คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 158 รวมพล

อ่านนิยายจีนเรื่อง คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด ตอนที่ 158 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ฉินอวี้โม่และคณะอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้มาได้สามวันแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่เห็นเงาของผู้เข้าแข่งขันกลุ่มใดเลย อันที่จริงต้องกล่าวว่าพวกเขาไม่รู้สึกว่ามีสิ่งมีชีวิตใด ๆ ย่างกรายเข้ามาใกล้เลยมากกว่า ในเรื่องนี้คนทั้งสิบต่างก็อดสงสัยไม่ได้

อีกเพียงสิบเอ็ดวันการแข่งประเภทกลุ่มก็จะสิ้นสุดลงแล้ว ถึงตอนนั้นทุกคนจะถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากป่าเหมันต์ในทันที หากคิดกันตามเหตุผล เหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์แห่งโรงเรียนราชสำนักทั้งหลายก็น่าจะหลั่งไหลมารวมตัวกัน ณ บริเวณศูนย์กลางของป่า เพราะถ้าหากจะให้กล่าวว่าสถานที่ใดที่เหมาะสมจะมีสมบัติล้ำค่าอยู่ก็แน่นอนว่าควรจะเป็นจุดที่ลึกที่สุดของผืนป่า อีกทั้งในเมื่อกลุ่มของฉินอวี้โม่สอบถามข้อมูลจากอสูรในป่าเหมันต์ได้ ก็ควรจะมีนักเรียนหลายกลุ่มที่ใช้วิธีใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ถึงแม้จะตามหาผลเยือกมณีไม่พบ แต่โอกาสที่จะพบโชควาสนาหรืออื่น ๆ ณ ใจกลางป่าก็น่าจะมีมากกว่าส่วนอื่น โดยเฉพาะสถานที่ที่มีอันตรายสูงเช่นรังของมังกรเหมันต์

และในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีข้อสันนิษฐานเดียวที่เป็นไปได้นั่นคือ นักเรียนกลุ่มอื่น ๆ อาจจะเข้าไปยังอาณาเขตของมังกรเหมันต์จากทิศทางอื่น ส่วนเรื่องที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตผ่านทางมาก็เดาได้ไม่ยากว่าเหล่าอสูรมายาทั้งหลายคงไม่ต้องการเฉียดเข้าใกล้เขตแดนของมังกรผู้แข็งแกร่ง

ในสามวันที่ผ่านมา เสียงประกาศของโรงเรียนยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการนับของเจียงหลิวเยว่พบว่ากลุ่มที่ถูกชิงแผ่นป้ายและถูกคัดออกไปมีมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว และขณะนี้เหลือผู้เข้าแข่งขันที่ยังคงอยู่ในป่าเหมันต์อีกเพียงสิบเจ็ดกลุ่มเท่านั้น

“ไปกันเถอะ บางทีกลุ่มอื่นอาจจะเข้าไปจากทางอื่นแล้ว ข้าว่าพวกเราก็ไม่ควรรออยู่ที่นี่ต่อไปอีกแล้ว”

ฉินอวี้โม่เสนอความคิดเห็น

คนอื่น ๆ พยักหน้าอย่างเห็นพ้อง ได้เวลาที่พวกเขาควรจะออกเดินทางแล้ว คนทั้งหมดจัดเก็บสัมภาระลงในแหวนมิติและรีบออกเดินทาง

หลังออกจากถ้ำ คณะเดินทางทั้งสิบก็มุ่งหน้าลึกเข้าไปยังใจกลางป่าเหมันต์มากขึ้นเรื่อย ๆ   ภายใต้การนำทางของมารยาในเวลาเพียงไม่นานนัก พวกเขาทั้งหมดก็มาถึงยังขอบของอาณาเขตแห่งเจ้ามังกรผู้ยิ่งใหญ่เป็นที่เรียบร้อย

ทว่ายังไม่ทันจะก้าวล่วงเข้าสู่เขตแดนของอสูรเผ่าพันธุ์มังกรโดยสมบูรณ์ จู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งตรงมายังทิศทางที่พวกเขาอยู่

ฉินอวี้โม่และคณะหยุดเคลื่อนไหวในทันที พวกเขารีดเค้นพลังมายาและปลุกประสาทสัมผัสทั้งห้าเพื่อเตรียมความพร้อม สิบคนและหนึ่งอสูรต่างนิ่งเงียบรอคอยการปรากฏกายของกลุ่มคนปริศนาที่กำลังจะมาถึง

หลังจากรออยู่นานหลายเฟิน ในที่สุดคณะอวี้โม่ก็มองเห็นเงาร่างมนุษย์จำนวนห้าคน คนเหล่านั้นต้องเป็นนักเรียนแห่งโรงเรียนราชสำนักผู้เข้าร่วมศึกประชันยุทธ์แบบหมู่คณะเป็นแน่ และเมื่อเห็นใบหน้าพวกเขาชัดเจนฉินอวี้โม่ก็ยิ้มกว้าง

คนกลุ่มนี้ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าเป็นอย่างดี เพราะผู้นำกลุ่มคือเยว่ชิงเฉิง

“พวกเจ้าอยู่ที่นี่เองหรือ ?”

เมื่อเห็นกลุ่มของฉินอวี้โม่และกลุ่มของฉีอวี้อยู่ด้วยกัน เยว่ชิงเฉิงก็ดูจะประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าคุณหนูแห่งตระกูลช่างหลอมก็ยังคงฉีกยิ้มเริงร่าแล้วรีบพุ่งเข้าไปทักทายเหล่าสหายอย่างมีความสุข

หลายวันมานี้พวกนางลำบากกันไม่น้อย แต่ก็ได้รับประสบการณ์อันถือว่าคุ้มค่ายิ่ง ในเกือบยี่สิบวันที่อยู่ที่นี่ฝีมือของทุกคนในกลุ่มพัฒนาไปมากพอสมควร

การผจญภัยครั้งนี้หนักหนาสาหัสเป็นอย่างมากสำหรับกลุ่มของเยว่ชิงเฉิงที่ไม่มีนักเรียนระดับหัวกะทิอยู่ร่วมในกลุ่มเลยเช่นนี้ ทว่ามันก็ทำให้ฝีมือของทุกคนพัฒนารุดหน้าไปอย่างน่ายินดี แต่หลังจากเดินทางรอนแรมมามากกว่าครึ่งเดือนพวกนางกลับไม่พบสหายร่วมโรงเรียนแม้แต่กลุ่มเดียว นั่นทำให้พวกนางเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา จนกระทั่งในวันนี้ เมื่อได้พบเจอฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ในที่สุดทั้งห้าคนก็โล่งใจขึ้นมาได้

“ลั่วอวิ๋น ตอนนี้ระดับพลังของเจ้าอยู่ระดับใดแล้ว เหตุใดถึงได้ดูแข็งแกร่งนัก ?”

โอวหยางชิงเฟิงสัมผัสได้ถึงสภาวะพลังอันแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตาจากร่างกายของสหาย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาด้วยความใคร่รู้

“ใช่ ๆ ช่วงที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ ?”

เยว่ชิงเฉิงมองลั่วอวิ๋นและองค์ชายฉีอวี้พลางกล่าวคำถาม ก่อนหน้านี้พวกนางก็ได้ยินเสียงประกาศจากทางโรงเรียนว่ากลุ่มของพวกเขาถูกชิงป้ายไปเช่นกัน ในตอนนั้นกลุ่มของเยว่ชิงเฉิงทั้งห้าคนเป็นกังวลไม่น้อย แต่เหมือนว่าในที่สุดพวกฉีอวี้จะชิงมันกลับมาได้ สหายทั้งห้าจึงคลายใจลงไปมาก

ในตอนที่ฉีอวี้กำลังจะบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สหายฟังอยู่นั้นเอง พวกเขาทั้งหมดก็มองเห็นคนสามกลุ่มที่แต่ละกลุ่มมีสมาชิกจำนวนห้าคนปรากฏตัวขึ้น

เมื่อเห็นคนทั้งสามกลุ่มนั้น ฉินอวี้โม่และคณะก็ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับหยุดบทสนทนาลงในฉับพลัน คนทั้งหมดตั้งท่าเตรียมความพร้อม ทุกสายตามองเขม็งไปยังผู้มาเยือน

“หึ พวกเจ้ามาถึงกันเร็วใช้ได้เลยนี่”

สามกลุ่มที่มาใหม่นั้นประกอบด้วยกลุ่มของจีหย่ง กลุ่มของจีชาง และกลุ่มของปู้เฟยเทียน สามกลุ่มนี้คือพันธมิตรต่ำช้าที่แน่นแฟ้นมาก และผู้ที่เอื้อนเอ่ยวาจาทักทายอยู่ในขณะนี้คือจีชาง

“หึ ๆ ๆ พวกเจ้าช้าเกินไปต่างหากเล่า”

เยว่ชิงเฉิงยิ้มเยาะและไม่ลืมกล่าววาจาเย้ยหยันตอบกลับอีกฝ่าย

“หืม ดูเหมือนที่นี่จะมีคนอยู่เยอะแยะเลยนะ”

ในตอนนั้นเอง เสียงสตรีอีกเสียงก็ดังขึ้น เมื่อมองตามทิศทางของต้นกำเนิดเสียง ฉินอวี้โม่ก็เห็นกลุ่มผู้เข้าแข่งขันอีกหลายกลุ่มกำลังเดินเข้ามาใกล้ กลุ่มแรกคือกลุ่มของปิงเสวียน และอีกกลุ่มที่ตามมาติด ๆ นำโดยเพ่ยหลง ส่วนกลุ่มอื่น ๆ ที่เหลือนั้นก็มีทั้งกลุ่มของผู้ที่คุณหนูตระกูลฉินรู้จักและอีกหลายกลุ่มที่นางไม่คุ้นหน้า

“อวี้โม่ พวกเจ้าก็อยู่ด้วยหรือ”

เมื่อเห็นรุ่นน้องที่ชมชอบพร้อมกับเหล่าสหายของนาง เพ่ยหลงก็ตรงเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม

กลุ่มของปิงเสวียนและหลินหยวนมีสมาชิกกว่าครึ่งที่คุ้นเคยและมีความสัมพันธ์อันดีกับคนในกลุ่มของฉินอวี้โม่ พวกเขาจึงเข้าไปทักทายกันและอย่างคุ้นเคย

ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก เหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งโรงเรียนราชสำนักที่ยังคงเหลือรอดในศึกประชันยุทธ์ประเภทหมู่คณะทั้งสิบเจ็ดกลุ่มก็มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า

“นักเรียนทุกท่าน ในเมื่อทุกคนมารวมตัวกันแล้ว ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ข้าขอเสนอว่าพวกเราต้องหารือกันว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี”

เมื่อเห็นกลุ่มทั้งสิบเจ็ดกลุ่มที่ยังไม่ถูกคัดออกมารวมตัวกัน เจียงหลิวเยว่ก็ประกาศข้อเสนอของตนขึ้น

“จะทำอะไรกันต่อไปอย่างนั้นรึ ? พวกเราทั้งหมดต่างก็เป็นคู่แข่งกัน อย่างบอกนะว่าพวกเจ้าคิดจะให้ทุกคนร่วมมือกัน ? คิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างนั้นรึ ?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เจียงหลิวเยว่เสนอ จีชางก็โต้กลับอย่างเห็นต่าง ทั้งวาจาและน้ำเสียงไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย

“พวกเจ้าไม่อยากร่วมมือ หรือว่าทางพวกเจ้ามีเบาะแสของผลเยือกมณีแล้ว ? ข้าว่าถ้าเจ้าเองก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปก็ช่วยสงบคำลงเสียบ้างเถอะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของจีชาง เยว่ชิงเฉิงก็แย้มยิ้มมุมปากแล้วกล่าวค่อนแคะ

สีหน้าของจีชางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าเขาก็ได้แต่นิ่งเงียบไปไม่ตอบโต้ ดูเหมือนว่าพันธมิตรของจีชางทั้งสามกลุ่มก็ยังไม่ได้ข่าวคราวหรือเบาะแสใด ๆ ของผลเยือกมณี

“ข้าว่าทุกคนคงจะพอรู้สถานการณ์กันบ้างแล้ว ตอนนี้จุดเดียวที่น่าจะยังไม่มีผู้ใดได้สำรวจก็คือจุดศูนย์กลางของป่าเหมันต์ แต่ว่าตรงจุดนั้นมีมังกรเหมันต์ซึ่งเป็นอสูรที่แข็งแกร่งมากอาศัยอยู่ แน่นอนว่าการจะบุกเข้าไปในรังมังกรเช่นนี้มีอันตรายอย่างยิ่ง แต่เพื่อให้ได้ผลเยือกมณีมา อย่างไรเราก็ควรจะลองเข้าไปสำรวจดู เวลานี้มังกรเหมันต์เป็นปัญหาใหญ่ ที่แน่นอนว่าเราจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมันไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงอยากจะเสนอให้ทุกคนร่วมมือกันจัดการมังกรเหมันต์ที่เป็นตัวปัญหาก่อน หากกำราบมันได้ หลังจากนั้นพวกเราค่อยมาแข่งกันหาเบาะแสและตามหาผลเยือกมณีก็ยังไม่สาย”

“พวกเราทุกคนจะต้องร่วมมือกันขับไล่และผลักดันให้มังกรเหมันต์ออกไปจากอาณาเขตนี้จากนั้นค่อยแบ่งกำลังไว้คอยค้นหาเบาะแสของผลเยือกมณี ทำเช่นนี้โอกาสที่แต่ละกลุ่มจะได้ครอบครองผลเยือกมณีก็จะมีมากกว่าครึ่งส่วน แต่หากไม่ทำสิ่งใดเลยและดาหน้าเข้าไปเป็นของเล่นของมังกร ไม่เพียงแต่โอกาสที่จะได้ผลเยือกมณีและเป็นผู้ชนะจะเท่ากับศูนย์เท่านั้น แต่โอกาสในการรอดชีวิตของทุกคนก็จะลดลงอีกคนละหลายส่วนด้วย”

เจียงหลิวเยว่บอกเล่าแผนการตามที่ได้ปรึกษากับคนในกลุ่มไปก่อนหน้านี้แล้วออกมา

ทุกกลุ่มในที่นี้ไม่มีกลุ่มใดที่แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับมังกรเหมันต์โดยลำพังได้ อสูรเผ่าพันธุ์มังกรนั้นแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาซึ่งเป็นเพียงนักเรียนในโรงเรียนราชสำนักจะรับมือได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เป็นคนที่เก่งที่สุดอย่างปิงเสวียนยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของโรงเรียนราชสำนักผู้ใกล้จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์แล้ว ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมังกรผู้ยิ่งใหญ่ หรือต่อให้ใช้ทั้งสิบอันดับแรกของทำเนียบนภาก็อาจจะไม่สามารถรับมือกับมันได้ถึงหนึ่งก้านธูปเลยด้วยซ้ำ

ฉะนั้นแล้ว ในตอนนี้มีหนทางเดียวคือต้องร่วมมือกันทั้งหมดถึงจะพอมีโอกาสไล่ต้อนมันได้บ้าง แต่ถ้าคิดจะสังหารอสูรผู้แข็งแกร่งระดับนั้น แน่นอนว่าคงไม่มีหวังแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่จำเป็นต้องฆ่ามังกร ขอเพียงขับไล่มันให้พ้นพื้นที่นี้ได้ การตามหาผลเยือกมณีก็จะมีความหวังมากขึ้นแล้ว

“ในเมื่อผู้ที่เสนอความคิดคือแม่นางเจียง พวกเราก็ไม่มีอะไรคัดค้าน”

ปิงเสวียนเป็นคนแรกที่เอ่ยปากเห็นด้วยกับแผนการนี้

“พวกเราก็ไม่มีความเห็นอื่น”

ลั่วเฉินพยักหน้าเห็นด้วย กลุ่มของพวกเขาเองก็ไม่คัดค้านเช่นกัน

“นี่คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ข้าเห็นด้วยที่จะให้เราทั้งหมดร่วมมือกันก่อน”

เพ่ยหลงยิ้มออกมาแล้วกล่าวสนับสนุนอีกเสียง

หลังจากนั้นหัวหน้าของกลุ่มอื่น ๆ ต่างพากันพยักหน้าอย่างเห็นพ้องกับวิธีของเจียงหลิวเยว่ ไม่มีผู้ใดเอ่ยคัดค้านหรือเสนอสิ่งใดเพิ่มเติมอีก ในตอนนี้กลุ่มที่ยังคงนิ่งเงียบไม่แสดงจุดยืนก็เหลือแต่พันธมิตรทั้งสามคือ กลุ่มจีหย่ง กลุ่มจีชางและกลุ่มปู้เฟยเทียน

“จีหย่ง ทางเจ้ามีความเห็นอย่างไร ?”

เมื่อเห็นว่ามีเพียงสามพันธมิตรที่ไม่แสดงท่าทีใด ๆ เจียงหลิวเยว่ก็เอ่ยถาม บนใบหน้างามประดับรอยยิ้มของผู้เจรจาที่ดี แม้ว่าจีหย่งจะมีเรื่องบาดหมางกับคนในกลุ่มของนาง แต่จีหย่งและตัวนางเองโดยส่วนตัวแล้วก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เลวร้าย ดังนั้นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินจึงมั่นใจว่าเขาต้องเห็นด้วยแน่

“แน่นอนว่าพวกเราก็ไม่มีความเห็นอื่น แต่พวกเราแค่คิดว่าเราควรจะตั้งหัวหน้าชั่วคราวเพื่อเอาไว้บัญชาการและประสานงานให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้”

ในที่สุดผู้ครองอันดับสามแห่งทำเนียบนภาก็เปิดปากกล่าว อย่างไรก็ตามจีหย่งก็ไม่ได้เอ่ยคัดค้าน แต่ก็เสนอเรื่องผู้สั่งการออกมาเพื่อให้คนจำนวนมากทำงานร่วมกันได้ง่าย

“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ในที่นี้ปิงเสวียนคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดและอยู่ในอันดับหนึ่งของทำเนียบนภา เขาควรจะเป็นคนที่ทำหน้าที่ผู้บัญชาการ”

เจียงหลิวเยว่เสนอชื่อปิงเสวียน เรื่องนี้นางเคยหารือกับคนในกลุ่มของตัวเองและกลุ่มของฉีอวี้ไว้แล้วเช่นกัน ในตอนนั้นพวกเขาเสนอแผนการสำรองไว้มากมาย หนึ่งในนั้นคือถ้าหากมีการรวมกลุ่มกันก็จะเลือกให้ผู้ที่มีความแข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้นำกลุ่ม และในเวลานี้ก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งทำเนียบนภา ซึ่งนักเรียนทั้งสิบสี่กลุ่มที่นอกเหนือจากพันธมิตรของจีหย่งไม่มีผู้ใดคัดค้าน

จีหย่งหันไปมองปิงเสวียนครั้งหนึ่งก่อนจะพยักหน้า ในตอนแรกเขาคิดจะเสนอว่าควรจะใช้การลงคะแนนเสียง ทางฝ่ายเขามีพันธมิตรถึงสามกลุ่ม หากช่วยกันเสนอชื่อเขาก็ย่อมได้เปรียบ

อย่างไรก็ตาม เจียงหลิวเยว่กลับชิงเสนอชื่อของปิงเสวียนขึ้นมาก่อน เรื่องที่ปิงเสวียนแข็งแกร่งที่สุดอย่างไรก็คือความจริง คนผู้นั้นแข็งแกร่งอย่างไม่มีผู้ใดกล้าทัดทาน ในเมื่อไม่สามารถหาเหตุผลอื่นใดมาอ้างได้แล้ว จีหย่งจึงไม่กล้าเสนอความคิดของตัวเองออกไป

ปิงเสวียนพยักหน้า เขาเองก็เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีจึงยอมรับหน้าที่ดังกล่าวโดยไม่ลังเล

“แม่นางเจียง เจ้าคงจะพอรู้จุดที่มังกรเหมันต์ปักหลักอยู่ใช่หรือไม่ เช่นนี้เจ้าก็ช่วยนำทางไปที พวกเราทุกคนจะตามเจ้าไปไม่ห่าง เมื่อพบมังกรเหมันต์แล้ว ข้าอยากจะให้ทุกคนร่วมมือกันเพื่อขับไล่มันไปให้ได้ก่อน หลังจากนั้น ค่อยกล่าวถึงเรื่องของผลเยือกมณี”

ปิงเสวียนกล่าวข้อตกลงที่ชัดเจนก่อนเป็นอันดับแรก เขาคิดว่าการจะขับไล่มังกรเหมันต์เป็นแนวคิดที่ดีแต่คงจะต้องใช้กำลังคนทั้งหมดไม่สามารถแบ่งแยกได้แล้วค่อยตามหาผลไม้วิเศษ ในเมื่อเวลานี้เขาเป็นผู้นำชั่วคราวก็มีสิทธิ์จะสั่งการได้ ซึ่งถ้าหากไม่บอกกล่าวให้ชัดเจนเช่นนี้ตั้งแต่ต้น เกรงว่าทุกคนก็อาจจะให้ความสนใจแต่ผลเยือกมณีจนไม่ให้ความสำคัญกับการเอาชนะมังกรเหมันต์ เช่นนั้นในท้ายที่สุดทุกกลุ่มก็มีแต่จะล้มเหลวกันหมด

เจียงหลิวเยว่และนักเรียนที่อยู่ในที่แห่งนั้นพยักหน้ายอมรับไม่คัดค้าน

หลังจากนั้นทัพใหญ่ในภารกิจกำราบมังกรก็ถึงเวลาเคลื่อนพล

กลุ่มของฉินอวี้โม่เป็นผู้นำทางอยู่ด้านหน้า คุณหนูสี่ตระกูลฉินให้มารยาซ่อนตัวอยู่ในมิติเชื่อมอสูรของนางไม่ให้ผู้อื่นเห็นตัวและคอยบอกทางผ่านการสื่อสารในห้วงจิต

ปิงเสวียนและคนอื่น ๆ เดิมตามพวกนางไปไม่ห่าง และคอยสอดส่องดูพื้นที่รอบข้างตลอดเวลาเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น

ทว่าหลังจากมารยานำทางมาเกือบหนึ่งวันเต็ม กองทัพของพวกเขาก็ยังหาตัวมังกรเหมันต์ไม่พบ ในเรื่องนี้ทำให้จีหย่งและพวกพ้องเริ่มมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ พวกเขากำลังจะหมดความอดทนแล้ว

“รุ่นน้องฉินอวี้โม่ นี่เจ้ารู้ที่อยู่ของมังกรเหมันต์จริง ๆ รึ หรือเป็นแค่วาจาคุยโม้โอ้อวดให้เห็นว่าตัวเองมีดี ?”

จีชางถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ภายในน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูแคลน

“หึ ๆ ๆ ถ้าไม่เชื่อถือข้า รุ่นพี่จีชางก็มานำทางเองเลยดีกว่า รุ่นพี่มีปัญญาทำเช่นนั้นได้ใช่หรือไม่ ?!”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากก่อนจะโต้กลับไปอย่างไม่ไว้หน้า ขณะเดียวกันก็ยังไม่หยุดเดินทางต่อไปเยื้องหน้าอย่างไม่ลดละ

สิ้นประโยคของฉินอวี้โม่ สีหน้าของจีชางก็บิดเบี้ยว กระนั้นเขาก็ยอมสงบคำแต่โดยดีเพราะเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่ามังกรเหมันต์อยู่ที่ใด

ถ้าพวกเขาตั้งแง่หาเรื่องขัดแย้งกับฉินอวี้โม่ในตอนนี้ก็คงไม่พ้นถูกขับไล่ออกจากกลุ่มใหญ่ หากว่าต้องหาทางเอาเองเกรงว่าจะย่ำแย่ไม่น้อย

‘นายหญิง อดทนเอาไว้ เดินทางต่อไปอีกไม่เกินหนึ่งก้านธูปเราก็จะเจอมังกรเหมันต์แล้ว’

มารยากระซิบบอกฉินอวี้โม่จากภายในมิติเชื่อมอสูร

ฉินอวี้โม่ตอบรับคำอสูรสาวในห้วงจิตก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของเจียงหลิวเยว่เพื่อให้นางนำทางทุกคนต่อไป

เจียงหลิวเยว่พยักหน้าและนำพากองทัพทั้งหมดเดินทางอย่างต่อเนื่อง

ปิงเสวียนและนักเรียนคนอื่น ๆ ยังคงติดตามพวกนางไปอย่างอดทน และไม่ลืมสอดส่องระวังภัยในทุกทิศ จนถึงตอนนี้หากไม่นับคณะของจีหย่งก็ยังไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมา

หลังจากเดินทางกันต่อไปอีกห้าถึงหกเฟิน ทุกคนก็เริ่มสัมผัสได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวดูต่างออกไปจากเดิม ต้นไม้ที่เคยขึ้นอยู่หนาตาในบริเวณรอบข้างหายไปจนเกือบหมด เดินมาอีกไม่กี่ก้าว ณ จุดที่นักเรียนทั้งหมดอยู่ก็กลายเป็นที่โล่งกว้าง เบื้องหน้าของทุกคนปรากฏเป็นภูเขาสูงตระหง่านน่าตกใจ ภูเขาลูกนี้สูงจนทะลุก้อนเมฆด้านบนทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่ายอดเขานั้นสิ้นสุดตรงจุดใด

ในตอนนั้นเองทุกคนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันรุนแรงปะทะเข้ามาจากทั่วทุกทิศ ขณะที่บางคนเริ่มสัมผัสถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่นขึ้นมาได้แล้ว อย่างไรก็ตามสัมผัสนั้นก็ค่อนข้างเลือนรางและบางเบาเหล่านักเรียนทั้งหลายจึงมุ่งหน้าต่อไปด้วยขวัญกำลังใจอันดีเยี่ยม

ผ่านไปอีกห้าเฟิน แรงกดดันประหลาดก็หนักหน่วงมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ในตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็รับรู้ถึงกลิ่นอายที่น่ากลัวของเจ้ามังกรตัวนี้ได้แล้ว นักเรียนผู้คิดว่าตนอ่อนแอและไม่มั่นใจในพลังความสามารถของตัวเองเริ่มมีอาการเหงื่อตกออกมาให้เห็น

“ช่างเป็นแรงกดดันที่แข็งแกร่งยิ่งนัก !”

เพ่ยหลงระบายลมหายใจออกมาอย่างอึดอัด ใบหน้างดงามฉายแววเคร่งเครียดเห็นได้ชัด แม้ว่านางจะแข็งแกร่งในระดับแนวหน้าแต่ก็ยังรู้สึกว่าแรงกดดันที่มังกรเหมันต์ปลดปล่อยออกมาช่างน่ากลัวโดยแท้

ปิงเสวียนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย คิ้วกระบี่ของเขาขมวดมุ่นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของมังกรตัวนี้จะน่ากลัวกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้

แน่นอนว่าจีชางและเหล่าสมาชิกในกลุ่มพันธมิตรของเขาก็รับรู้ถึงแรงกดดันอันแข็งแกร่งนี้ได้เช่นกัน ความกังขาต่อการนำทางของกลุ่มฉินอวี้โม่ที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่นต่อความแข็งแกร่งของศัตรูที่กำลังจะเจอไปจนหมดสิ้น

‘แค่กลิ่นอายของมันก็เขย่าขวัญได้ถึงเพียงนี้ แล้วตัวตนแท้จริงของเจ้ามังกรเหมันต์ตัวนี้จะแข็งแกร่งถึงระดับใดกัน ?’

“ระวังตัวด้วย ”

ทันใดนั้นปิงเสวียนก็ส่งเสียงร้องเตือนนักเรียนทุกคน ร่างกำยำของเขาพุ่งไปอยู่เบื้องหน้าฉินอวี้โม่และเจียงหลิวเยว่ที่อยู่หัวขบวนเพื่อคุ้มกันพวกนางในฉับพลัน

หลินซิวหยาและเนี่ยหรูเฟิงก็เปลี่ยนตำแหน่งไปปิดพื้นที่ด้านข้างสองสาวเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน

แม้ว่าทั้งฉินอวี้โม่และเจียงหลิวเยว่จะไม่ได้อ่อนแอ แต่อย่างไรฝีมือของพวกนางก็ยังด้อยกว่าบุรุษทั้งสาม ยิ่งกว่านั้นพวกนางทั้งคู่เป็นสตรี ในฐานะสุภาพบุรุษพวกเขาก็สมควรทำหน้าที่ปกป้องอยู่แล้ว

หลังจากเดินทางกันต่ออีกไม่นานนัก ร่างกายขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน

มันคือมังกรขนาดมโหฬาร เพียงช่วงลำตัวก็มีขนาดเท่ากับภูเขาลูกย่อม ๆ ร่างกายของมันดูราวกับสร้างมาจากน้ำแข็งทั้งร่าง เกล็ดของมันใสแวววาวราวกับแก้วก็มิปาน

ต้องยอมรับเลยว่ามันเป็นมังกรที่สง่างามยิ่งนัก ทว่าด้วยแรงกดดันอันหนักหน่วงเกินจะต้านทานก็ทำให้ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ทั้งหลายแทบจะมองไม่เห็นความงดงามของมันเลย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรแข็งแกร่งตัวนี้ นักเรียนแห่งโรงเรียนราชสำนักผู้เคยฮึกเหิมต่างก็ล้วนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

“พวกมนุษย์ พวกเจ้าเข้ามาทำสิ่งใดในดินแดนของข้าผู้ยิ่งใหญ่ ?”

ทันใดนั้นเสียงดังสนั่นก็ก้องไปทั่วบริเวณ มังกรเหมันต์ที่ดูเหมือนกำลังหลับอยู่ในตอนแรกลืมตาตื่นขึ้นอย่างฉับพลัน !

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด