คู่ชะตาบันดาลรัก – ตอนที่ 57 โกรธ

อ่านนิยายจีนเรื่อง คู่ชะตาบันดาลรัก ตอนที่ 57 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ในใจของนายท่านสองไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด แม้หมิงเวยจะตะโกนร้องทุกข์ในที่สาธารณะทำให้เขาไม่พอใจก็ตาม ถึงอย่างไรพวกเขาก็ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนแล้ว

ศพก็จัดการไปแล้วอีกทั้งเก็บกวาดเบาะแสไปหมดแล้ว ต่อให้ตรวจสอบไปก็ไม่พบเจออันใดอยู่ดี ตราบใดที่พวกเขาหาเบาะแสไม่พบต่อให้มีเหตุผลยืนอยู่ข้างพวกเขา หรือเจี่ยงเหวินเฟิงจะเก่งกาจเพียงใด อย่างไรเขาก็ต้องแพ้อยู่ดี

ต้องเข้าใจว่าชีวิตของสตรีขึ้นอยู่กับครอบครัวของนาง หากไม่มีหลักฐานแน่นหนา การฟ้องเครือญาติถือเป็นบาปร้ายแรงในสายตาของผู้คน!

แต่นางก็ยังคิดจะฟ้องร้อง ดี! รอดูว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไรก็แล้วกัน!

เกิดความเงียบขึ้นมาภายในห้องโถง ทุกคนล้วนมองไปที่หมิงเวยก่อนจะหันมามองเขา จากนั้นก็มองไปที่เจี่ยงเหวินเฟิง และฉีตงจวิ้นอ๋อง

แววตาของทุกคนแตกต่างกัน ผู้ที่ใกล้ชิดกับตระกูลหมิงส่งสายตาให้นายท่านสอง ส่วนผู้ที่ไม่ถูกกับพวกเขาก็รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น รอชมการแสดงดีๆ นี้อย่างใจจดใจจ่อ

หลายคนถอนหายใจในใจ คิดว่าแม่นางหมิงผู้นี้โง่เขลามานาน สมองคงไม่สามารถเปลี่ยนกลับได้ นางถูกใส่ร้ายกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรมงั้นหรือ หรือเป็นเพราะการตายของมารดาตน

ได้ยินว่าสาเหตุที่ฮูหยินสามฆ่าตัวตายคือถูกน้องเขยขืนใจ บางทีแม่นางหมิงผู้นี้อาจรู้สึกไม่พอใจแทนมารดาตนถึงได้ร้องทุกข์ต่อหน้าใต้เท้าเจี่ยงเช่นนี้

แต่…มันจะมีประโยชน์อันใดกัน

นี่เป็นเพียงเรื่องอื้อฉาวได้ยินมาว่าตระกูลหมิงได้ลงโทษด้วยการโบยนายท่านหกจนเกือบตาย แม้ว่าจะรายงานต่อส่วนราชการแล้ว แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นความผิดของตระกูลหมิง

ในทางตรงกันข้ามสาเหตุของการเสียชีวิตของฮูหยินสามก็จะถูกเผยแพร่สู่ภายนอก หากเป็นเช่นนี้ชื่อเสียงของมารดาที่เสียไปก็จะเสื่อมเสีย อีกทั้งตัวนางเองก็จะโชคร้ายอีกด้วย

ต่อให้คนในครอบครัวจะโอบอ้อมอารีเพียงใด แต่หากบุตรสาวกล้าฟ้องร้องคนในตระกูลเช่นนี้ล้วนไม่ปลื้มกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นสตรีควรทำตนให้อ่อนโยนเรียบร้อย ทำตัวเช่นนี้ใครเล่าจะกล้าแต่งงานกับนางในภายภาคหน้า

หากมองเพียงผิวเผินเหมือนเป็นชัยชนะของตนเอง แต่จริงๆ แล้วต่างเสียหายกันทั้งสองฝ่าย โดยที่ศัตรูยังไม่ทำอันใดเลยด้วยซ้ำ!

เจี่ยงเหวินเฟิงหัวเราะ เขาหันไปทางฉีตงจวิ้นอ๋อง “ท่านอ๋องว่าอย่างไรขอรับ”

ฉีตงจวิ้นอ๋องโบกมือ “เรื่องการตรวจสอบคดีเป็นหน้าที่ที่ใต้เท้าเจี่ยงต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว เปิ่นหวางก็แค่จวิ๋นอ๋องที่ลอยชายจะกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งได้อย่างไร เรื่องนี้ใต้เท้าเจี่ยงจัดการเถอะ”

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า

“แต่…” น้ำเสียงของฉีตงจวิ้นอ๋องเปลี่ยนไป “การพิจารณาคดีครอบครัวต่อหน้าดวงวิญญาณของฮูหยินสามเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่เป็นการดี ใต้เท้าเจี่ยงรอให้พิธีศพจัดเสร็จก่อนดีหรือไม่แล้วค่อยสอบสวนคดี”

อาหว่านหัวเราะ กระซิบพูดกับหยางชู “รอพิธีศพเสร็จสิ้น ตัวศพก็ถูกนำไปฝัง จะมีอันใดให้ต้องสอบสวนคดีอีก”

หยางชูส่ายหน้าแต่ไม่พูดอันใด ฉีตงจวิ้นอ๋องช่วยตระกูลหมิง ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร เจ้าหน้าที่ยศใหญ่เล็กทั้งหลายในตงหนิง ครอบครัวตระกูลขุนนาง ส่วนใหญ่ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับฉีตงจวิ้นอ๋องกันทั้งนั้น เพียงแต่ภายนอกเขาทำเป็นดี ไม่เผยเจตนาจริงก็เท่านั้น

หยางชูนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่เขาตรวจพบที่หวงเฉิงซือจึงสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี เพียงแต่มองไปที่หมิงเวย

“แม่นางหมิง คำพูดของท่านอ๋อง แม่นางคงได้ยินแล้วต่อหน้าดวงวิญญาณของผู้เป็นมารดา แม่นางยังต้องการฟ้องอยู่หรือไม่”

หมิงเวยยืดตัวขึ้นและพูดอย่างใจเย็นว่า “เมื่อตอนที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านสอนข้าน้อยให้ทำเพื่อผู้อื่น ฟังความต้องการของใจ ที่เหลือคือการแสดงตัวเพื่อช่วยเหลือ วันนี้ข้าน้อยไม่มีอันใดนอกเสียจากขอความเป็นธรรม และความเห็นใจให้กับท่านแม่เจ้าค่ะ”

เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าแล้วหันไปถามนายท่านสอง “นายท่านหมิง ท่านเป็นเจ้าเรือน และเป็นผู้ปกครองของคุณหนูเจ็ด ท่านว่าอย่างไร”

นายท่านสองส่งเสียงฮึแล้วพูดด้วยอารมณ์โกรธ “เด็กคนนี้มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ข้าน้อยจะพูดอันใดได้เล่าขอรับ ข้าน้อยไม่ใช่บิดาของนาง หากวันนี้ขัดขวางนาง เกรงว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของบรรดาพี่น้องอย่างรุนแรง! แต่เนื่องจากนางเผยแพร่เรื่องไม่ดีของครอบครัวออกไป ข้าน้อยในฐานะลุงจึงต้องฝืนใจทำเท่านั้น!”

นายท่านสองพูดเช่นนี้ ดวงตาเผยเป็นประกายแวบหนึ่ง เขาแอบลอบยิ้ม อันที่จริงเขาไม่ได้โกรธอันใดเลย แต่ที่ทำไปเช่นนี้ก็เพื่อยั่วให้หมิงเวยเกิดโทสะก็เท่านั้น

นางเป็นเด็ก การฟ้องร้องครอบครัวต่อหน้าผู้คนถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล และถ้าหากนางโกรธจนเผลอพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมาก็จะยิ่งเป็นการเสียมารยาท แล้วทีนี้ความถูกต้องก็จะตกมาอยู่ในฝั่งของเขาแทน

ถึงเรื่องนี้จะถูกนางเปิดเผย แต่หากเจี่ยงเหวินเฟิงหาหลักฐานมัดตัวไม่พบ เขาก็แค่ทำท่าทีจงเกลียดจงชังแล้วนำตัวน้องหกออกมา…ดูเอาเถิด ตระกูลหมิงทำเรื่องสกปรก แต่พวกเขาก็ได้จัดการแก้ไขเรียบร้อยแล้วใครจะกล้าพูดอันใดได้

น้องหกเมาจนไร้คุณธรรม แต่เขาก็ถูกโบยไปแล้ว!

บทลงโทษเช่นนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ เจี่ยงเหวินเฟิงคงทำอันใดพวกเขาไม่ได้ รอทุกคนแยกย้ายกันไปก่อน แต่จะเก็บเด็กคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นกัน

ก่อนหน้านี้เขายังเกรงกลัวอยู่ หากคุณชายหยางยื่นมือเข้ามาจะทำอย่างไรดี แต่ดูจากวันนี้แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะวางตัวเป็นคนนอก

รอดูนางกลายเป็นเป้าหมายของทุกคนเถอะ!

นายท่านสองคิดมาอย่างดีแล้ว พอเขาเอ่ยจบสายตามองไปที่หมิงเวยอย่างเย็นชา ไม่แน่ว่าอาจไม่ต้องรอให้เจี่ยงเหวินเฟิงพูดอันใด นางอาจจะยอมรับเลยก็เป็นได้

แต่สิ่งที่นางพูดกลับเป็น “ท่านลุงสองเหตุใดจึงพูดเช่นนี้ อย่างไรหลานก็นับถือท่านลุงสอง แต่สำหรับเรื่องสกปรกนี้…หากไม่สกปรก เหตุใดต้องกลัวว่าผู้อื่นจะรู้ด้วยเล่า แต่ถ้าหากสกปรกจริงๆ ต่อให้ปกปิดอย่างไร แต่ถ้าไม่พิจารณาตนเองก็สูญเสียวิถีของคนดีนะเจ้าคะ”

นายท่านสองคิดในใจ นางเข้าใจวิถีของคนดี หึ เด็กโง่ๆ คนหนึ่งที่มีชีวิตโง่เขลามาสิบกว่าปี หายดีได้ไม่ถึงเดือนจะเข้าใจทุกอย่างได้อย่างไรกัน

“ปราชญ์มีคำกล่าวที่ว่า หลีกเลี่ยงผู้สูงศักดิ์ หลีกเลี่ยงญาติพี่น้อง หลีกเลี่ยงผู้มีความรู้ความสามารถ” เขากล่าวอย่างเย็นชา “เพียงคนในครอบครัวทำอันใดผิดไป หลานคิดจะแจ้งบอกให้ผู้คนทราบกันทั่วเลยหรือ ตระกูลหมิงของเราเป็นตระกูลขุนนางมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน เคร่งครัดกับบุตรหลานมาโดยตลอด หลานคิดจะเปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้าฝูงชนโดยไม่สนใจชื่อเสียงของบรรพบุรุษตนเองเชียวหรือ”

หมิงเวยรู้สึกแปลกใจ “ท่านลุงสองพูดอันใดเจ้าคะ ท่านลุงหมายความว่า เรื่องนี้เป็นฝีมือของครอบครัวเราเองงั้นหรือ”

นาง นางยังกล้าเสแสร้งอีก!

สีหน้าของนายท่านสองเย็นเยือก “ลุงสองรู้ว่าหลานคับแค้นใจ พวกเราก็รู้สึกสงสารหลานที่สูญเสียมารดาไป เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะเสียใจอย่างหนักและทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้ แต่การที่หลานทำเยี่ยงนี้ หลานเอาชื่อเสียงของตระกูลหมิงไปไว้ที่ใดกัน”

หมิงเวยครุ่นคิด “จากที่ท่านลุงสองพูดมาหลานเพิ่งตระหนักได้ว่าไม่ควรตะโกนร้องทุกข์เช่นนั้น ขอประทานโทษด้วยเจ้าค่ะ หลานโง่มาสิบกว่าปี เรื่องนี้หลานไม่รู้ความคิดว่าถ้าไม่เป็นธรรมก็ต้องร้องเรียนไปตามนั้นเจ้าค่ะ”

ในอกของนายท่านสองลุกเป็นไฟลืมไปแล้วว่าตนแสร้งทำเป็นโกรธอยู่

“หลานอย่าอ้างว่าอายุน้อยแล้วจะพูดจาไร้สาระได้ ผู้ใดใช้ให้หลานร้องทุกข์กันเล่า หลานจะร้องทุกข์คิดว่าพวกเราไม่รู้หรือ ทันทีที่เกิดเรื่องกับแม่ของเจ้า ลุงก็ลงโทษอาหกตามกฎของตระกูล ตอนนี้อาหกของหลานยังนอนซมอยู่บนเตียง! ต้องให้ทุกคนมาเห็นสภาพบาดเจ็บของเขาก่อนหรือ เกรงว่าชีวิตที่เหลือของเขาหลังจากนี้จะลุกขึ้นไม่ได้อีก ลงโทษหนักเช่นนี้ยังไม่พอกับความผิดที่เขาทำอีกหรือ”

แล้วเขาก็หัวเราะเยาะ “ให้เกียรติผู้ที่ตายไปเสียหน่อยเถิด หลานไม่ควรพูดว่าแม่ของหลานถูกหรือผิด หากนางรู้สึกไม่เป็นธรรมทำไมไม่ให้ผู้อาวุโสจัดการเล่า ท่านย่าของหลานก็ยังอยู่! พอได้ยินคำพูดติฉินนินทาจากผู้อื่นก็แขวนคอตาย แล้วบอกว่าพวกเราไม่เป็นธรรม ไม่แปลกใจเลยที่หลานจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ท่านแม่ของหลานคงสั่งสอนมาเยี่ยงนี้สินะ!”

พอเห็นว่าสีหน้าของหมิงเวยไม่เปลี่ยนแปลง นายท่านสองจึงได้ทีขี่แพะไล่ “ทำไม ไม่พูดอันใดหน่อยหรือ เรื่องนี้ยังกล้าที่จะขอให้ใต้เท้าเจี่ยงตัดสินท่ามกลางฝูงชน ใต้เท้าเจี่ยงได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาตรวจตราบ้านเมือง ไม่ใช่เพื่อมาตัดสินเรื่องราวชวนสับสนภายในครอบครัวให้หลานเสียหน่อย หลานสาวที่ไม่คำนึงถึงตระกูลเช่นนี้ ข้าไม่ต้องการจริงๆ!”

พอพูดจบในใจของนายท่านสองก็เปี่ยมไปด้วยความพออกพอใจ การโต้เถียงกับเด็กรุ่นลูก ถึงจะชนะแต่ก็ไม่มีอันใดให้น่าภูมิใจ แต่กับเด็กคนนี้มันช่างน่าโมโหเสียจริงๆ!

เขาเหลือบมองไปที่เจี่ยงเหวินเฟิงที่นิ่งเงียบไม่พูดอันใด คิดว่าลงมือตัดไฟตั้งแต่ต้นลมก่อนเป็นเรื่องที่ดี เขาชิงเปิดเผยก่อน ใต้เท้าเจี่ยงผู้นี้จะพูดอันใดได้อีกเล่า

แล้วเขาก็ยิ้มเยาะให้หมิงเวย แต่กลับเห็นสีหน้าอันประหลาดใจของนาง

หืม…

“ท่านลุงสองพูดอันใดน่ะเจ้าคะ เรื่องสกปรกภายในครอบครัวจะพูดให้ผู้อื่นฟังได้อย่างไร แม้หลานจะไม่สามารถให้ความเป็นธรรมกับท่านแม่ได้ แต่หลานรู้ดีว่าต้องปกป้องชื่อเสียงของบรรพบุรุษ หลายวันมานี้แม้หลานจะเสียใจจนทานอะไรไม่ลง แต่หลานก็พยายามอดทนกับเรื่องไม่เป็นธรรมพวกนี้ แต่ท่านลุงสองกลับนำเรื่องของท่านแม่มาพูดต่อหน้าผู้คนแล้วอย่างนี้ชื่อเสียงของท่านแม่อยู่ที่ใดกัน แล้วหลังจากนี้หลานจะทำตัวอย่างไรกันเจ้าคะ”

นายท่านสองตกตะลึง “หลาน…หลานไม่ได้จะร้องทุกข์กับใต้เท้าเจี่ยงหรอกหรือ”

หมิงเวยพูดอย่างเฉยเมย “เจ้าค่ะ อันที่จริงหลานตั้งใจร้องทุกข์กับใต้เท้าเจี่ยง แต่เรื่องที่จะร้องทุกข์นี้ หลานร้องทุกข์แทนผู้อื่น”

นางขยับเสื้อผ้าของตนแล้วโค้งคำนับให้เขาอย่างจริงจังอีกครั้ง “ใต้เท้าเจี่ยง ข้าน้อยขอร้องทุกข์ท่าน ไม่ทราบว่าผู้ใดในจวนตระกูลหมิงทำการฆาตกรรม นำวิญญาณพยาบาทมาไว้ในเรือน ส่งเสียงร้องทุกวัน ไปไหนไม่ได้ โปรดใต้เท้าช่วยจัดการกับวิญญาณชั่วร้ายตามหาผู้ร้ายตัวจริง เพื่อปลอบขวัญวิญญาณบนสวรรค์ และคืนความสงบสุขให้กับตระกูลหมิงด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”

……………………………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด