คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 124 บุรุษน้ำแข็งอ่อนล้า

อ่านนิยายจีนเรื่อง คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด ตอนที่ 124 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เมื่อกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็พบว่าหานโม่ฉือตื่นขึ้นแล้ว เวลานี้บุรุษน้ำแข็งกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง สายตาคมทอดมองไปไกลราวกับมีเรื่องราวในใจบางอย่างที่ต้องครุ่นคิด

ฉินอวี้โม่ย่องเข้าหาคนตัวโตจากทางด้านหลังอย่างเงียบเชียบ พลันก้มตัวลงพูดข้างหูด้วยเสียงไม่เบานัก  “โม่ฉือ ! เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ ?”

ทว่าคนอยากแกล้งกลับโดนแกล้งเสียเอง

แทนที่จะสะดุ้งสุดตัวให้สมความปรารถนาสาวขี้แกล้ง  แต่เหยื่อหล่อเหลาผู้กำลังถูกแกล้งกลับจับคว้าร่างบางเข้ามานั่งบนตักกว้างก่อนจะยิ้มยั่วเย้า

“ข้ากำลังคิดอยู่ว่า ข้าจะพาโม่เอ๋อร์ของข้าออกไปจากโลกอันแสนวุ่นวายนี้ได้เมื่อไหร่”

คราแรกคุณหนูคนงามก็ใบหน้างอง้ำเพราะความอับอายปนตกใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ฟังวาจาพร้อมกับได้สบสายตาจริงจังของเจ้าของตักกว้าง หัวใจดวงน้อยก็อ่อนยวบก่อนความรู้สึกอบอุ่นจะเข้าครอบครอง สตรีเลอโฉมส่งยิ้มอ่อนหวานตอบกลับไปให้บุรุษผู้กุมหัวใจของนาง

“โม่เอ๋อร์ หากตามหาตัวพ่อแม่ของเจ้าพบแล้ว เราแต่งงานกันเถอะนะ”

จู่ ๆ หานโม่ฉือก็ออกปากเอ่ย โม่เอ๋อร์ของเขาวิเศษยิ่งกว่าผู้ใด เขาอยากจะใช้ช่วงเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่ในชีวิตนี้ปกป้องดูแลและอยู่ข้างกายคนตรงหน้าไปตลอด เป็นสตรีผู้นี้เท่านั้น คนที่อยู่ต่อหน้าเขาผู้นี้ผู้เดียวที่เขาอยากเคียงข้าง และเขาจะไม่ยอมปล่อยมือไปจากนางอย่างเด็ดขาด

“ก็ได้ เรื่องนี้ข้าให้เจ้าตัดสินใจ”

ฉินอวี้โม่มองสบสายตาคมอย่างค้นคว้า เมื่อมั่นใจว่าวาจานั้นกลั่นกรองมาจากหัวใจของเขา อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น แล้วกล่าวเห็นด้วยโดยไม่ลังเล

“โม่ฉือ ช่วงนี้เจ้ามีสิ่งที่ต้องทำในตระกูลหานมากมายเลยหรือ ? เหตุใดทุกครั้งที่เราพบกันข้าถึงได้เห็นเจ้าดูอ่อนล้ามากเหลือเกิน”

ยิ่งมองดูสภาพของคนตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็ยิ่งไม่สบายใจ นางจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

ในครั้งนี้หานโม่ฉือดูเหนื่อยมาก และเหนื่อยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นางสงสัยว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับงานที่เขากำลังทำอยู่ในเวลานี้

“ช่วงนี้ข้ามีเรื่องต้องทำเยอะมากจริง ๆ แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวล ข้าสามารถจัดการมันได้”

หานโม่ฉือยิ้ม เขายอมรับกับนางตรง ๆ แต่ก็ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียด

บุรุษน้ำแข็งผู้มีอิทธิพลแห่งตระกูลลึกลับกำลังคิดว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยลงมือขั้นเด็ดขาดกับคนน่ารำคาญเหล่านั้นสักคราใช่หรือไม่ ? พวกเขาถึงได้ใจจนลงมือหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ  กระทั่งในครั้งนี้สองคนนั้นยังถึงขั้นต้องการทำร้ายฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือจึงไม่คิดจะเมตตาอีกต่อไป

“งั้นเจ้าก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ถ้ามีเรื่องใดที่รู้สึกว่าหนักหนาเกินไปก็อย่าเก็บไว้ในใจคนเดียวเพราะนั่นจะทำให้ข้าเศร้ามาก อย่าลืมว่าเจ้ามีข้าอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ”

ฉินอวี้โม่ไม่อยากเอ่ยถามซักไซ้ ถ้าหากคนตรงหน้ากล่าวว่าเขารับมือได้ นั่นก็แสดงว่าเขาสามารถรับมือได้อย่างแท้จริง

“ข้าเข้าใจ”

หานโม่ฉือพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

คู่รักหนุ่มสาวสนทนากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หานโม่ฉือจะขอตัวกลับเพราะมีงานที่ต้องสะสาง ฉินอวี้โม่ไม่ได้ยื้ออีกฝ่ายไว้ นางเพียงแต่กำชับให้เขารักษาตัวให้ดีก่อนจะยืนมองบุรุษน้ำแข็งผู้อ่อนล้าจนลับสายตาไป

หลังจากหานโม่ฉือจากไปแล้ว ฉินอวี้โม่ก็วางแผนจะไปเยี่ยมเยือนสมาคมช่างหลอม ปรมาจารย์ผู้เฒ่าเยว่เหยาเป็นทั้งอาจารย์และเป็นเสมือนท่านปู่ของนาง เมื่อกลับมาอยู่ภายในนครไป๋อวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็ควรจะไปคารวะเขาก่อนเป็นอันดับแรก

ทว่าก่อนที่คุณหนูสี่ตระกูลฉินจะได้ก้าวเท้าออกจากเรือน เสี่ยวโร่วก็เข้ามาพร้อมบอกกล่าวคำเชื้อเชิญจากคนผู้หนึ่ง

“คุณหนู หลิวหว่านเยียนเชิญท่านไปพบที่ตึกเต๋อเยว่ ท่านอยากจะไปหรือไม่เจ้าคะ ?”

เสี่ยวโร่วบอกต่อสารก่อนจะเอ่ยถาม ในตอนที่นางรับจดหมายเชิญมาและได้ทราบว่าเจ้าของจดหมายนั้นคือหลิวหว่านเยียน ใบหน้าของสาวใช้น้อยก็บูดบึ้งไปในทันที

ฉินอวี้โม่กวาดสายตาอ่านข้อความในกระดาษแผ่นน้อย ข้างในไม่มีสิ่งใดเขียนไว้เป็นพิเศษ ข้อความไม่สั้นไม่ยาวมีใจความบอกไว้เพียงแค่อีกฝ่ายอยากจะเชิญนางไปที่ตึกเต๋อเยว่เพราะมีบางอย่างอยากจะหารือกับนางเท่านั้น

“ไปสิ ข้าอยากจะไปดูว่าครั้งนี้หลิวหว่านเยียนจะเล่นลูกไม้อะไร”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มเย็นชาน่าขนลุก หลังจากเงียบมากว่าครึ่งปีในที่สุดหลิวหว่านเยียนก็คงอดไม่ได้ที่จะลงมือกระทำบางสิ่ง

“เช่นนั้นข้าขอไปกับคุณหนูด้วย”

เสี่ยวโร่วกล่าวเสียงเข้ม นางไม่ไว้ใจจะให้คุณหนูของนางไปคนเดียว แม้คุณหนูจะเก่งไม่เป็นรองผู้ใด แต่ในเงื้อมมือสตรีชั่วร้ายไว้ใจไม่ได้ผู้นั้น นางไม่อยากประมาท สาวน้อยคิดเห็นว่าจะดีจะร้ายสองคนก็ย่อมดีกว่าคนเดียวเสมอ

“ย่อมได้”

ผู้เป็นคุณหนูตอบรับคำ นางไม่ได้คิดปฏิเสธสาวใช้น้อย

ณ ห้องอาหารส่วนตัว, บนชั้นที่สองของตึกเต๋อเยว่

หลิวหว่านเยียนโฉมงามอันดับแปดแห่งแผ่นดินกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวใหญ่ภายในห้องอาหารกว้างขวาง นอกจากนางแล้วยังมีบุรุษผู้ดูเย่อหยิ่งนั่งอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง เขาคือชายหนุ่มที่นางไปไหนมาไหนด้วยเสมอ–หานโม่หยวน ทว่าในเวลานี้สีหน้าของคุณชายรองตระกูลหานดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก

“พี่โม่หยวน เหตุใดท่านถึงต้องให้ข้าเชิญฉินอวี้โม่มาที่นี่ด้วยล่ะ ?”

หลิวหว่านเยียนเอ่ยถามบุรุษข้างกายอย่างใคร่รู้ หลังออกมาจากโรงเรียนราชสำนักได้ นางก็อยากจะพบชายหนุ่มที่ตนลุ่มหลงใจจะขาด ทว่าไม่คิดเลยว่าสิ่งแรกที่เขาขอให้นางทำเมื่อได้พบหน้าก็คือบอกให้เชิญฉินอวี้โม่มาพบที่นี่

ต้องกล่าวเลยว่า ในความคิดของหลิวหว่านเยียน การใช้ชีวิตในโรงเรียนราชสำนักสำหรับนางนั้นไม่ได้ดีเท่าที่คาดหวังไว้เลย นางไม่พึงพอใจจนอาจจะกล่าวได้เต็มปากว่ารู้สึกย่ำแย่เสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ใช่แต่เพียงนางไม่ได้เป็นจุดเด่นของโรงเรียนเท่านั้น แต่นางยังเสมือนไร้ตัวตนในสายตานักเรียนทั้งโรงเรียน คนเหล่านั้นให้ความสนใจแต่ฉินอวี้โม่สตรีที่นางนึกชังเพียงผู้เดียว เมื่อคิดถึงสิ่งที่ฉินอวี้โม่ได้รับตอนอยู่ที่โรงเรียน หลิวหว่านเยียนผู้ติดหนึ่งในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินก็รู้สึกอิจฉาริษยาจนแทบคลุ้มคลั่ง

ก่อนหน้านี้นางคิดเสมอว่าเมื่อได้เข้าไปอยู่ในโรงเรียนราชสำนัก ด้วยความที่เป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงามจะทำให้นางได้เฉิดฉายกลายเป็นดาวเด่นของโรงเรียนได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่คิดเลยว่าเวลาผ่านไปเกือบเจ็ดเดือนเต็มในสถาบันการศึกษาชื่อดังที่รวบรวมคนรุ่นเยาว์ทั่วทั้งแผ่นดินเอาไว้เช่นนั้นจะไม่มีผู้ใดที่คิดจะสนใจนางเลย ตำแหน่งหนึ่งในสิบอันดับโฉมงามแห่งแผ่นดินของนางดูไร้ความหมายอย่างน่าโมโห

“เอาเถอะหน่า เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง”

สีหน้าของหานโม่หยวนดูย่ำแย่อย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังวาจาซักไซ้กับน้ำเสียงไม่พอใจของสตรีข้าง ๆ บุรุษหยิ่งยโสก็บอกปัดอย่างหมดความอดทน ภายในน้ำเสียงของเขาไม่มีความอ่อนโยนอยู่สักนิด

ไม่ต้องบอกกล่าวก็ทราบได้ทันทีว่าอารมณ์ของผู้นี้กำลังเลวร้ายมากขนาดไหน

ก่อนหน้านี้แม้ว่าสถานการณ์ภายในตระกูลหานของเขาจะตกเป็นรองหานโม่ฉืออยู่มาก แต่ด้วยการที่มีเส้นสายจากทางมารดาก็ยังคงทำให้เขาไม่เสียเปรียบมากนัก ทว่าจู่ ๆ ก็มีสตรีบ้านนอกพรสวรรค์สูงส่งอย่างฉินอวี้โม่รวมทั้งตระกูลฉินของนางโผล่เข้ามาเป็นตัวแปรใหม่ที่ไม่คาดฝัน คนพวกนั้นแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่น และจะต้องเป็นภัยต่อพลังอำนาจของเขาในอนาคตแน่

เมื่อคิดเห็นได้เช่นนี้คุณชายรองตระกูลหานจึงคิดจะตัดไฟแต่ต้นลม รีบหาทางกำจัดขวากหนามนี้ให้พ้นทาง

เดิมทีหานโม่หยวนสั่งให้คนของตัวเองไปประโคมข่าวเรื่องที่ฉินอวี้โม่ล่วงเกินคนจากอารามในทำนองเสียหาย โดยทั้งหมดนี้เขาตั้งใจจะสร้างช่องโหว่ด้วยการบั่นทอนพลังอำนาจของตระกูลฉิน

เพราะถ้าหากมีข่าวถูกปล่อยออกไปว่าคุณหนูบ้านนอกของตระกูลฉินสร้างปัญหาใหญ่ด้วยการมีเรื่องบาดหมางกับขุมกำลังลึกลับมากอิทธิพลเช่นอาราม แน่นอนว่าจะต้องทำให้มิตรของตระกูลฉินพากันตีตัวออกหาก ขณะเดียวกันเมื่อพบว่ามีพันธมิตรส่วนหนึ่งละทิ้งไปในยามยาก ตระกูลฉินเองก็จะเกิดความคลางแคลงใจต่อมิตรสหายเหล่านั้น ในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะแตกแยกกันอย่างเป็นทางการ ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจของตระกูลใหญ่แห่งไป๋อวิ๋นก็จะต้องสั่นคลอน ซึ่งนั่นก็จะกลายเป็นช่องโหว่ให้ศัตรูของตระกูลฉินใช้โอกาสนี้เล่นงานพวกเขา เช่นนั้นก็เท่ากับเขาทำลายตระกูลฉินลงได้โดยไม่ต้องลงมือเอง

แผนการเช่นนี้ถือว่าร้ายกาจและแยบคายอยู่ไม่น้อย

เมื่อข่าวที่ฉินอวี้โม่ไปล่วงเกินคนจากอารามแพร่กระจายออกไปไม่นาน สถานการณ์ก็เป็นไปดังที่คุณชายรองตระกูลหานคาดเอาไว้ นั่นคือพันธมิตรบางส่วนเริ่มตีจากตระกูลฉิน ยิ่งไปกว่านั้นราวกับสวรรค์เป็นใจกับเขา เพราะหลังจากนั้นทางอารามก็ได้ส่งคนมาโจมตีตระกูลฉินหลายครั้ง ทว่าชะตาของตระกูลใหญ่ดังกล่าวก็ดูเหมือนจะยังไม่ย่ำแย่ เพราะพวกเขาสามารถเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้งด้วยความช่วยเหลือของขุมกำลังลึกลับ แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลเลวร้ายกับแผนการจับเสือมือเปล่าของหานโม่หยวน

ทว่าสิ่งไม่คาดฝันที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยก็คือ ไม่มีขุมกำลังฝ่ายศัตรูใดเลยที่ไหลไปตามแผนการของเขา ตรงกันข้าม บางส่วนยังใช้โอกาสในยามยากนี้แปรพักตร์เปลี่ยนเป็นเข้าไปผูกมิตรกับตระกูลฉิน ตระกูลเหล่ยคือตัวอย่างที่เห็นได้ชัด

นี่ทำให้หานโม่หยวนรู้สึกฉงนและปวดหัวยิ่งนัก แท้จริงแล้วเหตุผลที่เขาเล่นงานตระกูลฉินก็เพื่อจะเบนความสนใจของหานโม่ฉือและใช้โอกาสนี้กระทำการบางอย่าง แต่ไม่คิดเลยว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้จู่ ๆ หานโม่ฉือก็เปลี่ยนจากปีศาจเย็นชามาเป็นจอมมารร้ายที่ไล่ต้อนเขาอย่างบ้าเลือด

ในอดีตที่ผ่านมาแม้ว่าหานโม่ฉือจะเหนือกว่าเขาโดยตลอด และถึงแม้จะถูกเขากับมารดาเล่นงานมากเพียงใดคนผู้นั้นก็ยังไม่เคยกล้าทำอะไรพวกเขาเลยแม้แต่ปลายเล็บ ทว่ามาบัดนี้มนุษย์น้ำแข็งนั่นกลับดูอำมหิตขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยให้เขาได้ทำสิ่งใดโดยสะดวกแต่ยังหาทางเล่นงานพวกเขาอย่างซึ่ง ๆ หน้า

ด้วยเหตุนี้เองคุณชายรองตระกูลหานจึงกระวนกระวายใจและรู้สึกร้อนรนเป็นอย่างมาก มารดาของเขาเข้าใจถึงสถานการณ์ดีจึงเสนอความคิดหนึ่งขึ้นมา

นางคิดว่า ขอเพียงพวกเขาสามารถผูกไมตรีกับฉินอวี้โม่และดึงเอาตระกูลฉินทั้งหมดมาอยู่ข้างเขาได้ เขาก็อาจจะทำให้หานโม่ฉืออยู่ไม่เป็นสุขได้ ยิ่งกว่านั้นหากว่าทำให้ฉินอวี้โม่เปลี่ยนใจในความรัก นางก็เชื่อว่าเรื่องนี้จะทำให้ลูกเลี้ยงที่นางเกลียดชังต้องเสียศูนย์จนทำสิ่งใดไม่ถูก

เมื่อได้ฟังแผนการอัน ‘ชาญฉลาด’ ของผู้เป็นมารดาหานโม่หยวนก็เห็นด้วย ทั้งพลังอำนาจรวมไปถึงรูปร่างหน้าตาของเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามนุษย์น้ำแข็งร่วมสายเลือดนั่นสักนิด ดังนั้นวันนี้เขาจึงขอให้หลิวหว่านเยียนเชื้อเชิญฉินอวี้โม่ออกมา เขากำลังพยายามหาวิธีผูกไมตรีและดึงสตรีบ้านนอกมาอยู่ฝ่ายเขาให้ได้

ฉินอวี้โม่พร้อมด้วยสาวใช้น้อยเสี่ยวโร่วเดินเข้ามาในตึกเต๋อเยว่ ก่อนจะถูกพนักงานต้อนรับผู้หนึ่งพาไปยังห้องที่หลิวหว่านเยียนจองไว้

ทันทีที่เข้ามา ฉินอวี้โม่ก็เห็นว่าในห้องมีหานโม่หยวนอยู่ด้วย เขานั่งอยู่ข้างกายหลิวหว่านเยียน คิ้วเรียวของคุณหนูสี่ตระกูลฉินขมวดมุ่นอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่นางจะรีบดึงสีหน้ากลับมาเป็นเย็นชาตามเดิม

“หลิวหว่านเยียน ที่เชิญข้ามาที่นี่เจ้ามีสิ่งใดอย่างพูดก็รีบพูดมา”

ฉินอวี้โม่กล่าวโดยไม่เหลียวมองสตรีหลงตัวเองตระกูลหลิว นางเชิดหน้าเอ่ยปาก แสร้งทำทีประหนึ่งไม่อยากมองอีกฝ่ายให้เสียสายตา

เมื่อได้เห็นท่าทีหยิ่งยโสของอีกฝ่าย หลิวหว่านเยียนก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นทันที ทว่าในเมื่อหานโม่หยวนยังไม่ได้กล่าวสิ่งใด นางก็ไม่กล้าจะเอ่ยก่อนเช่นกัน

“แม่นางอวี้โม่ ผู้ที่เชิญเจ้ามาในวันนี้ไม่ใช่หลิวหว่านเยียน แต่เป็นข้าเอง”

หานโม่หยวนลุกขึ้นต้อนรับพลันฉีกยิ้มละไมดูสุภาพอ่อนโยน “ข้ากังวลว่าหากใช้นามของข้าเชื้อเชิญอาจจะทำให้ทั้งแม่นางอวี้โม่และพี่ใหญ่เข้าใจผิดได้ ด้วยเหตุนั้นข้าจึงใช้ชื่อของหว่านเอ๋อร์แทน”

วันนี้หานโม่หยวนตั้งใจจะวางมาดเป็นสุภาพบุรุษแสนดี ทว่าฉินอวี้โม่ก็ดูออกอย่างง่ายดายว่าคนผู้นี้กำลังเสแสร้ง

เพราะเหตุผลที่เขากล่าวอ้างนั้นเหลวไหลทั้งเพ หากกลัวว่าพี่ชายจะเข้าใจผิดจริง ๆ เขาก็ไม่ควรเลือกสถานที่นัดพบนางเป็นตึกเต๋อเยว่ซึ่งเป็นร้านอาหารในสังกัดของประตูไร้เงาแต่แรกแล้ว

“หึ ๆ แล้ววันนี้เชิญข้ามาที่ตึกเต๋อเยว่แห่งนี้คุณชายมีธุระอันใดรึ ?”

ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มบาง สีหน้าของนางยังคงเย็นชาจนติดจะเหยียดหยามคู่สนทนาทั้งสองอยู่เช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน

“แม่นางอวี้โม่ ที่ผ่านมาข้าอาจจะทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจไปบ้าง แต่วันนี้ข้าตั้งใจจะมาชดเชยให้เจ้า หว่านเอ๋อร์เองก็ทำเรื่องไม่ดีกับเจ้าไว้หลายอย่าง วันข้าจึงพานางมาเพื่อขอโทษเจ้าด้วย”

น้ำเสียงของหานโม่หยวนดูยำเกรงอีกฝ่ายมาก ต้องกล่าวเลยว่าวันนี้คุณชายรองตระกูลหานปั้นสีหน้าได้แนบเนียนยิ่งนัก หากไม่ใช่คนที่เคยรู้จักเขามาก่อนก็ย่อมต้องหลงเชื่อว่าเขากระทำอย่างจริงใจเป็นแน่ ทว่าสีหน้าของฉินอวี้โม่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

“จริงหรือ ? กล่าวตามตรงว่าข้าไม่เคยสนใจหรือถือสาเรื่องนี้สักนิด มีคำกล่าวไว้ว่าหมากัดอย่ากัดตอบ แล้วข้าก็ไม่เคยคิดจะลดตัวลงไปทำเรื่องไร้สาระแบบนั้น”

ใบหน้างามของฉินอวี้โม่ประดับรอยยิ้มอ่อนในขณะที่ปากเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเสียดสี อย่างไรก็ตาม ภายใต้สีหน้ายโสนี้กลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย คุณหนูตระกูลฉินไม่เข้าใจเลยว่าหานโม่หยวนคิดจะทำอะไรกันแน่ถึงได้เสียเวลาปั้นหน้าเสแสร้งเป็นคนดีมานั่งเจรจากับนางเช่นนี้

หากจะให้เดา เท่าที่นางพอจะนึกได้ก็คือ คนผู้นี้อาจจะกำลังคิดจะใช้อุบายก่อกวนความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหานโม่ฉือเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็นับว่าเป็นความคิดที่โง่งมจนน่าหัวเราะ ไม่ว่าอย่างไรในเรื่องนี้ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย อดีตนักฆ่าสาวมั่นคงในความคิดและความรู้สึกของตนเอง และหากว่าเพียงแค่นี้จะทำให้หานโม่ฉือไม่เชื่อใจหรือนึกคลางแคลงใจในตัวนาง เช่นนั้นการจะครองคู่กับเขาต่อไปก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังรังแต่จะก่อผลเสียกับชีวิต

“ฮ่า ๆ ๆ แม่นางอวี้โม่กล่าวได้ถูกแล้ว”

สิ้นน้ำเสียงหวานใสจากถ้อยคำบาดลึกนั้น หานโม่หยวนก็ชะงักกึกใบหน้าชาซ่าน ทว่าเพียงชั่ววูบเดียวเขาก็ดึงสติกลับมาได้และยังหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง แท้จริงแล้วในจิตใจของคุณชายรองตระกูลหานกำลังเดือดดาลด้วยเพลิงโทสะ เขาแทบอยากจะซัดสตรีตรงหน้าสักฝ่ามือหนึ่งเพราะทนวาจาของนางไม่ไหว ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้เขาก็มีแต่ต้องข่มกลั้นจิตใจเอาไว้เท่านั้น

“แม่นางอวี้โม่ แต่ไหนแต่ไรพี่ใหญ่ของข้าก็เป็นคนเลือดเย็นและไม่ค่อยสนใจใครอยู่แล้ว หากว่าเขาจะไม่เหลียวแลหรือละเลยแม่นางไปบ้างก็อย่าได้ตำหนิเขาเลยนะ”

หานโม่หยวนแสร้งใช้น้ำเสียงเอื้ออาทรพร้อมกับเผยรอยยิ้มปลอบประโลมก่อนจะกล่าวต่อ “ที่สำคัญ ด้วยความที่เขาเป็นคนเย็นชามาแต่เด็กทำให้เขาไม่เคยรักผู้หญิงจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง อันที่จริงตามความคิดของข้า ข้าว่าคนดี ๆ อย่างเจ้าควรจะได้ครองคู่กับบุรุษที่ดีกว่าพี่ชายผู้นี้ของข้าเสียด้วยซ้ำ”

ถึงแม้หานโม่หยวนจะแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยมากเพียงใด แต่ฉินอวี้โม่ก็ทราบว่านั่นคือละครฉากหนึ่ง ในโลกศตวรรษที่ 21 นางเคยเห็นมานักต่อนักแล้วเรื่องที่ตัวโกงพูดจายุแยงให้อีกฝ่ายเกิดความสัมพันธ์ร้าวฉาน ไม่คิดเลยว่านางจะได้มาพบเจอของจริงในโลกใบใหม่นี้ ดังนั้นอดีตสาวในยุคละครน้ำเน่าจึงพอจะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายได้ …บุรุษผู้นี้กำลังเล่นบทตัวโกงพยายามทำลายความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหานโม่ฉือ

“ขอบคุณที่เตือนข้า แต่ชีวิตนี้ข้าว่าคงจะหาบุรุษที่ดีกว่าโม่ฉือไม่ได้อีกแล้ว”

ฉินอวี้โม่ยืนขึ้นและเตรียมจะออกไปจากที่นี่ ในตอนนี้นางได้รู้ถึงจุดประสงค์อันแท้จริงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลและไม่เห็นประโยชน์อันใดที่ต้องอยู่ต่ออีก

“แม่นางอวี้โม่ เหตุใดเจ้าถึงไม่ลองรับข้าไปพิจารณาดูล่ะ ?”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่หันหลังเตรียมจะกลับออกไป หานโม่หยวนก็รีบลุกขึ้นแล้วปั้นสีหน้าจริงจังพร้อมกับโพล่งคำถาม เมื่อเห็นว่าสตรีบ้านนอก ‘ผู้ตกเป็นเหยื่อ’ หันกลับมาเขาก็ยกยิ้มทรงเสน่ห์พลางจ้องมองนางด้วยสายตาสื่อความหมาย

“ข้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิ์ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหานเช่นกัน ทุกอย่างที่พี่ใหญ่มีข้าก็มีเหมือนกัน และในอนาคตข้าก็จะมียิ่งกว่าที่เขามี ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าที่เขาเป็น ข้าไม่มีจุดใดที่ด้อยไปกว่าเขาเลย ยิ่งกว่านั้นข้าเป็นบุรุษมีหัวใจ ข้ารู้วิธีรักและถนอมดอกไม้งามไม่เหมือนกับคนเย็นชาผู้นั้น ถ้าแม่นางอวี้โม่เลือกข้า ข้าสัญญาจะดูแลเจ้าอย่างดีที่สุด เจ้าจะมีความสุขมากกว่าสตรีผู้ใดในใต้หล้า”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มขึ้นตรงมุมปากอย่างอดไม่ได้ ในที่สุดคนผู้นี้ก็เปิดเผยจุดประสงค์น่าสมเพชของเขาออกมาตรง ๆ แล้ว

ทว่าหานโม่หยวนผู้นี้นั้น หากเขาไม่รู้น้อยเกินไปก็คงจะมีสมองอยู่น้อยเกินไปหรืออาจเป็นเพราะทั้งชีวิตไม่เคยรู้จักความจริงใจมาก่อน เพราะเขาประเมินความไว้เนื้อเชื่อใจและความจริงใจที่มีให้แก่กันและกันของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ต่ำเกินไปแล้ว

“หานโม่หยวน เจ้าพูดถูก เจ้า ‘มีดี’ กว่าหานโม่ฉือจริง ๆ ”

ฉินอวี้โม่มองดูหานโม่หยวนและกล่าวเสียงเรียบ

“ใช่แล้ว ข้าดีกว่าพี่ชายข้า ขอเพียงเจ้าลองเปิดใจและให้เวลาข้า เจ้าก็จะเข้าใจเองว่าข้าคนนี้ดีกว่าเขาเป็นร้อยเท่าพันทวี”

หานโม่หยวนพยักหน้า เขาเริ่มเห็นประกายแห่งความหวังที่จะพิชิตใจฉินอวี้โม่ได้แล้ว

“ซึ่ง‘สิ่งที่เจ้าดีกว่า’ หานโม่ฉือก็คือความหน้าด้านไร้ยางอายและความโง่เขลาของเจ้า เรื่องความแข็งแกร่ง สติปัญญา ความแสนดีและอ่อนโยนที่โม่ฉือมอบให้ ข้าไม่คิดจะเอาไปเปรียบเทียบกับผู้ใด แต่ถ้าเป็นเรื่องโง่งมต่ำช้า ข้าว่าเจ้าชนะเขาได้ในทุกทาง”

ฉินอวี้โม่กล่าวตอบอย่างสบาย ๆ ก่อนจะหันหลังอีกครั้งแล้วพาสาวใช้ก้าวเดินจากไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามองอีก

ทันทีที่ประมวลผลวาจาของฉินอวี้โม่ได้จนครบถ้วน ใบหน้าของหานโม่หยวนก็บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด ไม่คิดเลยว่าสตรีบ้านนอกตระกูลฉินผู้นั้นจะพูดจาไม่ไว้หน้าและแสดงกิริยาหยาบคายต่อหน้าเขาถึงเพียงนี้ !

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด