคยมีความคิดที่จะปิดบังนาง

เจ้าล่าเยวี่ยตกตะลึง กล่าวว่า “จากนั้น?”

“ไม่มี ข้าเพียงอยากบอกเจ้าเท่านั้น”

จิ๋งจิ่วมองผมที่ยุ่งเหยิงของนาง เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนจัดการให้ จึงกล่าวถามว่า “สาวใช้ในบ้านล่ะ?”

“ไม่ชินเวลามีใครมาอยู่ข้างๆ”

เจ้าล่าเยวี่ยลูบผมของตัวเองอย่างง่ายๆ ผมยิ่งเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงขึ้น

จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ ก่อนจะหยิบเอาหวีไม้จันทราส่งให้นาง

เจ้าล่าเยวี่ยรับเอาหวีมาหวีผมตัวเอง เส้นผมสีดำพลันเรียบลื่นขึ้นมา จึงกล่าวว่า “หวีนี้ใช้ดีจริงๆ”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เมื่อคืนข้าไปหาเจวี่ยนเหลียนเหรินมา”

สายตาเจ้าล่าเยวี่ยเปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นมา กล่าวถามว่า “จากนั้น?”

“ไม่มี ขอเพียงอยากบอกเจ้าเท่านั้น” จิ๋งจิ่วกล่าว

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “อย่างนั้นเมื่อไรเจ้าถึงจะบอกข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้า?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “วันหลัง”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เหตุใดเจ้าต้องเอาแต่หลบหน้าหนานว่าง?”

หนานว่างคือชื่อจริงของเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรง

จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “วันหลัง”

ไม่มีกับวันหลังเป็นสองคำที่ปรากฏขึ้นมาบ่อยที่สุดในบทสนทนานี้

เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกหงุดหงิด กล่าวว่า “อย่างนั้นเจ้าเรียกข้าออกมาทำอะไร?”

“ข้าจะบอกความลับเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง”

จิ๋งจิ่วกล่าว “บ้านหลังนี้ลู่กั๋วกงเป็นคนจัดหามาให้ ที่นี่สามารถติดต่อเขาได้”

เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวถามว่า “นี่เป็นแผนการที่เตรียมเอาไว้ก่อนปรมาจารย์อาจิ่งหยางจะบรรลุกลายเป็นเซียน?”

ตอนนี้เมื่อได้ยินชื่อจิ่งหยางสองพยางค์นี้ จิ๋งจิ่วสามารถรักษาความสงบนิ่งได้แล้ว เขากล่าวว่า “ท่านกังวลว่าจะเกิดเรื่อง จึงเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ บ้านหลังนี้ แล้วยังมีเจ้า….ข้า”

เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นกล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อปรมาจารย์อารู้อยู่ก่อนแล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล เหตุใดยังดึงดันที่จะบรรลุกลายเป็นเซียน?”

จิ๋งจิ่วเองก็นิ่งเงียบไปครู่เช่นกัน จากนั้นกล่าวว่า “ความเย้ายวนของการบรรลุ อาจจะยากเกินจะทนได้กระมัง”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ลู่กั๋วกงมีชื่อเสียงอยู่ในราชสำนัก สามารถเชื่อถือได้?”

จิ๋งจิ่วหยิบเอาป้ายไม้ส่งให้นาง พลางกล่าวว่า “ใช่ หากเจ้าหรือครอบครัวเจ้ามีปัญหาในเมื่อเจาเกอ ก็ให้เอาป้ายไม้นี้มาหาเขาที่นี่ กลไกอยู่บนหินข้างประตู ข้าได้ทำสัญลักษณ์ของยอดเขาเสินม่อเอาไว้แล้ว เจ้าใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ตรวจดูก็จะเห็นมันเอง”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “กระบี่มิคำนึงเจ้าให้ข้า ป้ายไม้เจ้าก็ให้ข้า แล้วเจ้ามีอะไร?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเพียงแต่เกียจคร้านที่จะไปจัดการเรื่องเหล่านี้ เลยให้เจ้าจัดการแทน”

เจ่าล่าเยวี่ยกล่าว “เหมือนกับตอนที่ขึ้นเขาเสินม่อ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ใช่”

เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิด ก่อนจะรับเอาป้ายไม้มาพลางกล่าวว่า “ได้ แต่หากข้าเดินไม่ไหว เจ้าอย่าลืมพาข้าไปด้วยล่ะ”

จิ๋งจิ่วกล่าว “แน่นอน”

“งานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนี้ สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยส่งศิษย์หญิงที่ชื่อกั้วตงมา ดูลึกลับยิ่งนัก มิเคยมีผู้ใดเคยเห็นหน้ามาก่อน ได้ยินว่าเป็นศิษย์ก้นกุฏิของเหลียนซานเยวี่ย”

เจ้าล่าเยวี่ยพลันกล่าวขึ้นมา

จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงแสดงออกว่าใส่ใจถึงขนาดนี้ด้วย เพราะที่ผ่านมานางไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้มาก่อน

“ได้ยินว่าเมื่อครั้งอดีต ความสัมพันธ์ของปรมาจารย์อากับเหลียนซานเยวี่ยมีปัญหานิดหน่อย? เคยประมือกันหลายครั้งด้วย?”

ตอนที่กล่าวประโยคนี้ นางจ้องมองไปยังดวงตาของจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน…มีปัญหาจริงๆ แล้วก็เคยประมือจริงๆ”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เช่นนี้แล้ว ข้าในฐานะที่เป็นศิษย์สืบทอดของปรมาจารย์อาจะแพ้ให้กับศิษย์ของเหลียนซานเยวี่ยได้อย่างไร?

จิ๋งจิ่วสังเกตเห็นถึงสายตาที่อยากจะลองดูของนาง ถึงได้รู้ว่านางเอาจริง จึงอดรู้สึกจนปัญญาขึ้นมามิได้

“แต่ไหนแต่ไรมา ศิษย์หญิงของสำนักแม่ชี่สุ่ยเยวี่ยล้วนแต่งดงาม เทียบกับยอดเขาชิงหรงแล้วยังมีชื่อเสียงมากกว่า”

เจ้าล่าเยวี่ยพลันรู้สึกว่าผมของตัวเองสั้นไปหน่อย คิ้วเองก็ค่อนข้างหนา”

นางเดินไปยืนอยู่หน้ากระจกเป็นเวลานาน ใช้นิ้วชี้สองมือปิดคิ้วเอาไว้ พลางกล่าวถามว่า “แบบนี้ดีขึ้นหน่อยไหม?”

จิ๋งจิ่วเดินไปด้านหลังนาง ยื่นมือไปลูบผมของนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “น่ารักมาก”

เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกหงุดหงิด แต่มิได้กล่าวกระไร

จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “แล้วจะเอาอะไรไปประลองล่ะ อย่างไรเสียเจ้าก็ดีดพิณไม่เป็น”

พรุ่งนี้ งานชุมนุมเหมยฮุ่ยก็จะเริ่มแล้ว

การประลองทั้งห้า รายการแรกก็คือพิณ

ศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยถนัดการดีดพิณมากที่สุด ในงานเลี้ยงซื่อไห่เมื่อครั้งนั้นก็เป็นมั่วเซียนจวินที่ได้อันดับหนึ่งในการประลองพิณ ฝีมือการดีดพิณของศิษย์ก้นกุฏิของเหลียนซานเยวี่ยย่อมต้องดีกว่าอย่างแน่นอน

เจ้าล่าเยวี่ยจ้องมองจิ๋งจิ่วที่อยู่ในกระจก พลางกล่าวว่า “เจ้าอยากตายจริงๆ สินะ”

……

……

แต่ไหนแต่ไรมา การรักษาความปลอดภัยของเมืองเจาเกอนั้นดีมาก ที่นี่มีกองทัพเสินเว่ยจำนวนนับไม่ถ้วน มียอดฝีมือของราชสำนักอีก แล้วยังมีข่ายพลังที่รวบรวมพลังวิญญาณของฟ้าดินเอาไว้มากพอที่จะใช้โจมตียอดฝีมือขั้นแหวกทะเลโดยไม่ทันรู้ตัวได้ มิใช่แค่พวกโจรหัวขโมยเหล่านั้น กระทั่งผู้บำเพ็ญพรตของแต่ละสำนักก็มิกล้าก่อความวุ่นวายขึ้นที่นี่

ตามกฎที่ผ่านมา ห้ามมิให้ผู้บำเพ็ญพรตบินเข้ามาในเมือง นอกเสียจากราชสำนักจะอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ แต่ในช่วงหลายวันมานี้เนื่องเพราะงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ข้อห้ามนี้จึงถูกยกเลิกชั่วคราว ประชาชนภายในเมืองสามารถมองเห็นลำแสงกระบี่หรือลำแสงของอาวุธวิเศษที่วาดผ่านท้องฟ้าสีครามเป็นครั้งคราว ทำให้เกิดเสียงโห่ร้องชื่นชมและการพูดคุยขึ้นนับไม่ถ้วน

แต่ตามตรอกซอกซอยก็ยังมีบัณฑิตปัญญาชนจำนวนไม่น้อยที่โบกไม้โบกมือขึ้นมาอย่างร้อนใจ พร้อมบอกกับเหล่าชาวบ้านว่าปรากฏการแปลกๆ บนท้องฟ้านั้นเป็นเพียงการเล่นกลของราชสำนักเท่านั้น บนโลกไม่เคยมีผู้บำเพ็ญพรตอะไรอยู่เลย ทางเหนือเองก็ไม่มีปีศาจที่เติบโตขึ้นมาจากการกินหิมะ เรื่องราวทั้งหมดสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้กรมชิงเทียนและกองทัพเจิ้นเป่ยได้รับงบประมาณเพิ่มมากขึ้น ส่วนงบประมาณเหล่านั้นก็ย่อมตกไปอยู่ในมือของคนใหญ่คนโต อย่างเช่นงบประมาณจำนวนมหาศาลที่ใช้จัดงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้ ความจริงแล้วก็ตกไปอยู่ในมือของพระสนมหูที่อยู่ในวังผู้นั้น จากนั้นก็เอาไปให้พระรูปหนึ่งใช้จัดพิธีทางศาสนา หากพวกเจ้าไปเชื่อข้า เช่นนั้นข้ายืนพูดอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีลำแสงสีขาวจากกระบี่เซียนบินมาฟันข้าล่ะ?

แน่นอนว่าย่อมไม่มีภาพเหตุการณ์ลำแสงสีข่าวบินไกลพันลี้มาบั่นคอเกิดขึ้น เพราะที่นี่คือเมืองเจาเกอ ผู้บำเพ็ญพรตมิอาจสังหารคนตามอำเภอใจได้ แล้วก็ไม่มีผู้บำเพ็ญพรตคนไหนจะมาสนใจบัณฑิตที่สติเลอะเลือนเหล่านี้ด้วย ราชสำนักเองก็ยุ่งอย่างมาก กรมชิงเทียนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยตรงนั้นยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ จำนวนรวมของตัวแทนสำนักต่างๆ ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้มากกว่าพันคนไปแล้ว ลำพังงานลงทะเบียน ที่พักอาศัย จัดแจงลำดับงานต่างๆ ก็กองเป็นภูเขา ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้คือวันที่งานชุมนุมเหมยฮุ่ยเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เหล่าคนใหญ่คนโตล้วนแต่เดินทางไปยังสวนดอกเหมย เหล่าเจ้าหน้าที่พบเจอเรื่องราวมากมายแต่ไม่รู้จะไปรายงานที่ไหน คล้ายแมลงวันไม่มีหัวที่บินวนสะเปะสะปะไปทั่ว รถม้าบินประเดี๋ยวบินขึ้นประเดี๋ยวบินลง เก้าอี้ไม้ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเองที่แผนกสติเฟื่องวิจัยขึ้นมาวิ่งชนกันไปชนกันมาอยู่ในสวนของกรมชิงเทียน ดูวุ่นวายเป็นอย่างมาก

ซือเฟิงเฉินว่างงาน ในมือถือถ้วยชา นั่งมองดูภาพเหล่านี้อยู่ริมหน้าต่าง ในดวงตาเผยให้เห็นแววตาเยาะเย้ย

……………………………………………………………..

[1]นกชิงหลวน คือ นกเทพในตำนานชนิดหนึ่ง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด