คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 164 อีกกลุ่มที่เหลือรอด

อ่านนิยายจีนเรื่อง คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด ตอนที่ 164 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางตามหากลุ่มของลั่วเฉินไปเรื่อย ๆ พวกนางเดินทะลุผ่านหอคอยและห้องหับใหญ่น้อยจำนวนนับไม่ถ้วน บางห้องเป็นห้องว่างเปล่า สมบัติหรือสิ่งของที่อยู่ภายในถูกนำออกไปจนหมดแล้ว ทว่าก็มีอีกหลายห้องที่สิ่งของล้ำค่าที่อยู่ภายในยังคงถูกจัดวางไว้อย่างสมบูรณ์ และก็ยังเป็นที่แน่นอนอีกเช่นกันว่าคณะพันธมิตรของกลุ่มนักเรียนทั้งห้าก็ยังคงเก็บพวกมันมาโดยไม่ลังเล

อย่างไรก็ตามหลังจากเดินสอดส่องมองหาเข้าห้องโน้นออกห้องนี่กันมาพักใหญ่ พวกเขาก็ยังไม่เห็นกลุ่มของลั่วเฉินหรือกลุ่มพันธมิตรจีหย่งเลย

ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่เดินมาทุกคนก็ยังไม่ได้ยินประกาศแจ้งเตือนว่าพวกจีหย่งแย่งชิงป้ายกลับคืนมาได้แต่อย่างใด เรื่องนี้ทำให้คนทั้งหมดคิดเห็นเช่นเดียวกันว่าต้องมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล

หลังจากเดินทางกันต่อไปอีกไม่นานนัก ในที่สุดฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งดังขึ้นจากจุดที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เสียงเหล่านั้นค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับกำลังใกล้เข้ามา

ขณะนี้มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางจุดที่พวกเขาอยู่

ฉินอวี้โม่และคณะหยุดเดินในทันใด นักเรียนทั้งยี่สิบห้าคนเร้นกายหลบซ่อนหลังบานประตูและตามมุมมืด พวกเขาอยู่อย่างนิ่งเงียบที่สุดเพื่อรอคอยการมาถึงของกลุ่มคนปริศนา

เพียงไม่กี่อึดใจคนกลุ่มหนึ่งที่มีสมาชิกห้าคนก็ปรากฏตัวขึ้น เมื่อมั่นใจว่าไม่ใช่ศัตรูที่กำลังไล่ล่า พันธมิตรทั้งห้ากลุ่มก็ตัดสินใจเผยตัวตน

คนทั้งห้านี้มีอายุอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งหมด ดูแล้วอายุของพวกเขาก็น่าจะไม่เกินยี่สิบปี แน่นอนว่าจะต้องเป็นกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียนราชสำนักไม่ผิดแน่ อีกทั้งบุรุษหนุ่มที่เป็นหัวหน้าฉินอวี้โม่ยังรู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง แต่ก็จำชื่อของเขาไม่ได้

ซึ่งถ้าหากนางคาดเดาไม่ผิด พวกเขาน่าจะเป็นนักเรียนปีสอง

“ยินดีที่ได้พบรุ่นพี่ปิงเสวียน รุ่นพี่หลินซิวหยา รุ่นพี่เพ่ยหลง แล้วก็รุ่นน้องฉินอวี้โม่ !”

บุรุษที่เป็นผู้นำคนกลุ่มนี้สวมชุดสีน้ำเงินดูสง่างาม ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาแต่ไม่ได้คมคายและดูจะค่อนไปทางน่ารักเสียมากกว่า บรรยากาศรอบตัวเขาให้ความรู้สึกที่ดูเป็นมิตรซึ่งนั่นทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจ

“หลิวฉาน เจ้าเองเหรอ”

ทันใดนั้นเพ่ยหลงก็เอ่ยนามของบุรุษหนุ่มผู้นี้ขึ้น เขาก็คือหลิวฉาน ผู้ที่เคยอยู่ในอันดับที่สองของทำเนียบดาวรุ่ง อย่างไรก็ตามหลังจากที่ฉินอวี้โม่เข้ามาและชิงอันดับที่หนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งไปได้ หลิวฉานก็ย้ายไปชิงอันดับในทำเนียบพสุธาแทน ซึ่งความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ก็นับว่าไม่น้อยเพราะเขาสามารถคว้าเอาอันดับหนึ่งในห้าของทำเนียบมาได้

“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นพี่เพ่ยหลงจำข้าได้ด้วยหรือ”

หลิวฉานยิ้มอย่างมีไมตรี ก่อนจะเดินนำสหายทั้งสี่เข้ามาใกล้

สมาชิกทั้งห้าในกลุ่มหลิวฉานต่างก็แนะนำตัวเองและกล่าวทักทายเหล่านักเรียนในกลุ่มห้าพันธมิตรอย่างนอบน้อม

“ขออภัยที่ต้องกล่าวตามตรง แต่ข้าไม่คิดเลยว่าอีกหนึ่งกลุ่มที่ยังไม่ถูกคัดออกไปก็คือกลุ่มน้อย ๆ ของพวกเจ้า มีกันเพียงห้าคนแต่กลับยังสามารถหลบรอดนักล่าแผ่นป้ายปริศนามาได้ เช่นนี้กลุ่มของพวกเจ้าก็คงจะไม่ธรรมดาแล้ว”

เพ่ยหลงกล่าว หากให้พูดตามตรงความแข็งแกร่งโดยรวมของกลุ่มหลิวฉานยังถือว่าไม่สูงนัก แม้ว่าทั้งห้าคนจะเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนทั้งหมด แต่ก็ยังอยู่ในดาราต่ำทั้งหมดเช่นกัน การที่กลุ่มที่อยู่อย่างเดียวดายนี้ยังไม่ถูกคัดออกไปทำให้ทุกคนประหลาดใจเป็นอย่างมาก

“ฮ่า ๆ ๆ พวกข้าแค่โชคดีเท่านั้น”

หลิวฉานหัวเราะออกมาก่อนจะกล่าวต่อ

“แต่กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอก ทุกท่านทราบหรือไม่ว่ากลุ่มที่เที่ยวไล่ล่าแย่งชิงแผ่นป้ายของกลุ่มอื่นเป็นใคร ?”

เมื่อได้ยินคำถามรวมถึงน้ำเสียงของหลิวฉาน คณะเดินทางของฉินอวี้โม่ก็หันมองหน้ากัน

“น้องหลิวฉาน เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ?”

เมื่อดูจากสีหน้าท่าทีแล้ว ก็ชัดเจนว่าอีกฝ่ายคงจะรู้เรื่องนี้ เพ่ยหลงจึงเอ่ยถามออกไป

หลิวฉานพยักหน้า “ในตอนที่กลุ่มของเรากำลังเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่งข้างนอกนั่น พวกเราก็ได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังถูกชิงแผ่นป้ายไปต่อหน้าต่อตา ในตอนนั้นพวกเราเองก็เกือบย่ำแย่ ถ้าเราหนีไม่เร็วพอก็คงไม่รอดแล้วเหมือนกัน”

ในตอนที่อยู่ในป่าเหมันต์ก่อนหน้านี้ พวกเขาเห็นผู้เข้าแข่งขันกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งกำลังถูกปล้นแผ่นป้าย ถือว่ายังดีที่พวกเขาฉลาดเพียงพอที่จะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งและรีบหนีอย่างไม่ลังเล

และก็เป็นเพราะว่ากลุ่มของพวกเขารู้ว่ากลุ่มคนที่ไล่ล่าแผ่นป้ายของกลุ่มอื่นคือผู้ใด พวกเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงคนกลุ่มนั้นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะไปที่ใดหากบังเอิญได้พบเจอก็จะรีบถอยหนี ในตอนที่ผนึกกำลังนักเรียนทั้งหมดจัดการกับมังกร พวกเขาก็พยายามจับตามองและอยู่ให้ห่างกลุ่มนักล่าป้าย ดังนั้นกลุ่มเล็ก ๆ ของพวกเขาจึงอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้

คราแรกที่เห็นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ปรากฏตัวต่อหน้า พวกเขาก็หวาดหวั่นจับใจ ทว่าเมื่อเห็นว่าคนทั้งหมดไม่ได้มีท่าทีคุกคามและไม่แสดงเจตจำนงที่จะชิงป้ายของพวกเขาไป หลิวฉานก็เบาใจไปได้มาก

“หือ ? รีบบอกมาเร็วเข้า กลุ่มที่ไล่ชิงแผ่นป้ายคือกลุ่มไหน ? เป็นกลุ่มลั่วเฉินหรือว่ากลุ่มจีหย่ง ?”

เพ่ยหลงถามด้วยความใคร่รู้อย่างมาก แต่เมื่อดูจากสีหน้าของหลิวฉาน นางก็พอจะคาดเดาคำตอบได้แล้ว

“กลุ่มของลั่วเฉินใช่หรือไม่ ?”

ปิงเสวียนถามออกไปทันที เขาเองก็คาดเดาได้เช่นกัน

หลิวฉานพยักหน้า “หนึ่งในคนที่พวกเราเห็นในกลุ่มนั้นก็คือรุ่นพี่ลั่วเฉิน แต่ในตอนนั้นเราไม่ได้เห็นกับตาหรอกว่าเขาเป็นคนแย่งชิงแผ่นป้าย เวลานั้นมันชุลมุนมากและพวกเราก็รีบหนีมาทันทีด้วย”

ทันทีที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น พวกหลิวฉานก็ตั้งหน้าตั้งตาหนีกันอย่างสุดกำลัง พวกเขามั่นใจเพียงแค่ว่าในจุดนั้นมีลั่วเฉินยืนอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ทว่าในตอนนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์มากนัก

แต่หลายวันหลังจากนั้น เสียงประกาศก็ดังออกมาบ่งบอกว่ามีหลายต่อหลายกลุ่มถูกชิงแผ่นป้ายไป อย่างไรก็ตามเสียงที่ได้ยินจากการประกาศของทางโรงเรียนก็ไม่มีชื่อกลุ่มของลั่วเฉินรวมอยู่เลย นั่นพิสูจน์แล้วว่าลั่วเฉินที่อยู่ในเหตุการณ์น่ากลัวนั้นไม่ใช่ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกปล้นป้ายแต่เป็นหนึ่งในผู้ล่าป้าย นี่ทำให้พวกเขามั่นใจมากว่าผู้ที่ไล่ล่าแย่งชิงแผ่นป้ายของกลุ่มอื่นคือกลุ่มของลั่วเฉิน

เมื่อได้รู้เช่นนี้ ในตอนนั้นทั้งหลิวฉานและสหายทั้งสี่ต่างก็ประหลาดใจอย่างมากเพราะในความคิดของพวกเขาลั่วเฉินเป็นสุภาพบุรุษที่อ่อนน้อม เขาผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะเที่ยวไล่ชิงแผ่นป้ายของผู้อื่นได้เลย และการที่เขาจงใจไล่กำจัดเหล่านักเรียนในโรงเรียนออกไปจากการแข่งขันอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้ก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของนักเรียนระดับแนวหน้าอย่างเขาด้วย

คณะนักเรียนพันธมิตรจ้องมองหลิวฉานเป็นตาเดียว พวกเขาตั้งใจฟังทุกคำพูดที่บุรุษหนุ่มผู้นี้บอกเล่า และเมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลงทุกคนก็พยักหน้า

อันที่จริงในตอนนี้ทุกคนก็เริ่มสงสัยลั่วเฉินแล้ว และยิ่งได้ฟังเรื่องที่เป็นเสมือนคำยืนยันจากปากหลิวฉานทุกคนก็ยิ่งมั่นใจ แต่ถึงกระนั้น กลุ่มของลั่วเฉินเพียงกลุ่มเดียวก็ไม่น่าจะชิงแผ่นป้ายจากกลุ่มพันธมิตรจีหย่งที่มีถึงสามกลุ่มได้ อย่างไรเรื่องนี้ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นการสมรู้ร่วมคิดเล่นละครตบตา

“รุ่นน้องหลิวฉาน พวกเจ้าอยากจะร่วมทางกับพวกเรา หรือยังต้องการเดินทางกันเอง ?”

เพ่ยหลงกล่าวถามหลิวฉานด้วยไมตรี การที่พวกเขาสามารถเอาตัวรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนกลุ่มนี้ก็มีฝีมือไม่ธรรมดา

“ข้าขอติดตามทุกคนไปด้วย ตอนนี้จำนวนนักเรียนที่เหลืออยู่ในปราสาทเหมันต์ก็มีอยู่น้อยมากแล้ว ถ้าพวกเราเดินทางเพียงลำพังมีโอกาสสูงที่พวกเราจะถูกกลุ่มของรุ่นพี่ลั่วเฉินเล่นงาน การติดตามกลุ่มใหญ่น่าจะเป็นผลดีกับเรามากกว่า ส่วนเรื่องผลเยือกมณีพวกเราขอสละสิทธิ์ ขอแค่ให้พวกเราติดตามไปจนจบการแข่งขันก็พอ”

หลิวฉานเป็นคนตรงไปตรงมา ระหว่างที่เอ่ยวาจาใบหน้าของเขาก็มีแต่ความจริงใจไม่ปกปิด

“ไม่มีปัญหา”

ปิงเสวียนและคนอื่น ๆ พยักหน้า ในตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าจีหย่งและลั่วเฉินวางแผนการอะไรเอาไว้ การอยู่รวมกันหลายกลุ่มน่าจะปลอดภัยมากกว่า

‘นายหญิง ข้าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจากหอคอยตรงหน้า’

เมื่อเดินทางมาได้อีกระยะเวลาหนึ่ง จู่ ๆ มารยาก็ส่งเสียงขึ้นมาภายในห้วงจิตของฉินอวี้โม่

เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของอสูรสาว ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าอย่างเงียบเชียบ

ขณะนี้คณะนักเรียนทั้งสามสิบคนกำลังเดินอยู่บนทางเดินกว้างที่ทอดยาวสุดตา ทางเดินนี้เป็นทางเดินภายนอกตัวปราสาท ณ ปลายทางเดินเบื้องหน้านั้นมีประตูบานใหญ่ที่เปิดเข้าสู่หอคอยวิจิตรงดงามขนาดยักษ์

“ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะอยู่ในหอคอยข้างหน้า ไม่ว่าพวกเขาจะวางหลุมพรางอะไรไว้ พวกเราก็ควรจะเข้าไปดู” ฉินอวี้โม่ส่งเสียงบอกเหล่าสหายด้วยใบหน้าจริงจัง ยามนี้มีแต่ต้องเผชิญหน้าอย่างระมัดระวังตัวที่สุดเท่านั้น

ทุกคนพยักหน้าก่อนจะเดินตามฉินอวี้โม่เข้าไปยังหอคอยเบื้องหน้า

ทันทีก้าวพ้นประตูและได้กวาดตาสำรวจดูคร่าว ๆ ทุกคนก็มั่นใจว่าหอคอยแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าทุกหอคอยที่พวกเขาเคยเดินผ่านมาทั้งหมดและเมื่อรวมกับความวิจิตรอลังการที่เห็นจากภายนอกแล้วก็พอจะบ่งบอกได้ว่ามันจะต้องเป็นส่วนสำคัญของปราสาทน้ำแข็งแห่งนี้

“ข้าว่าที่นี่น่าจะเป็นหอคอยหลักของปราสาทเหมันต์”

เจียงหลิวเยว่กล่าว คนทั้งหมดพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ภายในนี้ตกแต่งอย่างประณีตและละเอียดอ่อนมากกว่าสถานที่อื่น ๆ ในปราสาทมาก เครื่องเรือน เครื่องใช้ หรือของประดับตกแต่งมีจำนวนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด หรือแม้แต่การตกแต่งภายในก็ยังมีรายละเอียดที่ซับซ้อนและงดงามกว่า

หลังจากเดินทางพลางมองสำรวจพื้นที่ภายในหอคอยอยู่ชั่วครู่ คณะพันธมิตรก็มั่นใจว่าโถงหลักของหอคอยแห่งนี้จะต้องเป็นห้องโถงหลักของปราสาทที่พวกเขามองหากันมาตั้งแต่ต้นเป็นแน่

และก็จริงดังคาด เพราะในที่สุดพวกเขาก็มาถึงยังจุดที่มีประตูบานยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ หากไม่นับรวมประตูทางเข้าของปราสาทประตูบานนี้นับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็นนับตั้งแต่เข้ามาภายในสถานที่เก่าแก่แห่งนี้ ไม่ผิดแน่ หลังประตูยักษ์นี้จะต้องเป็นห้องโถงหลักของหอคอย

ก่อนผลักบานประตูเข้าไปด้านใน ปิงเสวียนก็หันมากระซิบกับเหล่าสหายด้วยเสียงอันเบาแต่ก็หนักแน่นมั่นคง “ทุกคนใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ”

คนทั้งคณะพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง จอมยุทธ์รุ่นเยาว์แห่งโรงเรียนราชสำนักทั้งสามสิบคนตั้งสมาธิ เร่งเร้าพลังมายา เปิดประสาทสัมผัสทั้งห้า และกำอาวุธในมือไว้แน่นเตียมพร้อมสำหรับการต่อสู้

ปิงเสวียน หลินซิวหยา และฉินอวี้โม่ เดินนำไปด้านหน้า ขณะที่คนอื่น ๆ ที่เหลือตามหลังไปไม่ห่าง ทั้งหมดมุ่งหน้าเข้าไปในห้องโถงหลักของหอคอย

ทันทีที่ประตูเปิดออก พวกเขาก็พบว่าห้องโถงนี้เคยมีคนเข้ามาก่อนแล้ว พื้นที่ใจกลางห้องนั้นมีหีบสมบัติจัดวางไว้จำนวนหนึ่ง ทว่าแม้จะมองจากหน้าประตูห้องก็ยังเห็นได้ชัดว่าหีบใบนั้นว่างเปล่า บางจุดมีร่องรอยการรื้อค้นและเคลื่อนย้ายสิ่งของ แน่ชัดแล้วว่าสมบัติมีค่าคงถูกผู้มาเยือนก่อนหน้าพวกเขาเก็บเอาพวกมันออกไปจนหมด

หากจะให้เดา ผลเยือกมณีก็น่าจะอยู่ภายในหีบในห้องโถงหลักของหอคอยนี้ และผู้ที่พบมันก่อนก็คือกลุ่มของจีหย่ง

อย่างไรก็ตาม ภายในห้องหลักนี้กลับไร้เงาของสิ่งมีชีวิต คณะพันธมิตรใหม่ทั้งหกกลุ่มไม่เห็นเงาของจีหย่ง ลูกน้องของเขา หรือแม้แต่ลั่วเฉินเลย

แม้ว่าห้องโถงนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าห้องอื่น ๆ ที่พวกเขาเคยไปเยือนกว่าสามเท่าก็ตาม แต่ภายในห้องก็ค่อนข้างโล่ง ไม่ได้มีข้าวของเครื่องใช้อยู่มากนัก ที่สำคัญมันไม่มีซอกหลืบหรือมุมอับใดให้เห็น หากจะกล่าวว่าจีหย่งและคนของเขากำลังซ่อนตัวอยู่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

นักเรียนรุ่นเยาว์ทั้งหลายเริ่มเกิดความรู้สึกว่ากลุ่มศัตรูอาจไม่ได้อยู่ที่นี่ ทว่ามันกลับตรงกันข้ามกับความรู้สึกของอสูรในแดนเหมันต์ที่ถือกำเนิดในปราสาทแห่งนี้อย่างมารยา เวลานี้มีบางอย่างที่ทำให้อสูรสาวผู้ถนัดการใช้อาคมลวงตารู้สึกผิดปกติ

‘นายหญิง มุมห้องทางด้านขวามีข่ายอาคมอยู่ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมนุษย์จากบริเวณนั้น’

มารยาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ไม่ธรรมดาจากมุมห้องด้านขวา มารยาจัดเป็นอสูรที่เชี่ยวชาญด้านการวางข่ายอาคมในระดับแนวหน้า แน่นอนว่ามันย่อมรับรู้และจับสัมผัสข่ายอาคมอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อย อดีตนักฆ่าสาวเชื่อในสิ่งที่มารยาบอกโดยไร้ข้อสงสัย นางจึงค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปยังมุมห้องทางด้านขวาอย่างระมัดระวัง พลางยกมือขึ้นเป็นสัญญาณห้ามไม่ให้สหายทางด้านหลังก้าวตามมา

— ปัง ! —

ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา จู่ ๆ ประตูบานยักษ์ก็ปิดลงอย่างกะทันหัน จากนั้นควันประหลาดสีขาวที่เจือจางเป็นอย่างยิ่งก็กระจายเข้ามาภายในห้อง พร้อมกันนั้นกลิ่นหอมอ่อน ๆ ก็เริ่มชัดเจนขึ้นในอากาศ

“ระวัง มันคือพิษ !”

ทันทีที่ได้กลิ่นของมัน เจียงหลิวเยว่ก็รีบเอามือปิดจมูกพลางส่งเสียงเตือนทุกคน

สิ่งที่ดูเหมือนควันสีขาวนั้นแท้จริงคือผงพิษ ลักษณะแท้จริงของมันคล้ายกับผงแป้งเนื้อละเอียดสีขาว เจียงหลิวเยว่เป็นลูกหลานแห่งโรงประมูลใหญ่ของแผ่นดิน นางจึงกว้างขวางในวงการสินค้าและรู้จักสินค้าหลากหลาย ที่มีทั้งหายากหรือแปลกประหลาดมากมาย พิษชนิดนี้ก็เช่นกัน

สมาชิกในคณะพันธมิตรคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินคำเตือนของเจียงหลิวเยว่ก็รีบเอามือปิดจมูกอย่างรีบเร่ง อย่างไรก็ตามเพียงชั่วอึดใจต่อมาพวกเขาก็พบว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว !

บัดนี้พิษบางส่วนได้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอกว่าผู้อื่นแสดงผลกระทบจากการได้การรับพิษในทันที ร่างกายของพวกเขาอ่อนปวกเปียก สติสัมปชัญญะเลือนราง ก่อนจะค่อย ๆ ล้มลงไปอยู่บนพื้น แต่ก็นับว่าคนทั้งหมดยังแข็งแกร่งมากพอเพราะยังไม่มีผู้ใดถึงกับหมดสติ

ส่วนผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งยังสามารถต้านทานพิษไว้ได้ แม้ว่าจะอ่อนแรงราวกับพละกำลังทั้งหมดเหือดหายแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นล้มลงไป พวกเขารีบไหลเวียนพลังมายาในร่างกายเพื่อขับพิษออกในทันที

ฉินอวี้โม่เองก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ ทว่าตัวนางไม่ได้รับกระทบใด ๆ จากพิษเลย

‘ดีเหลือเกินนายหญิง ท่านมีกายเทพมายา เมื่อรวมเข้ากับการปกป้องจากเปลวเพลิงของท่านซิวก็ไม่มีพิษชนิดใดที่ทำอะไรท่านได้’

เสียงของเสี่ยวจิ่วดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ สตรีผู้ครอบครองร่างกายวิเศษพยักหน้ารับ นางเข้าใจถึงความมหัศจรรย์ของกายเทพมายาดี ด้วยร่างกายนี้ไม่ว่าพิษชนิดใดก็ทำอันตรายนางไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ยังแสร้งทำเป็นว่าได้รับผลกระทบจากพิษจนร่างกายอ่อนปวกเปียก อีกทั้งใบหน้างามยังมีแววแห่งความตื่นตระหนกฉายชัด

“เกิดอะไรขึ้น ? เหตุใดในห้องนี้ถึงได้มีพิษ ? ใครก็ได้รีบเปิดประตูทีเร็วเข้า !”

ฉินอวี้โม่แสร้งตะโกนด้วยน้ำเสียงแตกตื่นพลางกวาดตามองสมาชิกในคณะพันธมิตรที่ติดพิษก่อนจะทำหน้ายุ่งแล้วค่อย ๆ พยุงร่างกายเข้าไปหาปิงเสวียน

ปิงเสวียนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มได้รับผลไม่รุนแรงมากนัก ในเวลานี้คิ้วเข้มของเขากำลังขมวดมุ่น สองตาจับจ้องไปยังเหล่าสหายที่ร่างกายอ่อนแอลงจากพิษอย่างเคืองแค้น

“รุ่นพี่ปิงเสวียนช่วยเล่นตามน้ำไปก่อน ไม่งั้นคนพวกนั้นคงไม่ยอมเผยตัวออกมาแน่”

ฉินอวี้โม่ลอบกระซิบข้างหูของปิงเสวียน บุรุษอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบนภาพยักหน้าก่อนที่ร่างกายแข็งแรงของเขาจะเริ่มสั่นเบา ๆ จู่ ๆ เขาก็ ‘อ่อนแอ’ ลงอย่างกะทันหัน

“ได้ข้าจะไปเปิดประตูเอง”

ปิงเสวียนแสร้งกล่าวเสียงดัง เขาทำทีให้ดูราวกับรุ่นน้องสาวเข้ามาปรึกษาเรื่องเปิดประตูห้องโถงก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่ประตู

“ฮ่า ๆ ๆ จะเปิดประตูตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว”

ก่อนที่ปิงเสวียนจะเดินไปถึงประตู ร่างของบุรุษหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและขวางทางเขาไว้

ทันทีที่เห็นใบหน้าของคนผู้นั้น ปิงเสวียนก็ชะงักไปเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดเป็นปมแน่นขึ้น “ลั่วเฉิน เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย”

ลั่วเฉินยิ้มชั่วร้าย บนใบหน้าปรากฏแววแห่งผู้ชนะ ราวกับว่า ณ บัดนี้ทุกอย่างตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว

ทันใดนั้นเองความผันผวนของพลังก็เกิดขึ้นตรงมุมห้องด้านขวาในจุดที่มารยาเคยบอก ก่อนที่นักเรียนในกลุ่มพันธมิตรทั้งหกจะมองเห็นร่างของจีหย่งและพวกพ้องปรากฏขึ้น

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ ตอนนี้เจ้าอยู่ในมือพวกเราแล้ว !”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อยู่ในสภาพอ่อนแอจนน่าสมเพช จีหย่งก็หัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ รอยยิ้มของผู้ชนะระบายอยู่เต็มหน้า

แผนการของพวกเขาคือให้กลุ่มพันธมิตรของจีหย่งส่งมอบแผ่นป้ายและผลเยือกมณีให้ลั่วเฉินก่อนเพื่อล่อลวงให้คณะพันธมิตรของฉินอวี้โม่เกิดความสับสน ลั่วเฉินให้อสูรมายาของเขาวางข่ายอาคมไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องโถงเพื่ออำพรางกายไม่ให้ผู้ใดมองเห็นเป็นการชั่วคราว จากนั้นพวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในหอคอยหลักและรอคอยการมาถึงของฝ่ายตรงข้าม

พิษที่ใช้ในครานี้เป็นสิ่งที่ลั่วเฉินนำติดตัวมา ลั่วเฉินให้จีหย่งและกลุ่มพันธมิตรของเขารวมไปถึงสหายของตนกินโอสถถอนพิษเข้าไปก่อนล่วงหน้าแล้ว เมื่อแผนการเริ่มต้นทุกคนจึงยังแข็งแรงและพร้อมอย่างยิ่งที่จะลงมือจัดการ ‘เหยื่อ’ !

หลังจาก ‘เหยื่อ’ ทุกคนก้าวเข้ามาในห้อง ลั่วเฉินก็กระจายผงพิษที่เตรียมไว้ในทันทีก่อนจะให้คนของเขาผู้หนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกปิดประตู เมื่อเห็นว่าปิงเสวียนจะเปิดบานประตูออก เขาก็พุ่งเข้ามาขวางทางเอาไว้

พิษที่เขาใช่ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต หลังจากโดนเข้าไปแล้วในคราแรกจะไม่รู้สึกอะไรเลย อีกทั้งกลิ่นก็ยังอ่อนมาก เป้าหมายของพิษนี้ก็คือทำลายพลังยุทธ์ของผู้ที่สูดมันเข้าไป

ขอเพียงรับพิษเข้าไปเพียงเล็กน้อย ความเร็วในการไหลเวียนพลังมายาก็จะลดลงอย่างมหาศาลทำให้จอมยุทธ์ตกอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอ โดยเฉพาะในผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิม แม้แต่จะขยับตัวก็ยากเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นครั้งนี้ลั่วเฉินจึงใช้พิษในปริมาณที่มากกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายจะไม่อาจต่อต้านเขาได้

และนับจากนี่การลงมือสังหารฉินอวี้โม่ก็จะเป็นเรื่องง่าย

นี่คืออุบายของลั่วเฉินที่ใช้ประโยชน์จากความสงสัยของคณะพันธมิตรที่โง่เง่าเหล่านี้ เมื่อบวกรวมกับเวลาการแข่งขันที่เหลือน้อยนิดก็จะสามารถกดดันให้อีกฝ่ายออกตามหาพวกเขาและเข้ามาติดกับได้โดยง่าย และดูเหมือนว่าแผนการก็จะสำเร็จอย่างราบรื่น

.

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด